อีกหนึ่งแมทซ์ที่เตะกันในช่วงวันปีใหม่ กับโปรแกรมที่ถี่ยิบขนาดนี้ ไม่ว่าจะทีมไหนก็ต้องมีการหมุนเวียนผู้เล่นกันทั้งนั้น โดยฟากฝั่งของเจ้าบ้านอย่างอาร์เซนอลก็เห็นจะเป็นคราวของไคน์ ฮาเวิร์ตที่ติดโทษแบนไป และคนที่ลงมาเล่นตรงกลางแทนกลับกลายเป็นท็อด ซาร์ที่เป็นผู้เล่นตัวรุกริมเส้น แมทซ์นี้จึงคาดการณ์ได้ว่าพลพรรคสิหนาถปืนไฟน่าจะมาเอาตาย คงขย่มทีมเยือนอย่างขุนค้อนเวสต์แฮมได้ไม่ยาก เพราะฝั่งนี้เองก็ต้องเช็คอาการกองกลางคนสำคัญอย่างปาเกต้ากันจนถึงวินาทีสุดท้าย หลังเจ้าตัวเพิ่งมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยตอนวอร์ม มาครับ! เรามาดูกันดีกว่าว่าแมทซ์นี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง 1. อาร์เซนอลบุกหนักอย่างเพลิดเพลินด้วยความที่ลิเวอร์พูลเตะก่อนและชิงขึ้นจ่าฝูงไปก่อน เหล่าเดอะกันเนอส์ก็เลยมีทางเลือกเดียวคือต้องบุกเอาชัยให้ได้ และตั้งแต่เริ่มเกมมาพวกเขาก็โถมทุกสรรพกำลังเข้าใส่ ในช่วงแรกคนที่ผมคิดว่าเด่นที่สุดคือมาร์ติน โอเดการ์ด จังหวะการเล่นกับบอลของเขานั้นมีคลาสมาก มีการดึงบอลคลึงบอล มีการปล่อยบอลลอดขาจ่ายลูกไขว้ คือเพลินตาสุดๆแล้วก็สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนจบสกอร์ได้อย่างมากมาย เหลือก็แค่ส่งบอลซุกก้นตาข่ายที่ยังทำไม่สำเร็จ 2. จังหวะโต้กลับทำพิษ VAR มีผลต่อการแข่งขัน (อีกแล้ว)แล้วก็เป็นธรรมดาครับที่พอทีมโหมบุกหนัก ข้างหลังบ้านก็จะเปิดพื้นที่ว่างไว้เป็นทุ่ง แต่สำหรับเคสนี้มันไม่ถึงขนาดนั้นครับ ผมว่าถ้าจะตำหนิก็ต้องตำหนิแผงหลังอาร์เซนอลมากกว่า มีอย่างที่ไหนที่ปล่อยให้เจอร์ราด โบว์เว่นพุ่งขึ้นไปตวัดบอลได้โล่งๆ ตวัดรอบแรกวืด บอลอุตส่าห์เด้งมาเข้าทางกองหลังแล้ว แต่ก็ดันมาทำลูกขลุกขลิกจนบอลกระฉอกมาเข้าทางโบว์เว่นอีกเป็นหนที่สอง และการตวัดจากเส้นหลังครั้งนี้ล่ะครับที่มีปัญหาเกิดขึ้น บอลออกหรือไม่ออกยังเป็นคำถามที่แม้แต่ VAR ก็หาภาพมาพิสูจน์ไม่ได้! การตวัดบอลลูกนี้นำมาสู่ประตูขึ้นนำ กรรมการจึงต้องใช้เวลา แต่เดชะบุญที่สลับมุมหาเหลี่ยมภาพยังไง มุมที่เห็นชัดที่สุดก็ดันมาโดนช่วงขาของโบว์เว่นบังเอาไว้หมด ลูกนี้จึงไม่อาจพิสูจน์ได้ และเมื่อหลักฐานไม่ชัดเจนพอผลประโยชน์จึงตกเป็นของจำเลย กลายเป็นประตูของเวสต์แฮมไป ฝั่งอาร์เซนอลก็เดือดสิครับ! แต่ผมก็เห็นใจกรรมการอยู่เพราะมันจำเป็นต้องตัดสิน ถ้าไม่ฟันธงเกมก็ไปต่อไม่ได้ ช็อตดุลยพินิจนี้ยังไงกรรมการก็ต้องโดนด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง 3. ปาเกต้าบาดเจ็บหลังฝืนลงเล่นกำลังเล่นดีอยู่แท้ๆ สำหรับผมๆยกให้เขาเป็นผู้เล่นที่เล่นได้ดีที่สุดของเวสต์แฮมเลย เพราะจังหวะการพลิกบอลเอาตัวรอดทำได้ดี การจ่ายบอลออกจากพื้นที่แคบๆก็ทำได้เปรียบ การเล่นของเขาช่วยเวสต์แฮมที่โดนพับสนามบุกได้มาก ขยับตัวนิดเดียวจากทีมกำลังเสียเปรียบกลายเป็นสร้างโอกาสจนทีมขึ้นนำได้เฉย แต่ก็นั่นล่ะครับ! พอฝืนก็คือเจ็บ แล้วก็ต้องเดินออกจากสนามไปอย่างน่าเสียดาย อีกคนนอกเหนือจากผู้เล่นเกมรับที่เล่นดีกันทั้งแผง ผมขอยกให้กูดุสเพราะความเร็วของเขาสามารถเปลี่ยนจังหวะเกมได้ เขาคือตัวเป้าที่เพื่อนจะสาดบอลออกมาให้ แล้วเจ้าตัวก็จะใช้ความเร็วไปกับลูกบอลกระชากลากเลี้อย จนทำให้เกมรับของอาร์เซนอลจับทางไม่ถูก เรียกได้ว่าแท็คติกของเดวิด มอยส์ นั้นทำงานได้ดีตามแผน นี่ยังไม่นับรวมจังหวะลูกนิ่งจากเจมส์ วอร์ด พาวน์ อีกนะครับเนี่ยะ 4. มาร์ตินเนลีย์หายไปจากเกมตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้ายของอาร์เซนอลรายนี้ขึ้นชื่อเรื่องการใช้ความเร็ว แต่พอเจอแผนมหาอุตย์ของเวสต์แฮมเข้าไป พิษสงของเขาก็ลดน้อยลงไปด้วย เวสต์แฮมทำเหมือนกับตักดินสนามออกไปเสี้ยวหนึ่ง และเมื่อไม่มีที่ให้วิ่งประโยชน์ของมาร์ตินเนลีย์จะเหลืออะไร เขาทำอะไรไม่ได้เลยตลอดทั้งเกม อย่าว่าแต่เห็นตัวเลยครับขนาดผู้บรรยายยังแทบจะไม่ได้ขานชื่อเขาเลยด้วยซ้ำ 5. ยิงยังไงก็ไม่เข้าเลยเสียจุดโทษไปซะให้มันจบๆ!อันนี้ไม่ได้จะประชดอะไรหรอกนะครับ แต่วันนี้อาร์เซนอลเป็นแบบนี้จริงๆ คือยิงยังไงก็ไมเข้าแม้จะใช้การบุกทุกรูปแบบแล้ว ทั้งเจาะเข้าช่อง , ชิ่งบอลหนึ่งสอง , ให้เพื่อนวิ่งทะลุไลน์เข้าไปจากด้านหลัง , ยกบอลข้ามหัวแผงกองหลัง , ยิงไกล , ทำแม้กระทั่งล้มตัวจะเอาจุดโทษ แต่มันก็ยังไม่เข้า! คือบุกจนท้อแท้และหมดแรงไปเอง มิหนำซ้ำช่วงท้ายเกมไรซ์ที่เล่นดีเนียนกริบมาตลอดทั้งเกมก็ดันไปลื่นเสียจังหวะ พอจะเข้าสกัดก็เลยกลายเป็นพรวดเตะเขาจนเสียจุดโทษ แพ้ 2 - 0 กับแพ้ 3 - 0 ก็แพ้เหมือนกัน คิดปลอบใจตัวเองได้แค่นั้น แต่ก็โชคดีไปที่เบนรามายิงจุดโทษลูกนี้ไม่เข้า สรุปสุดท้าย ฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ต่อให้ฟอร์มจะร้อนแรงชนะมาต่อเนื่อง สถิติจะขี่แบบหลายขุม แต่พอเจอ VAR ที่เป็นจุดเปลี่ยนเข้าไป บวกกับรายละเอียดและจังหวะเล็กๆน้อยๆผลการแข่งขันก็เปลี่ยนไปได้ พรีเมียร์ลีกปีนี้ยังคงสนุก ผ่านไปครึ่งทาง 19 นัดแล้วแต้มยังไม่ห่างกันมาก แมนซิตี้แชมป์เก่าก็กำลังไล่จี้ขึ้นมา ส่วนทีมกลางๆค่อนไปทางเล็กก็มีวิธีการเล่นที่หักกับทีมใหญ่ได้สนุก อีก 19 นัดที่เหลือน่าดูน่าชมเหลือเกินครับ เครดิตรูปภาพรูปหน้าปก 1 จาก FB : Arsenalรูปหน้าปก 2 จาก FB : Arsenal ภาพที่ 1 จาก FB : Arsenal ภาพที่ 2 จาก FB : Arsenal ภาพที่ 3 จาก FB : Arsenal ภาพที่ 4 จาก FB : Arsenal ภาพที่ 5 จาก FB : Arsenal