จะมินิมาราธอน ฮาล์ฟมาราธอน หรือฟูลมาราธอน ไม่มีคำว่าง่ายแน่นอน โดยเฉพาะถ้าเป็นการวิ่งครั้งแรก การวิ่งระยะไกลจัดได้ว่าเป็นกีฬาแห่งความถึกทน ต้องอดทนกับชั่วโมงวิ่งอันยาวนาน ระยะทางที่ยาวไกล ความเหนื่อยอ่อนหมดแรงของร่างกาย และความบาดเจ็บที่เกิดขึ้นได้ทุกขณะ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ใช่นักวิ่งระดับ "สายแข็ง" คุณฝึกฝนมาแบบวางแผนความเร็วอย่างรัดกุมเพื่อไปให้ถึงเส้นชัย ทุกนาทีที่ล่าช้าจนคุณผิดแผนที่ตั้งไว้ ย่อมมีผลลบกับจิตใจของคุณทั้งสิ้น บางคนอาจถึงกับหงุดหงิดและกราดเกรี้ยวกับตัวเองได้ บอกเลยว่ากีฬาที่อาศัยความอึดของร่างกาย ศัตรูที่โหดร้ายที่สุดคือใจเราเอง Photo by Gerald on Pixabay จำได้ว่าในสมัยที่ฉันเทรนตัวเองเพื่อวิ่งฮาล์ฟมาราธอน 21 กม. ฉันจะลงแข่งแบบ Virtual Running 15 กม.ให้สำเร็จก่อน เพื่อดูว่า "สายอ่อน" อย่างฉันจะทำมันสำเร็จไหม ปรากฏว่าอะไร ๆ ก็ผิดแผนไปหมด ทั้งการเลือกสนาม ช่วงเวลา อากาศ ความเร็ว ความท้อถอย อ่อนล้า เบื่อหน่าย แม้จะวิ่งสำเร็จตามที่ตั้งใจ แต่ก็ได้ชิมลางความรู้สึกหลายอย่างที่คาดไม่ถึง ดังนั้นเมื่อคุณตั้งใจจะวิ่งสร้างสถิติระยะทางใหม่ การซ้อมระยะทางราว 3 ใน 4 ของระยะที่ตั้งใจไว้ จะทำให้คุณได้ "เข้าใจข้อจำกัดของตัวเอง" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การซ้อมเพิ่มระยะอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับฉันมันไม่ใช่แค่การซ้อมวิ่ง แต่เป็นการซ้อม "รับความจริง" ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับความรู้สึกที่ควบคุมได้ยากของตัวเรา พอตั้งใจจะวิ่ง 21 กม.ประสบการณ์จึงสอนให้ฉันวางแผนอย่างเรียบง่าย พยายามไปถึงเส้นชัยให้ได้ด้วยแผนการวิ่งและความเร็วที่เมตตากับตัวเองที่สุด ประณีประณอมกับตัวเองมากที่สุด เพื่อไปให้ได้ไกลที่สุด โดยบาดเจ็บน้อยที่สุด Photo by Ernestoeslava on Pixabay กระนั้นหลังกิโลเมตรที่ 16 ขึ้นไป สิ่งที่กลัวก็ยังคงเกิดขึ้นจนได้ นั่นคือความรู้สึกว่า "เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่" ยิ่งระยะกิโลเมตรท้าย ๆ เหมือนสองขาเริ่มจะเป็นศัตรูกับหัวใจ แต่ละร้อยเมตรที่ก้าวไปดูเหมือนจะยิ่งยาวไกลขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อลงสนามวิ่งแล้ว การจะเลิกล้มคงไม่ง่าย มาถึงจุดนี้ยังไงต้องหาทางไปข้างหน้าต่อ งานนี้สารพัดเทคนิคที่ต้องเรียกขึ้นมากู้สภาวะของใจ แค่สั่งตัวเองให้ "สู้สู้" อาจจะเอาไม่อยู่แล้ว สภาวะของใจนั้นสำคัญสุด ๆ ที่จะทำให้คุณไม่หยุดถอดใจกลางทาง ดังนั้นนอกจากตระเตรียมร่างกาย ฉันแนะนำให้นักวิ่งพก “เทคนิคประคองใจ” ที่จะสามารถช่วยกอบกู้ตัวเองให้วิ่งต่อไปมาให้เต็มกระเป๋า ถ้าคุณยังไม่ได้เตรียมเทคนิคสร้างความฮึกเหิมเหล่านี้เอาไว้ มาดูกันว่าพอจะมีเทคนิคน่าสนใจใดที่คุณอาจนำไปใช้บ้าง Photo by Skeeze on Pixabay 1) ทอนภารกิจใหญ่ให้เป็นภารกิจย่อย แทนที่จะแบกความคิดว่าคุณต้องวิ่งระยะไกล ให้คิดว่าคุณกำลังวิ่งระยะสั้นหลาย ๆ ภารกิจ เช่น ถ้าการวิ่งของคุณคือฮาล์ฟมาราธอน 21 กม. ให้คิดมันคือการวิ่ง 5.25 กม. 4 รอบ การแบ่งภารกิจของคุณออกเป็นช่วง ๆ จะทำให้คุณรู้สึกว่าระยะทางไม่ยาวนานจนสุดทน เมื่อเริ่มวิ่งรอบแรกเป้าหมาย 5.25 กม.จบลง แทนที่จะบอกตัวเองว่ายังเหลืออีกตั้ง 16 กม.ซึ่งจะทอนกำลังใจให้ท้อถอย ให้คุณคิดว่าสำเร็จภารกิจที่หนึ่งแล้ว เมื่อเริ่ม 5.25 กม.รอบที่สอง ให้คิดภาพตัวคุณเหมือนเริ่มภารกิจใหม่ บอกตัวเองว่านี่คือขาคู่ใหม่ที่ยังไม่ผ่านการวิ่งมาเลย ฉันเห็นหลายคนที่ลงวิ่งมินิมาราธอน 10 กม.มาบ่อยจนชิน เขาจะบอกตัวเองว่า "ฮาล์ฟมาราธอนคือการวิ่งมินิมาราธอน 2 รอบ" ดังนั้นเมื่อครบระยะ 10 กิโลเมตรแรก เขาจะชื่นชมตัวเองดุจได้เข้าเส้นชัย พักดื่มน้ำปลุกขวัญรีเฟรชตัวเองใหม่ แล้ววิ่งมินิมาราธอนรอบสองต่อไปด้วยใจที่สดชื่น Photo by Hbieser on Pixabay 2) หาเกมสนุกเล่นไปด้วยระหว่างทาง พยายามทำให้การวิ่งอันยาวนานหลายชั่วโมงของคุณเป็นความสนุกสนาน โดยหาเกมมันส์ ๆ เล่นไปด้วย เช่น วิ่งไปคอยนับไปว่ามีนักวิ่ง “ใส่หมวกสีเขียว” กี่คน เทคนิคของฉันคือพยายามกัดฟันวิ่งแซงใครสักคนที่อยู่ข้างหน้าทุก 10 นาที เป็นวิธีเบี่ยงใจตัวเองไปโฟกัสกับเรื่องอื่นนอกเหนือจากระยะทาง และไม่ให้มัวแต่สนใจกับความทรมานและความเหน็ดเหนื่อย 3) เพราะมันไม่ง่ายไง จึงไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ เมื่อพ้นระยะทางที่คุ้นเคยไป ความเหน็ดเหนื่อยในกิโลเมตรท้าย ๆ จะทำให้ความรู้สึกท้อเริ่มรุนแรงขึ้น ฉันจำได้ว่าตัวเองเริ่มก่นด่าตัวเองในใจว่า "ผีอะไรดลใจให้พาตัวเองมาทำอะไรแบบนี้ เสล่อสุด ๆ ดันมาทำอะไรที่ยากเกินร่างกายจะรับไหว" แต่พอนึกขึ้นมาได้ก็รีบเตือนตัวเองว่า “เออใช่ เพราะมันไม่ง่ายไง ถึงไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้” ใช้เทคนิค "ก็เพราะมันไม่ง่ายไง ฉันถึงมาอยู่ตรงนี้" เพื่อปลุกพลังใจของคุณให้กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง เหตุผลที่คุณมาทำสิ่งนี้เพราะน้อยคนที่จะทำได้ เพราะมันยากนี่แหละมันจึงท้าทาย และถ้าคุณทำได้นี่คือประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของชีวิตคุณ Photo by Skeeze on Pixabay 4) คิดถึงเหตุการณ์หลังเส้นชัย เทคนิคผลักดันให้ทนก้าวขาต่อไปได้อย่างยอดเยี่ยม คือให้คิดถึงความรู้สึกฟินสุด ๆ ตอนที่เท้าแตะเส้นชัย ความรู้สึกสุดเจ๋งที่ได้ทำลายสถิติของตัวเองสำเร็จ อาจนึกถึงภาพอาหารมื้อใหญ่ที่จะให้รางวัลตัวเองหลังจบการวิ่ง หรือเตียงนุ่ม ๆ ที่จะได้พักยาวในคืนนี้ เทคนิคของฉันคือ มโนว่าเราจะลงภาพวิ่งเข้าเส้นชัยอวดเพื่อนในโซเชียลมีเดีย จินตนาการต่อไปว่าเพื่อนคนไหนจะเม้นท์เราว่ายังไงบ้าง นึกถึงประโยคที่เราจะโทรไปเล่าให้ครอบครัวฟัง นึกไปจนถึงท่าทางของแม่ที่จะตาโตด้วยความตกใจ นึกไปจนถึงว่าได้เหรียญแล้วจะเอาไปแขวนไว้ตรงไหนในห้องดี 5) จำลองความรู้สึกของนักวิ่งเหรียญทอง เมื่อคุณมาถึงจุดที่ขาคุณไปไม่ไหว หรือใจคุณตกต่ำถึงขีดสุด ให้กระชากตัวเองขึ้นมาจากความรู้สึกอยากลงไปนอนแผ่ข้างทาง ด้วยการคิดถึงความรู้สึกของนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก จินตนาการถึงไอดอลกีฬาทุกคนที่คุณรัก พวกเขาต่างเคยฝ่าฟันขีดจำกัดทางร่างกายในแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น บอกตัวเองอย่างฮึกเหิมว่าถ้าคุณผ่านวินาทีแบบนี้ไปได้ คุณจะไปถึงเส้นชัยด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่เหมือนพวกเขา Photo by RoboMichalec on Pixabay สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่ นอกจากพกอะไรต่อมิอะไรไปให้พร้อมสรรพในวันแข่งแล้ว ฉันขอให้คุณพกเทคนิคทั้งห้านี้ไปสนามด้วย ผลัดกันนำแต่ละเทคนิคขึ้นมากอบกู้สภาวะจิตใจในขณะวิ่ง ดึงอารมณ์ไม่ให้ดิ่งลงในระหว่างการแข่งขัน เลือกหยิบมาใช้กับตัวเองให้ทันในสภาวการณ์คับขันต่าง ๆ ตลอดหลายชั่วโมงอันยาวนาน สำคัญที่สุดอย่าให้สองขาเป็นศัตรูกับหัวใจ แล้วนี่จะเป็น "ดรีมทีม" ที่พาคุณเข้าสู่เส้นชัยสำเร็จ