"สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" วลีนี้คงใช้กับทีมไหนไปไม่ได้แล้วนอกจาก "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่ในช่วงนี้เจอกับปัญหานักเตะบาดเจ็บกันครึ่งค่อนทีมจนต้องดันเด็กๆ จากอคาเดมีขึ้นมาเล่น แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเด็กเหล่านี้จะพาทีมเข้ารอบในฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่างเอฟเอ คัพ แถมเป็นการชนะทีมที่เพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมาอย่าง "นักบุญแดนใต้" เซาแธมป์ตันอีกด้วย แถมเกิดสถิติระดับประวัติศาสตร์ของสโมสรขึ้นใหม่อีกด้วย เพราะมีนักเตะที่อายุน้อยที่สุดได้ลงเล่นให้กับทีมในรายการนี้ด้วยอายุที่น้อยที่สุดผมได้รวบรวม 4 ประเด็นที่น่าสนใจในเกมนี้มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันครับ จะมีประเด็นในเรื่องใดบ้าง ไปดูกันเลยครับเซาแธมป์ตันน่ากลัวแต่จบไม่คมถ้าหากใครดูเพียงผลการแข่งขันหลังจบเกมก็อาจจะคิดภาพว่ารูปเกมคงเป็นฝ่ายของลิเวอร์พูลที่เหนือกว่าเซาแธมป์ตันแบบข่มมิด แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยครับ เพราะตลอดทั้งเกมเป็นเกมที่ค่อนข้างที่จะสูสี นักบุญนั้นสู้กับลิเวอร์พูลได้สนุกเลยทีเดียว แถมสามารถส่งบอลเข้าประตูไปแล้วด้วยซ้ำตั้งแต่ยังไม่ถึง 30 วินาทีแรกของเกมเลยด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่จังหวะนั้นโดนจับล้ำหน้าไปก่อนอย่างที่ทราบกันดีครับว่าเซาแธมป์ตันเพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกลงไปสู่เดอะ แชมเปียนชิพในฤดูกาลนี้ ดังนั้นเท่ากับว่าพวกเขายังมีนักเตะที่ผ่านเวทีพรีเมียร์ลีกเหมือนกัน เกรดนักเตะของทีมนักบุญหลายๆ คนก็คือนักเตะระดับพรีเมียร์ลีก นักเตะที่อยู่กับทีมตั้งแต่เล่นอยู่พรีเมียร์ลีกก็ยังอยู่กับทีม ไม่ว่าจะเป็นแจ๊ค สตีเฟนส์ กัปตันทีมที่ลงสนามด้วยในวันนี้, คามัลดีน ซูเลมานา, แยน เบ็ดนาเรคและเซกู มารา รวมไปถึง 3 ตัวสำรองอย่าง เช อดัมส์, ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์และอดัม อาร์มสตรอง นักเตะเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ผ่านเวทีพรีเมียร์ลีกมาแล้วทั้งนั้น มันจึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะสามารถสร้างปัญหาให้กับลิเวอร์พูลได้ในเกมนี้แต่น่าเสียดายนอกจากที่ควีวีน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูลนั้นจะฟอร์มเข้าฝักต่อเนื่อง ช่วยเซฟในหลายๆ ครั้งแล้ว เหล่านักเตะของเซาแธมป์ตันก็ไม่คมในจังหวะจบสกอร์ด้วย เพราะในเกมนี้พวกเขามีโอกาสยิง 12 ครั้ง แต่ยิงเข้ากรอบเพียง 3 ครั้งเท่านั้น มีจังหวะจ่อๆ ในช่วงครึ่งหลังก็ยิงหลุดกรอบแบบน่าเหลือ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะไม่ได้ออกจากแอนฟิลด์ด้วยการโดนถล่มแบบนี้ก็เป็นได้โจ "เดอะ รับจบ" โกเมซในฤดูกาลนี้ถ้าถามแฟนบอลลิเวอร์พูลว่าชื่นชมใครเป็นพิเศษหรือไม่ หลายๆ คนก็อาจจะตอบเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก, โม ซาลาห์, อเล็กซิส แม็คลัสเตอร์ หรือวาตารุ เอ็นโดะ แต่อีกคนที่ควรได้รับคำชื่นชมอย่างมากก็คือ "โจ โกเมซ" ที่ในตอนนี้เขากลายเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญของทีมไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยความ "สารพัดประโยชน์" ในเกมรับ ในฤดูกาลนี้โอกาสได้ลงเล่นทุกตำแหน่งในแผงเกมรับไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซนเตอร์แบ็ค, แบ็คขวาและแบ็คซ้าย แต่ในเกมที่พบกับเซาแธมป์ตันวันนี้ โกเมซก็ได้เล่นอีกตำแหน่งซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวรับอยู่เช่นกัน เพราะในเกมนี้โกเมซได้ลงเล่นในตำแหน่ง "กองกลางตัวรับ" แทนที่ของเอ็นโดะที่ได้พักในเกมนี้ในช่วงแรกของเกม ผมก็ไม่ได้โฟกัสกับเกมซักเท่าไหร่ ตอนดูประกาศ 11 ตัวจริงก็ดูแบบผ่านๆ ก็เห็นชื่อของโกเมซมาก่อนฟาน ไดจ์ก ก็คิดในว่าก็คงยืนเซนเตอร์คู่กัน ได้กลับมาเล่นกองหลังตัวกลางซักทีหลังจากที่โดนโยกไปเล่นแบ็คซ้ายมาหลายเกม แต่พอเริ่มโฟกัสกับเกมตอนแรกก็นึกว่าเล่นแบ็คซ้ายแล้วเล่นแบบอินเวิร์ท แต่ดูไปดูมาทำไมโกเมซถึงยืนกลางตลอด สุดท้ายพอดูจริงๆ ตลอดทั้งเกมจึงได้รู้ว่าเกมนี้โกเมซเล่นเป็นกองกลาง เป็นกองกลางตัวรับให้กับทีมในวันนี้และที่เซอร์ไพรส์ก็คือเขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมเลย ถ้าไม่บอกว่าเป็นกองหลังก็คิดว่าเป็นกองกลางจริงๆ นะ การตัดบอล การจ่ายบอลอะไรนึกว่ากองกลางเลย โกเมซเล่นได้เนียนมากๆ ตอนนี้เริ่มไม่แปลกจแล้วว่าทำไมเขาถึงอยู่กับทีมมาได้อย่างยาวนาน เป็นนักเตะที่อยู่กับทีมมานานที่สุดแล้วในทีมชุดนี้ ปีนี้ก็เข้าปีที่ 9 แล้ว (ตั้งแต่ 2015) อยู่มาก่อนที่เยอร์เกน คล็อปป์จะย้ายมาคุมลิเวอร์พูลเสียอีก และนี่คือสถิติหลังจบเกมของโกเมซครับสัมผัสบอล 77 ครั้งผ่านบอล 65 ครั้ง (แม่นยำ 90.8%)เปิดบอลยาว 4 ครั้ง (แม่นยำ 3 ครั้ง)เคลียร์บอล 3 ครั้งชนะการดวลกลางอากาศ 2 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)มัธยมลิเวอร์พูลในเกมที่พบกับเชลซีในรอบชิงชนะเลิศของคาราบาว คัพที่เราว่าเด็กๆ ของลิเวอร์พูลลงเยอะแล้ว ในเกมนี้เยอะกว่านั้นอีกครับ เพราะเยอร์เกน คล็อปป์เปลี่ยน 11 ผู้เล่นตัวจริงในเกมนั้นถึง 5 คน ประกอบไปด้วย คอสตัส ซิมิคาส, จาเรลล์ ควอนซาห์, บ๊อบบี คลาร์ก, เจมส์ แม็คคอนเนลล์และลูอิส คูมาส โดยเกมนี้กลายเป็นการประเดิมเกมแรกกับทีมชุดใหญ่เป็นเกมแรกของลูอิส คูมาสอีกด้วย ไม่พอเพียงแค่นั้น ในช่วงครึ่งหลังคล็อปป์ยังส่งเด็กๆ คนอื่นลงมาเล่นอีก ทั้งเคด กอร์ดอน, เจย์เดน แดนน์สและเทรย์ เอ็นโยนี เด็กวัย 16 ปีเพียงเท่านั้นถ้าเทียบกับอายุและระดับชั้นการเรียน กลายเป็นว่าในเกมนี้เหมือนได้เห็นการแข่งขันระหว่างฟุตบอลนักเรียน+นักศึกษาปะทะกับทีมผู้ใหญ่แบบนั้นเลย เพราะเด็กแต่ละคนอายุอ่อนไม่พอ หน้ายังอ่อนแบบละอ๊อนละอ่อนอีกด้วย น้องแม็คคอนเนลล์อย่างงี้ น้องเอ็นโยนีอย่างงี้ หน้าโคตรละอ่อนเลยครับ และผมก็มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็กๆ ในเกมนี้มาให้ดูครับด้วยวัย 18 ปีของลูอิส คูมาสและเจย์เดน แดนน์สนั่นเท่ากับพวกเขาทั้งคู่เกิดหลังจากเกม "ปาฏิหาริย์อิสตันบูล" ในปี 2005 ส่วนเจ้าหนูเอ็นโยนีนั้นที่ยังอายุเพียง 16 ปี เท่ากับว่าเขาเกิดหลังจากเกมนัดชิงเอฟเอ คัพ 2006 ในเกมที่สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมยิงไกลแบบสุดสวยใส่เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และพอคิดไปอีกอย่างหนึ่งแล้วเราหรือคนอื่นๆ ล่ะที่ทันดูทั้งสองเกมนี้แบบรู้เรื่องรู้ราวแล้วน่ะ พวกเราก็แก่กันแล้วนะหงส์น้อยยิงประตูแรกผมว่าด้วยสถานการณ์ของทีมลิเวอร์พูลในตอนนี้ที่ตัวผู้เล่นซีเนียร์บาดเจ็บครึ่งทีม มันคงไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าอภิรมย์ใจซักเท่าไหร่ แต่ในเรื่องร้ายๆ มันก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่เหมือนกัน เพราะการที่ซีเนียร์เจ็บ มันก็เท่ากับว่าจูเนียร์ก็จะได้มีโอกาสลงเล่น ได้มีโอกาสลับและฝึกฝีเท้าในระดับของเกมที่สูงขึ้นมาอย่างมาก ในสถาการณ์แบบนี้มันจำเป็นที่จะต้องส่งเด็กๆ ลงสนาม และที่มันน่าเซอร์ไพรส์เด็กๆ เหล่านั้นก็ทำผลงานได้ดีอีกด้วยและที่มันยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีกคือการได้เห็นเหล่าเด็กดาวรุ่งสามารถยิงประตูในทีมชุดใหญ่ได้อีก ในเกมนี้มี 2 นักเตะเยาวชนของทีมนั้นสามารถยิงประตูแรกให้กับทีมได้ แถมเป็นการยิงให้ทีมชนะอีก 2 คนที่ว่าก็คือลูอิส คูมาสและเจย์เดน แดนน์ส โดยสำหรับคูมาสนั้นพิเศษตรงที่เกมนี้คือเกมแรกของเขากับทีมชุดใหญ่ ลงเล่นเกมแรกก็ยิงประตูได้เลย ผมว่าคูมาสคงร้องขออะไรที่มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วแหละ แค่นี้ก็เหมือนฝันแล้วส่วนแดนน์สนั้นก็พิเศษไม่แพ้กัน ผ่านมายังไม่ถึงสัปดาห์ เขาเพิ่งลงสนามในเกมนัดชิงคาราบาว คัพไป ในเกมนี้ก็เป็นเกมที่ 3 ของเขากับทีมชุดใหญ่และก็สามารถยิงประตูได้เลย แถมประตูแรกก็ยิงได้แบบยอดเยี่ยมอีกด้วยการชิพบอลข้ามตัวผู้รักษาประตูของเซาแธมป์ตันไปแบบเหนือๆ และสุดท้ายนี้ผมก็แอบนำสถิติหลังจบเกมนี้ของเจ้าหนูแดนน์สมาฝากครับลงเล่น 27 นาทีสัมผัสบอล 6 ครั้งสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่ง 5 ครั้งโอกาสยิง 4 ครั้ง (แม่นยำ 100% และค่า xG 0.47)2 ประตู1 รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์และในรอบต่อไปก็เกิด "ศึกแดงเดือด" นัดที่ 2 ในฤดูกาลนี้เป็นที่เรียบร้อย เมื่อมีการจับสลากก่อนเกมจะเริ่มว่าผู้ชนะระหว่างคู่ของน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใครจะเข้าไปเจอกับผู้ชนะระหว่างคู่ของลิเวอร์พูลกับเซาแธมป์ตัน ซึ่งสุดท้ายทั้งแมนยูและลิเวอร์พูลสามารถผ่านด่านเข้าไปเจอกันได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยวันที่จะแข่งยังต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าจะเป็นวันที่ 16 หรือ 17 มีนาคมนี้เรียกได้ว่าคอบอลห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับสำหรับเอฟเอ คัพในรอบ 8 ทีมสุดท้ายสถิติที่น่าสนใจหลังเกม3 ประตูของลูอิส คูมาสและเจย์เดน แดนน์สในเกมนี้มากกว่าทั้งแอนโทนีและมาร์คัส แรชฟอร์ดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมกันในปี 2024 เสียอีกเจ้าหนูเทรย์ เอ็นโยนีกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลที่ได้ลงเล่นในเอฟเอ คัพด้วยวัย 16 ปี 243 วัน2 ประตูที่เจย์เดน แดนน์สในวัย 18 ปี 43 วันทำได้ในเกมนี้ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิง 2 ประตูในเกมเดียวให้กับลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ที่ไมเคิล โอเวนเคยทำไว้ในเดือนพฤศจิกายน 1997 ที่ยิงใส่กริมสบี ทาวน์ด้วยวัย 17 ปี 339 วัน ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบWhoscored, OptaJoe และ SquawkaOfficial Facebook และ Instagram ของลิเวอร์พูล, เอฟเอ คัพและเซาแธมป์ตัน (@southamptonfc)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !