ผลบอลพรีเมียร์ลีกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะบิ๊กแมตช์เพื่อทวงความได้เปรียบในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อจ่าฝูง ณ ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล จะต้องออกไปเยือน อันดับที่ 3 อย่าง อาร์เซนอล ทั้งสองทีมต้องการ 3 แต้มเพื่อสร้างความได้เปรียบและโมเมนตัมให้กับพวกเขาในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่สุดท้ายแล้ว ก็เป็นฝั่งเจ้าบ้านที่สามารถคว้าชิ้นปลามัน 3 แต้มสำคัญไปครองได้สำเร็จ โดยอาร์เซนอลเอาชนะไปได้ 3-1 เจ้าบ้านขึ้นนำได้ก่อนจากบูกาโย่ ซาก้า และทีมเยือนตีเสมอในช่วงท้ายครึ่งแรกจากการทำเข้าประตูตัวเองของกาเบรียล มากัลเญส และครึ่งหลังเจ้าบ้านก็จัดหนักจัดเต็มอีก 2 ประตู จากกาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และเลอันโดร ทรอสซาร์ ส่งผลให้อาร์เซนอลแซงขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูงชั่วคราว มี 49 คะแนน ตามหลังลิเวอร์พูลอยู่ 2 คะแนนมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างในเกมนี้ มาดูกันครับเหตุการณ์ที่ 1: ไม่มีเฆซุส ไม่มีปัญหาหลังจากที่ไอ้ปืนใหญ่ต้องเจอกับข่าวร้ายเมื่อ กาเบรียล เฆซุส กองหน้าตัวหลักของทีมมีอาการบาดเจ็บ ทำให้มิเกล อาร์เตต้าเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้เล่น ด้วยการส่งจอร์จินโญ่ลงในตำแหน่งกองกลางฝั่งซ้ายและโยก ไค ฮาแวตซ์ไปยืนเป็นกองหน้าแทน ซึ่งจริงๆแล้วแผนนี้ของอาร์เตต้าถือว่าได้ผล เพราะด้วยความสูงใหญ่และความขยันของฮาแวตซ์ในการฉวยโอกาสเล่นเกมรุก ช่วยให้ไอ้ปืนใหญ่คว้าความได้เปรียบในเกมนี้ได้ก่อน อีกทั้งความยืดหยุ่นของแผนนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลก็ไม่ทันระวังการขึ้นเกมของอาร์เซนอล นี่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รูปเกมของอาร์เซนอลดูโดดเด่นกว่าลิเวอร์พูลอย่างมากเหตุการณ์ที่ 2: บทบาทจอร์จินโญ่และความขยันของไรซ์ถือว่าเป็นตำแหน่งที่เซอร์ไพรซ์มากๆสำหรับการจับจอร์จินโญ่ลงในตำแหน่งกองกลางฝั่งซ้ายแทนที่ของเอมิล สมิธ โรว ที่แม้จะทำผลงานได้ดีในนัดที่แล้ว แต่อาร์เตต้าก็ถือว่าใจถึงด้วยการจับจอร์จินโญ่ลงในเกมใหญ่เกมนี้ แต่ด้วยความเก๋าประสบการณ์ ความนิ่งในการส่งบอล แทงจ่ายคิลเลอร์พาสในหลายจังหวะ และการมีดีแคลน ไรซ์ในเกมนี้ก็ถือว่าเป็นบทบาทที่ทำเอาราคา 100 ล้านปอนด์คุ้มอีกแล้ว ความขยันในการไล่บอล ตัดบอล เบียดแย่งกับคู่แข่ง แถมยังมีส่วนช่วยให้จอร์จินโญ่และมาร์ติน โอเดการ์ดเล่นได้ง่ายและลื่นไหลขึ้น ยิ่งตอกย้ำว่า แผนนี้ของอาร์เตต้าในเกมใหญ่ ได้ผลอย่างชัดเจนเหตุการณ์ที่ 3: จังหวะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆในเกมนี้เกมนี้เป็นอีกเกมที่บ่งบอกถึงคำว่า "ดวงจะซวย มันช่วยไม่ได้" ด้วยจังหวะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆในจังหวะประตูที่เกิดขึ้น ทั้งการยืนตำแหน่งไม่แน่นพอของกองหลังลิเวอร์พูล การสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างดาบิด ราย่าและวิลเลี่ยม ซาลิบา จนเป็นบ่อเกิดการเสียประตูแบบน่าเขกกะโหลก จังหวะการตัดบอลที่สื่อสารผิดพลาดเช่นกันระหว่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์น กับอลิสซอนที่พุ่งออกมาเล่นบอลผิดจังหวะ จนโดนกาเบรียล มาร์ติเนลลี่ฉกบอลไปยิง จังหวะที่อิบราฮิมา โกนาเต้เสียฟาวล์แบบไม่น่าพลาดจนเจ้าตัวโดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม จนกระทั่งจังหวะประตูชัยของอาร์เซนอลที่เลอันโดร ทรอสซาร์ใช้ความสามารถเฉพาะตัว ผ่านตัวประกบไปได้ และยิงประตูได้สำเร็จ นี่คือเกมที่จังหวะเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นเยอะมาก มันสามารถสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด และเป็นอาร์เซนอลที่สามารถฉกฉวยโอกาสเหล่านี้ได้สำเร็จเหตุการณ์ที่ 4: การจัดตัวผู้เล่นที่ไม่ค่อยเข้าตาแฟนบอลของเจอร์เกน คล็อปป์เจอร์เกน คล็อปป์สร้างเซอร์ไพรซ์อีกครั้งด้วยการปรับตัวผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คขวา และปีกขวา เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ได้ลงเล่นแทนที่ คอนเนอร์ แบรดลีย์ที่ฟอร์มไฉไลมากๆในนัดที่แล้ว โคดี้ กัคโปที่ได้ลงตำแหน่งปีกขวา แทนดิโอโก้ โจต้าที่โดนโยกไปเล่นกองหน้าแทนดาร์วิน นูนเญส ที่มีอาการเท้าบวม ก่อนที่จะถูกส่งลงเป็นตัวสำรองในช่วงครึ่งหลัง กลายเป็นว่าตำแหน่งที่เปลี่ยนตัวผู้เล่น กลับไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างที่คิดไว้ เทรนต์โดนกาเบรียล มาร์ติเนลลี่วิ่งเผาจนตามไม่ทัน ลูกเปิดที่เป็นลูกอันตรายของเขาก็กลายเป็นเปิดทิ้งๆขว้างๆเสียของแทน กัคโปก็แทบจะไม่มีจังหวะฉาบฉวยให้กองหลังอาร์เซนอลหวาดเสียวเลย นี่จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอีกครั้งของคล็อปป์ในการเลือกใช้งานผู้เล่นในเกมแต่ละเกมอีกครั้ง เพราะการเปลี่ยนแปลงบางครั้งมันไม่ช่วยให้ทีมดีขึ้น จุดไหนไม่เสียหรือไม่ใช่ไม่ดี อย่าไปแก้ไขเลย ไม่งั้นจะแย่กว่าเก่าอีกพอแก้ไปแล้วเหตุการณ์ที่ 5: เฮฟวี่เมทัลหยุดทำงานหรือแค่ไม่ใช้ในเกมนี้คล็อปป์เคยเปลี่ยนวิธีการเล่นของทีมเพื่อดูสถานการณ์ของฝั่งตรงข้ามว่าจะมาแผนไหน แต่มาในครั้งนี้การเปลี่ยนวิธีการเล่น ทำให้พวกเขาเจอกับความเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงครึ่งแรก ด้วยความผิดพลาดและความลนลานของผู้เล่นหลายคน ทำให้แทนที่จะสามารถเล่นในเกมที่พวกเขาถนัดได้ กลายเป็นพวกเขาต้องเป็นฝ่ายไล่บี้ไล่ตามแทน ซึ่งปกติแล้วลิเวอร์พูลเฮฟวี่เมทัลสไตล์จะเป็นของแสลงของหลายๆทีม แต่นัดนี้ดูเหมือนจะเงียบงันไป และถูกปลุกให้มีเสียงอีกครั้งในช่วงท้ายเกมที่พยายามไล่บี้ไล่ทำประตู จนสุดท้ายไม่สามารถสร้างความได้เปรียบได้ นี่จึงเป็นการบ้านที่คล็อปป์จำเป็นต้องแก้ไขในเกมถัดๆไปให้ได้ หากยังหวังที่จะคว้าแชมป์ส่งท้ายการคุมทีมของเขาเหตุการณ์ที่ 6: แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิ้มกริ่มเมื่อจบเกมนี้ในตอนนี้ฝ่ายที่ยิ้มได้ใจสุดๆก็คงเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่รอแข่งในคืนวันจันทร์นี้ และยังมีนัดตกค้างที่เหลือในมืออีก 1 นัด หากพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้ทั้ง 2 นัด พวกเขาจะแซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงแทนลิเวอร์พูลทันทีทันใด กลายเป็นว่าโมเมนตัมตอนนี้เหวี่ยงไปหาเรือใบสีฟ้าที่พร้อมจะแซงหน้าเพื่อทวงบัลลังก์จ่าฝูงที่พวกเขาโหยหามานานในฤดูกาลนี้ แต่สุดท้ายการจะได้แชมป์หรือไม่ได้แชมป์ ขึ้นกับนัดที่จะต้องเจอกันเองที่เหลือ หากผ่านไปได้ สุดท้ายทีมที่เข้าป้ายคว้าแชมป์อาจจะเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกครั้งก็เป็นได้ ขอขอบคุณภาพประกอบบทความภาพที่ 1,2,3,4, ภาพปก 1 และ ภาพปก 2 จาก Facebook Arsenalภาพที่ 5 และ 6 จาก Facebook Liverpool FCภาพที่ 7 จาก Facebook Manchester City เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี