TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 29 ... by "Mr.BOSTON"
หลังจากเกมพรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับไปครองบัลลังก์ จ่าฝูงได้อีกครั้ง แม้ที่ผ่านมามันตกเป็นของ “หงส์แดง” ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 เดือนหลัง ทว่าคะแนนเพียงแต้มเดียว อาจจะตัดสินอะไรในตอนนี้ไม่ได้ คงทำได้แค่ดูสถานการณ์ต่อไป
ในส่วนอื่น ๆ ของพรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน และเหมือนเดิมครับ เราไปดูกันว่า 5 สิ่งที่เราเรียนรู้จากพรีเมียร์ลีก สัปดาห์นี้ มีอะไรกันบ้าง
1. แมนฯ ซิตี้ โยนความกดดันทิ้งไปได้ชั่วคราวเท่านั้น
เหมือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกุมความได้เปรียบในการลุ้นแชมป์อีกครั้งหลังแซงกลับขึ้นมานำ 1 คะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก แต่ในความเป็นจริง หาเป็นเช่นนั้นไม่
ทั้งนี้ เพราะนอกจากเกมสัปดาห์หน้า ที่พวกเขาจะไปเยือน วัตฟอร์ด และจะได้แข่งก่อนทีม “หงส์แดง” แล้ว หลังจากนั้น พวกเขา จะได้แข่งหลัง ลิเวอร์พูล ยาว ๆ ไปจนสิ้นเดือนกันยาเลยทีเดียว ทั้งนี้ เป็นเพราะ โปรแกรมการปข่งขันพรีเมียร์ลีก ในช่วงสุปสัปดาห์ วันที่ 16-17 มีนาคม ซิตี้ ต้องไปเล่นเกม เอฟเอ คัพ และลิเวอร์พูล จะมีโอกาสทำคะแนนแซงนำ (หากไม่พลาดในเกมสัปดาห์ที่จะถึงนี้ไปเสียก่อน)
และถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนั้น ซิตี้ จะต้องเล่นเพื่อ ‘แซงกลับ’ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้เล่นเพื่อทิ้งห่างอย่างที่ใครหลายคนคาดคิด นั่นทำให้ ความกดดันที่พวกเขาต้องเผชิญ จะยังต้องมีต่อไปยาว ๆ จนวันที่พวกเขาเล่นเกมนัดตกค้าง ในวันที่ 28 เมษายน เรียบร้อยแล้ว เมื่อนั้น หากยังนำอยู่ พวกเขาถึงจะโยนความกดดันไปให้ทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ใน 2 นัดสุดท้ายได้อย่างแท้จริง
แต่ในสถานการณ์นี้ ซิตี้ ยังมีเปรียบอยู่บ้าง ตรงที่ นอกจาก คะแนนพวกเขายังจะนำอยู่ 1 คะแนนแล้ว ในกรณีที่ แต้มเท่ากัน พวกเขายังได้เปรียบเรื่องประตูได้เสีย ที่ ณ จุดนี้ มีมากกว่า “หงส์แดง” อยู่ 7 ประตูด้วย
ถึงแม้ โปรแกรม จะไม่เป็นใจ แต่ยังไง สถานการณ์พวกเขาตอนนี้ ยังคงได้เปรียบลิเวอร์พูลอยู่ดี
2. ลิเวอร์พูล ถ้ายังกดดันตัวเองโอกาสแชมป์ก็แทบหมดไป
6 นัดหลังสุดในเกมพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล เสมอไปเสีย 3 นัด นั่นหมายความว่า พวกเขาทำแต้มหล่นไปแบบเห็น ๆ ถึง 6 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่ทำให้ พวกเขาต้องมาตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนี้อยู่นั่นเอง
หลังเกมกับ เอฟเวอร์ตัน เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่พอใจคำถามที่หาว่าพวกเขาไม่กล้าเสี่ยงบุก โดยตอบโต้ว่า นี่คือการเล่นฟุตบอล จริง ๆ ไม่ใช่เกม ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ง่าย ๆ ปานนั้น
อาจจะจริง แบบที่คล็อปป์พูด พวกเขาบุกหนักแล้ว แต่ด้วยความไม่เป็นธรรมชาติบางอย่าง หรือ ความพยายามที่มากเกินไป ทำให้ “หงส์แดง” ในตอนนี้ ไม่ใช่ทีมที่ร้อนแรงแบบในช่วงสิ้นปี
อาจจะไม่ใช่เหตุผลหลัก ๆ แต่ การต้องเล่นในภาวะความกดดันที่ถาโถม ทำให้ ลิเวอร์พูล ในชุดนี้ เอาจริงเอาจัง จนเสียความเป็นตัวเองไป
การออกบอลที่เน้นแต่ความชัวร์ หรือ การเคาะหาการเข้าทำที่ไม่จ่ายบอลจังหวะ 50/50 นั้น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คล็อปป์ สั่งลูกทีม แต่เป็นสิ่งที่นักเตะ เลือกตัดสินใจ และ ปฏิบัติ ด้วยตัวเอง เพราะรู้ดีว่า ถ้าพลาดมีโอกาสโดนโต้กลับ และ เสียประตู ซึ่งจะนำมาสู่การเสียตำแหน่งผู้นำในตารางคะแนน
แน่นอน มันคือความกดดันที่นักเตะต้องแบกรับอย่างไม่รู้ตัวก็ได้…ตรงนี้เป็นเรื่องของจิตใจ
ถึงแม้หลังจากนี้ มันจะยังมีโอกาสให้พวกเขากุมความได้เปรียบ และกลับขึ้นไปรั้งจ่าฝูง จากตารางการแข่งขันที่เอื้ออำนวย แต่ถ้าพวกเขายังเล่นโดยที่ไม่เป็นธรรมชาติแบบนี้ โอกาสพลาดอีกก็ไม่ใช่จะไม่มี
ตรงนี้ ต้องมาวัดกึ๋นเรื่องจิตวิทยาของคล็อปป์ กันอีกครั้ง เพราะถ้าเขาทำได้ไม่ดีพอ ภาพซ้ำของปีที่แบรนดอน ร็อดเจอร์ส ‘เกือบ’ พาทีมได้แชมป์ อาจจะกลับมาหลอกหลอนซ้ำก็ได้
3. ดราม่า เกป้า จบลงอย่างเป็นทางการ
มีคำกล่าวว่า “บอลชนะ อะไรก็ดี” ซึ่งมันจริงมากกับสถานการณ์ของเชลซี กับ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า หลังจบเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อสัปดาห์ทีผ่านมา
ปัญหาที่เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศของ คาราบาว คัพ ที่เชลซีพ่ายต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นประเด็นใหญ่ต่อทั้งโลกฟุตบอล และโลกกีฬา มันตามมาด้วยการดร็อป เกปา ในนัดต่อไป และน่าจะจบลงอย่างถาวรในเกมที่ เชลซี เอาชนะ เอาชนะ ฟูแล่ม 2-1 ในนัดนี้ หลัง เกปา กลายมาเป็น ฮีโร่ ช่วยทีมทำเชฟสำคัญ เก็บ 3 คะแนนเต็มได้สำเร็จ
จริง ๆ ต่อให้แพ้เกมนี้ เรื่องนี้ก็ควรจะจบได้แล้วเช่นกัน เพราะเป้าหมายของเชลซี ที่ทีมวางไว้ตั้งแต่ต้นฤดูกาล กำลังอยู่ในช่วงที่ต้องลุ้นหนัก ปัญหาภายในอาจจะทำเป้าหมายนั้นพังได้ง่าย ๆ
แต่ในเมื่อมันชนะ ก็คงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเรื่องนี้จบแล้ว และ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็คงห้ามใครในทีมรื้อฟื้นด้วย เพื่อสปิริตของทีมที่ดีในการไล่ล่าพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ต่อไป
ด้าน เกปา เองก็ไม่น่า ‘ซ่า’ ก่อเรื่องอะไรทำนองนี้อีกแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้น อนาคตของเขาที่ เชลซี รวมไปถึงในพรีเมียร์ลีก หรือลีกใหญ่อื่น ๆ อาจจะดับวูบได้
เพราะต่อให้ฝีมือดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ฟังโค้ช ก็ถือว่าไม่มีวินัย ใคร ๆ ก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ…
4. อย่าเพิ่งตัดสิน บีร็อด แค่นัดแรก
ยังคงรักษาสถิติ 100% ในการคุมทีมนัดแรกในพรีเมียร์ลีก และพ่ายแพ้ทั้งหมดไว้ได้ต่อไป สำหรับ แบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่พา เลสเตอร์ ซิตี้ ไปพ่ายต่อ วัตฟอร์ด ถึง วิคาเรจ โร้ด 1-2 ชนิดที่แสดเจ็บปวด เพราะมาเสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแบบไม่น่าโดน
อันที่จริง เกมนี้น่าเห็นใจ “บีร็อด” เพราะการเสีย เจมี่ วาร์ดี้ ไป ไม่ใช่เป็นแค่การเสียตัวจบสกอร์เท่านั้น แต่มันคือการเสียนาจในการ “ขู่” แนวรับของวัตฟอร์ดไปในตัว
การทิ้งวาร์ดี้ไว้ในแดนหน้า ถึงจะไม่มีบทบาทมาก เพราะโดดเดี่ยว แต่ก็ข่มขู่แนวรับของเจ้าบ้านในเกมนั้นได้พอสมควร และเมื่อเผลอ กองหน้าจิ้งจอกก็ลงโทษด้วยประตูเรียบร้อย
ดังนั้น การถอดเขาออกไป ก็เหมือนถอดคำขู่นั้นออกไปด้วย จึงไม่แปลกที่ท้ายเกม วัตฟอร์ดจะกล้า ๆ เติมเกม และจ่ายบอลจังหวะ 50/50 มากขึ้น จนนำมาสู่ประตูชัย
ดังนั้น จึงเป็นความโชคร้ายของ ร็อดเจอร์ส และ เลสเตอร์ ก็ว่าได้
และดังนั้น ก็อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสิน “บีร็อด” ในเกมนี้ และรอดูเขาทำงานต่อไปอีกสักสองสามนัด ว่างานนี้ จะของจริง หรือ แค่ขิงปลอม กันแน่
5. ความบันเทิงของ โควตา แชมเปี้ยนส์ลีก ใบสุดท้าย
58, 57, 56 คือจำนวนคะแนนของทีมอันดับ 4-6 ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ซึ่งมันห่างกันตำแหน่งละคะแนนเท่านั้น นั่นทำให้การลุ้นโควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากนี้จะเป็นเรื่องบันเทิงทีเดียว
เชลซี ปัจจุบัน อยู่อันดับที่ 6 มีเพียง 56 คะแนน แต่พวกเขาถือความได้เปรียบจากเกมตกค้าง 1 เกม จากการที่ไปชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ โดยพวกเขายังต้องพบกับ ไบรจ์ตัน และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดในการเบ 3 คะแนนเต็ม “สิงห์บลูส์” จะแซงขึ้นไปรั้งอันดับ 4 ทันที
แต่ถึงอย่างนั้น คะแนนมันจะเป็น 59, 58, 57 นำอยู่กันแค่อันดับละแต้มอยู่ดี
ถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, อาร์เซนอล หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้องบอกว่าทั้งหมดมีลุ้นโควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กันหมดนี่แหละ
และดีไม่ดี อาจจะได้ลุ้นดันมากกว่าแค่ 1 ทีมด้วย ถ้า ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ยังหาฟอร์มเก่งไม่เจอใน 9 นัดที่เหลือ
จับตาดูกันให้ดีนะครับ ไม่แน่ว่า นี่อาจจะเป็นปีที่ชิงอันดับที่ 4 กันดุเดือดที่สุดฤดูกาลนึงเลยก็ได้ และอาจจะต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้ายกันเลยทีเดียว
“Mr.BOSTON”
ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports