รีเซต
TRUE TALK : "คิปโชเก้" ตัวอย่างความมุ่งมั่นที่น่านำมาปรับใช้กับ ทีมชาติไทย ... by "พี่หมอเอก"

TRUE TALK : "คิปโชเก้" ตัวอย่างความมุ่งมั่นที่น่านำมาปรับใช้กับ ทีมชาติไทย ... by "พี่หมอเอก"

TRUE TALK : "คิปโชเก้" ตัวอย่างความมุ่งมั่นที่น่านำมาปรับใช้กับ ทีมชาติไทย ... by "พี่หมอเอก"
kentnitipong
22 กันยายน 2561 ( 16:15 )
115

เมื่อเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา “พี่ตูน” ของชาวไทยทั้งประเทศได้เริ่มต้นทำสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้ช่วงเวลานั้นดัชนีความสุข และความหวังของคนไทยสูงจนพุ่งชนเพดาน

และในวันนี้เขาได้สานต่อสิ่งที่เขาทำไว้เมื่อปีที่แล้วด้วยบทสรุปที่ถูกนำเสนอออกมาในรูปภาพยนตร์ เป็นภาพยนตร์ที่เมื่อได้ดูแล้วได้ความอิ่มใจ ความตื้นตันใจ ได้กำลังใจ และทำให้เห็นว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาโดยง่าย ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังมากมายที่ไม่มีใครได้เห็น

 

 

ในปีนี้ก็มีเรื่องยิ่งใหญ่ในวงการวิ่งมาราธอน เมื่อ “เอเลียด คิปโชเก้” นักวิ่งมาราธอนชาวเคนย่า ได้ทำลายสถิติโลกของการวิ่งมาราธอน เป็นมนุษย์คนแรกที่ทำเวลาเขยิบเข้าใกล้ 2 ชั่วโมงมากที่สุด อยู่ที่ 2 ชั่วโมง 1 นาที 39 วินาที

เหลืออีกเพียง 99 วินาที ที่เขาต้องเร็วขึ้นเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถทำเวลาในการวิ่งมาราธอนได้ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

หลายคนที่ไม่เคยได้ติดตามการวิ่งมาราธอนมาก่อนอาจรู้สึกสงสัยว่าเพราะอะไรถึงได้มีคนตื่นเต้นมากมายที่จะเห็นมนุษย์สักคนที่วิ่งมาราธอนจบในเวลาน้อยกว่าสองชั่วโมง

AP Photo/Markus Schreiber

เราก็คงต้องย้อนไปอ้างถึงตำนานของกรีกที่กล่าวถึงต้นกำเนิดของการวิ่งมาราธอนว่า เมื่อกองทัพของกรีกชนะสงครามที่เมืองมาราธอนแล้วต้องการส่งข่าวไปกรุงเอเธนส์ ทางกองทัพจึงได้มอบหมายให้นายทหารชื่อว่า ฟิลิปปิดีซ วิ่งไปส่งข่าว แต่น่าเศร้าที่เขาวิ่งไปโดยไม่ได้แวะพักที่ใดเลย เมื่อมาถึงที่หมายเขาตะโกนคำที่มีตงามหมายว่า “เราชนะ” แล้วล้มลงเสียชีวิตตรงนั้นนั่นเอง

การวิ่งมาราธอนมีความเชื่อที่พูดต่อๆ กันมาว่า หากใครวิ่งมาราธอนจบภายในเวลา 2 ชั่วโมงได้ เขาจะต้องเสียชีวิต เหมือนกับที่ ฟิลิปปิดีซ เป็น แต่ก็ยังไม่มีมนุษย์คนไหนที่วิ่งมาราธอนได้เร็วขนาดนั้น

จนเป็นที่มาให้ ไนกี้ ทำโครงการ Breaking2 ขึ้นด้วยการให้นักวิ่งมาราธอนระดับแชมป์สามคนที่เคยทำสถิติในการแข่งขันใกล้เคียงสองชั่วโมงที่สุดมาร่วมโครงการนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็แน่นอนว่าต้องเป็นนายคิปโชเก้ (ถ้าใครสนใจเรื่องราวของโครงการนี้สามารถหาดูได้ในยูทูปครับ)

ถึงแม้ในการวิ่งทดสอบของไนกี้นั้น นักวิ่งเหล่านี้จะไม่มีใครสามารถวิ่งทำเวลาให้น้อยกว่าสองชั่วโมงได้ก็ตาม แต่ในวันนี้ที่ เบอร์ลิน มาราธอน คิปโชเก้ ได้แสดงให้เห็นว่าเขายังคงหมั่นฝึกซ้อมเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย Breaking2 ให้ได้ และเขาเขยิบเข้าใกล้กับการเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่งมาราธอนได้ในเวลาต่ำกว่าสองชั่วโมง

AP Photo/Markus Schreiber

เรื่องราวของ พี่ตูน กับ คิปโชเก้ นี้อาจจะมีบริบท และรายละเอียดของเรื่องราวที่ต่างกัน แต่เขาทั้งสองมีเหมือนกันคือ เป้าหมาย และความมุ่งมั่นที่จะไปสู่เป้าหมายนั้นให้ได้ มีการวางแผนที่ดีโดยการสนับสนุนของทีม และที่สำคัญคือวิทยาศาสตร์การกีฬาถูกนำมาใช้อย่างถูกต้องอยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่เรามมองเห็นอย่างชื่นชม

กว่าที่จะประสบความสำเร็จแบบนี้ เขาต้องผ่านบททดสอบมากมาย ต้องใช้ความอดทน และความตั้งใจมากขนาดไหนในการจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้น

เรื่องราวของนักวิ่งทั้งสองคนนี้น่าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจ และมอบพลังให้หลายๆ คนได้ครับ

Alessandro Della Valle/Keystone via AP

นอกจากเรื่องราวแห่งความประทับใจ และสร้างแรงบันดาลใจจากการวิ่งแล้ว ในแวดวงกีฬายอดฮิตอย่าง ฟุตบอล โดยเฉพาะฟุตบอลลีกของทางฝั่งยุโรปได้เริ่มฟาดแข้งฤดูกาลใหม่กันไปหลายนัดแล้ว รวมถึงฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ได้เริ่มลงสนามนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มกันแล้ว

เสียดายที่ปีนี้ไม่มีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงินในบ้านเรา ทั้งที่เมื่อดูการแบ่งสายในปีนี้ต้องบอกเลยว่าเราจะได้เห็นยักษ์ชนยักษ์หลายคู่ซึ่งน่าจะรับประกันความมันส์ในการรับชมได้มากทีเดียว

เพียงแค่นัดแรก แฟนบอลก็ได้เห็นทีมฟุตบอลที่เน้นเกมบุกแบบบ้าระห่ำ มีแผงกองหน้าที่ทั้งเร็วทั้งอันตรายมาเจอกัน คือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เปิดบ้านต้อนรับทีมมหาเศรษฐีอย่าง เปเอสเช
แล้วก็เป็นไปตามคาดที่ทั้งคู่เปิดหน้าแลกกันอย่างสนุกดุเดือดก่อนที่ ฟีร์มีโน่ จะยิงลูกยิงผีจับยัดที่ไหลผ่านไปไม่รู้กี่ขาก่อนจะเสียบเข้ามุมประตูอย่างสวยงามหมดจดในเวลาที่เหมาะเจาะ เหมือนหมัดน็อคในวินาทีสุดท้ายที่ส่งให้ทีมเศรษฐีปารีสสลบเหมือดคาเวที พร้อมกับท่าดีใจ “ไม่พูดมาก เจ็บตา” ที่ระบาดไปทั่วโลกโซเชียลในชั่วข้ามคืน

อย่างที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้แล้วว่าหลังจากฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด เราน่าจะได้เห็นสโมสรต่างๆ โดยเฉพาะทางยุโรปมีการเล่นฟุตบอลที่เร็วขึ้น บีบพื้นที่มากขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด และการเล่นแบบสมัยใหม่นี้ยิ่งหากตั้งรับเพื่อหวังสวนกลับแต่มีกองหน้าที่ไม่เร็วพอ หรือเก่งพอ ก็ยิ่งถูกบีบพื้นที่สูงใกล้หน้าปากประตูตัวเองให้เสียการครอบครองบอลนำมาสู่การเสียประตูในที่สุด ฟุตบอลสมัยนี้จะเน้นเล่นรัดกุม รับเหนียวแล้วรอสวนตู้มเดียวเป็นประตูนั้นเริ่มจะตกยุคไปแล้วครับ ขนาดเฮียมู เจ้าพ่อรถบัสขนานแท้ยังต้องเปลี่ยนแนวทางการทำทีมของเขาจากรูปแบบเดิมๆ ที่เขาเคยประสบความสำเร็จมา

ความมหัศจรรย์ของ ลิเวอร์พูล ที่เราได้เห็นตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลใหม่มานี้เป็นผลต่อเนื่องจากการทำงานของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานที่ค่อยๆ ปรับจูน บ่มเพาะทีม ค่อยเสริมจิ๊กซอว์ประกอบเข้ามาทีละส่วนจนเริ่มส่งผลให้เห็นในฤดูกาลนี้ที่ทุกอย่างดูลงตัวตั้งแต่ต้นฤดูกาล

AP Photo/Dave Thompson

การจะเล่นฟุตบอลในแบบเฮวีเมทัลฟุตบอลตามแบบฉบับของ คล็อปป์ นั้นเขาต้องสร้างความฟิตให้นักเตะทุกคนวิ่งบีบพื้นที่ได้ตลอดทั้งเกมแบบไม่มีหมดแรง ต้องสร้างความเข้าใจให้นักเตะทั้งทีมเคลื่อนไหวบีบพื้นที่พร้อมกัน ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

ถ้าจะถอดรหัสจากรูปแบบการเล่นของ ลิเวอร์พูล เพื่อดูว่าพวกเขาฝึกซ้อมมาแบบไหนถึงได้ทำผลงานที่น่าตื่นตาตื่นใจในฤดูกาลนี้…

High Intensity Interval training คือ การฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มทั้งความเร็ว ความอึด และการฟื้นตัวระหว่างรอบของการสปรินท์ที่รวดเร็ว ในทางฟุตบอลนั้นจะใช้การซ้อมในพื้นที่แคบที่เรียกว่า Small Size Game เป็นหลัก เพราะนอกจากการฝึกแบบนี้จะได้ผลเรื่องสภาพร่างกายแล้ว ยังจะเป็นการฝึกการเคลื่อนที่เป็นทีมไปด้วยในตัว

Muscle strengthening ซึ่งน่าจะมีการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแกร่ง แต่ไม่ทำให้ความเร็วลดลงด้วยการเน้นการระเบิดพลังของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะอยู่ที่รูปแบบของ Weight Training ครับ

Agility ถ้าสังเกตการเล่นรายบุคคลของนักเตะลิเวอร์พูล จะเห็นการเคลื่อนที่ การพลิกตัว การขยับที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากโปรแกรมการฝึกที่เพิ่มความคล่องตัว เช่น การวิ่งซิกแซ็ก การวิ่งกลับตัว การซอยเท้า เป็นต้น

High pressure ด้วยบุคลิกของ คล็อปป์ และทีมงาน ผมเชื่อว่าการฝึกซ้อมต้องเข้มข้น ขึงขัง จริงจังสุดๆ เพื่อให้นักฟุตบอลได้ฝึกรับมือกับความกดดัน และยิ่งช่วยให้รีดพลังความสามารถออกมาได้เต็มที่

Game correction ในการฝึกซ้อมจะต้องมีทั้งการฝึกรูปแบบการเล่นเป็นทีมในสนาม และการดูวิดีโอเพื่อแก้ไข และอธิบายแผนการเล่น – ตำแหน่งการยืนที่ถูกต้อง

จะเห็นว่านี่เป็นหลักการที่โค้ชทั่วๆ ไปก็น่าจะทราบและเข้าใจอยู่แล้ว ทำไมโค้ชทุกคนถึงทำเหมือนกันไม่ได้ ???

ความแตกต่างคือ รายละเอียดที่โค้ชแต่ละคนใส่ไปในโปรแกรมการฝึกซ้อม
ความแตกต่างคือ ความถูกต้องตามหลักการทางวิชาการในแบบการซ้อมที่โค้ชนำมาใช้
ความแตกต่างคือ บุคลิก และทัศนคติของโค้ช
และสุดท้ายคือ ความแตกต่างด้านทักษะ และความสามารถเฉพาะตัว รวมถึงความเข้าใจเกมของนักเตะ

เมื่อดูบอลต่างประเทศแล้ว ลองมองย้อนกลับมาที่ฟุตบอลไทยกันบ้าง

มีโค้ชไทยกี่คน ที่ศึกษาวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างถ่องแท้ หรือมีผู้ที่มีความรู้จริงด้านวิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยวางแผนการซ้อมเพื่อหวังผลทางด้านสมรรถภาพร่างกายอย่างแท้จริง ?

มีนักเตะไทยกี่คน ที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในศาสตร์ของฟุตบอล เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเราไม่เคยสอนนักกีฬาของเราให้เข้าใจศาสตร์ของฟุตบอลอย่างจริงจัง แค่ให้เขาเล่นๆ ไปตามที่โค้ชสั่งเท่านั้น

ถ้าอยากเห็นบอลไทยไปบอลโลกจริง เราคงไม่ทำแค่พูดว่าเราจะไปบอลโลกปีนั้นปีนี้ แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรให้เราไปถึงบอลโลกให้ได้ตามนั้น

น่าจะดีถ้าเราเอาความตั้งใจที่มุ่งมั่นสุดๆ ของพี่ตูน หรือ คิปโชเก้ มาใช้กับความตั้งใจที่จะให้เราไปบอลโลกให้ได้ รวมทั้งเอาความมุมานะ อดทน และการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนของนักวิ่งทั้งสองนี้มาเลียนแบบ เพื่อจะทำให้เราไปถึงฝันให้ได้

บางทีเราอาจจะได้ไปฟุตบอลโลกก่อนที่มนุษย์จะวิ่งมาราธอนในเวลาต่ำกว่าสองชั่วโมงก็เป็นได้…

“พี่หมอเอก”

ดูบอลสดฟรี ไม่มีสะดุด ลูกค้าทรูมูฟ เอช รับเน็ต 2GB ดูทรูไอดีฟรี เปิดทรูไอดีทุกวันรับฟรีทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ – 30 พ.ย.61  คลิกเลย

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID

ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้