กลับมาเก็บชัยชนะได้แล้วสำหรับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่สามารถเปิดแอนฟิลด์เอาชนะเบิร์นลีย์ไปได้ 3-1 หลังจากที่นัดที่แล้วบุกไปพ่ายต่อ "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล 3-1 ซึ่งในเกมนี้ได้ประตูจาก 3 ประสานเกมรุกทั้งดิโอโก โชตา, หลุยส์ ดิอาซและปิดท้ายด้วยดาร์วิน นูนเญซ โดยสองประตูหลังสุดมาจากการแอสซิสต์ของฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และในเกมนี้ก็เป็นเกมที่วาตารุ เอ็นโดะนั้นคัมแบ็คกลับมาช่วยทีม หลังจากที่ลาไปช่วยทีมชาติญี่ปุ่นในเอเชียน คัพ 2023ในเกมนี้มีประเด็นให้พูดถึงมากมายครับ แต่ผมก็ขอหยิบยกมาเพียง 5 ประเด็นที่อยากจะพูดถึง จะมีประเด็นใดบ้าง ไปดูกันเลยครับแทรฟฟอร์ดเหนียว (อีกแล้ว)เกมนี้เป็นอีกเกมที่เจมส์ แทรฟฟอร์ด นายทวารทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์ยูโร U-21 โชว์ฟอร์มเซฟช่วยชีวิตเบิร์นลีย์ได้หลายต่อหลายครั้ง เหตุผลที่ผมวงเล็บไว้ว่าอีกแล้วก็เป็นเพราะในเกมแรกของการเจอกันของคู่นี้ที่ลิเวอร์พูลสามารถบุกไปชนะได้ถึงเทิร์ฟ มัวร์ 0-2 ในเกมนั้นถึงแม้ว่าลิเวอร์พูลจะเอาชนะไปได้ แต่กว่าจะได้ประตูปิดเกมก็ต้องรอถึงช่วงนาทีที่ 90 หลังจากที่ยิงนำได้ตั้งแต่ต้นเกม แต่ก็เพราะแทรฟฟอร์ดนี่แหละที่ช่วยเซฟไปถึง 8 เซฟ ทำให้เบิร์นลีย์เสียเพียง 2 ประตูในเกมนี้กลับมาเล่นที่แอนฟิลด์ในเกมที่สอง แทรฟฟอร์ดก็ยังโชว์ฟอร์มได้สมราคาผู้รักษาประตูแชมป์ยูโรชุดเล็ก เพราะในเกมนี้ลิเวอร์พูลมีโอกาสยิงถึง 25 ครั้ง เข้ากรอบ 10 ครั้งแต่ก็เป็นแทรฟฟอร์ดนี่แหละที่ช่วยเซฟไปได้ถึง 7 ครั้ง และถึงแม้ประตูที่ลิเวอร์พูลขึ้นนำได้จากดิโอโก โชตาโหม่งเข้าไป ส่วนหนึ่งจะมาจากความผิดพลาดของเจ้าตัวที่ออกมาตัดบอลพลาดและชนกับเพื่อนร่วมทีม แต่ที่เหลือตลอดทั้งเกมเขาแทบไม่มีข้อผิดพลาดให้เห็นอีกเลย ช่วยไม่ให้เบิร์นลีย์เสียประตูหลายต่อหลายครั้งเหมือนกับในเกมแรกที่พบกันเลยเทรนท์ไม่ฟิตและโดนเปลี่ยนออกในเกมนี้ก็ยังเป็นอีกเกมที่คอเนอร์ แบรดลีย์นั้นยังไม่ได้ลงเล่นหลังจากที่ต้องสูญเสียคุณพ่อไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งเยอร์เกน คล็อปป์ก็ให้แบรดลีย์นั้นได้ใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ ทำให้โอกาสในการลงสนามเกมนี้ตกเป็นของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ที่ได้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริง 2 เกมติดต่อกัน หลังจากที่มีอาการบาดเจ็บไปและได้ลงมาเคาะสนิมบ้างใน 2-3 เกมที่ผ่านมาเกมนี้ต้องบอกว่าเป็นเกมที่เทรนท์นั้นเล่นไม่ออก เกมรุกไม่สามารถทำอะไรได้มาก ส่วนเกมรับนั้นก็เหมือนปล่อยจอยแบบที่เคยทำเป็นปกติ ซึ่งในตอนแรกก็คิดว่าเอาอีกแล้ว ท่านรองเทรนท์เอาอีกแล้ว เกมรุกปุบปับเกมรับไม่เอาอีกแล้ว โดนแม้กระทั่งนักเตะเบิร์นลีย์เลี้ยงผ่านง่ายๆ (ด้วยความเคารพต่อเบิร์นลีย์นะครับ ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นหรือดูถูกแต่อย่างใด เพียงแต่พูดถึงชื่อชั้นของทีมและนักเตะเฉยๆ นะครับ) และก็เกือบเสียประตูจากการเล่นที่ผิดพลาดของเทรนท์อีกด้วยและสุดท้ายเขาก็โดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งและส่งฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ลงมาแทนและถอยเคอร์ติส โจนส์ไปเล่นแบ็คขวาแทนเทรนท์ ในตอนแรกก็นึกว่าคล็อปป์ก็คงเห็นเหมือนที่แฟนบอลเห็นคือเทรนท์ฟอร์มไม่ดีเลยในเกมเมื่อคืนเลยเปลี่ยนออก แต่หลังเกมเจมส์ เพียร์ซ สายข่าวลิเวอร์พูลจาก The Athletic ก็ได้ออกมาโพสต์ใน X ว่าสาเหตุที่คล็อปป์เปลี่ยนเทรนท์ออกก็เนื่องมาจากป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเทรนท์ก็เพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บและดูแล้วความฟิตก็น่าจะยังไม่เต็มถัง จึงเล่นได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่แต่ถึงไม่ฟิตเต็มถัง แต่ในเกมนี้จากแอสซิสต์ที่เขาเปิดมุมให้โชตาโหม่งเข้าไปเป็นประตูขึ้นนำ นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลับมาเป็นกองหลังที่สามารถทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอีกครั้งที่ 58 แอสซิสต์ คราวนี้หากแบรดลีย์กลับมา เทรนท์ฟิตเต็มถังก็คงถึงคราวที่คล็อปป์นั้นต้องปวดหัวอีกแล้วว่าจะจัดใครลงเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาเอ็นโดะคัมแบ็คหลังจากที่ต้องกลับไปรับใช้ทีมชาติญี่ปุ่นในศึกเอเชียน คัพ 2023 ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ทีมชาติญี่ปุ่นก็ดันพลาดท่าตกรอบ 8 ทีมเสียก่อน ทำให้วาตารุ เอ็นโดะ กัปตันทีมชาติญี่ปุ่นได้กลับมาที่ลิเวอร์พูลก่อนกำหนดที่คาดการณ์ว่าอาจจะหลังรอบชิงเลย และในเกมนี้พอกลับมาแล้วเอ็นโดะก็ได้ลงสนามเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงทันทีและก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ครับสำหรับกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นคนนี้ เพราะถึงแม้ว่าจะขาดช่วงในการลงเล่นให้กับต้นสังกัดไป แต่พอกลับมาแล้วก็ยังสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนเดิม เพราะในเกมนี้เขาช่วงทั้งตัดเกม พาและจ่ายบอลขึ้นหน้าได้เหมือนเดิม เหมือนในตอนก่อนที่เขาจะบินไปรับใช้ทีมชาติ และก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่ลงเล่นที่เอ็นโดะนั้นกล้าที่จะเข้าปะทะแบบไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวว่าจะโดนไล่ออกหรือไม่ทั้งๆ ที่โดนใบเหลืองไปตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วก็ตาม เหมือนมีบัพที่หากโดนใบเหลืองจะยิ่งทำให้เล่นดีขึ้นไปอีก เข้าสกัดแม่นขึ้นไปอีก ยังเล่นได้สุดยอดเหมือนเดิมและนี่คือสถิติหลังจบเกมในเกมแรกที่กลับมาหลังจากรับใช้ทีมชาติของเอ็นโดะครับสัมผัสบอล 84 ครั้งเข้าปะทะ 4 ครั้ง (มากที่สุดในเกมร่วมกับอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์)ดักบบอล 1 ครั้งเคลียร์บอล 1 ครั้งผ่านบอล 68 ครั้ง (แม่นยำ 88.2%)เปิดบอลยาว 3 ครั้ง (แม่นยำ 100%)คีย์พาส 2 ครั้งเบิร์นลีย์ไม่คมกันเองhttps://www.instagram.com/p/C3LuYTNNZ8j/เกมนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นฝ่ายของเจ้าบ้านอย่างลิเวอร์พูลที่ทำผลงานได้ดีกว่า สามารถพับสนามบุกใส่ผู้มาเยือนได้ตลอดทั้งเกม แต่ในความเป็นจริงแล้วเบิร์นลีย์นั้นก็ทำผลงานได้ไม่เแย่เลย สามารถสร้างอันตรายให้กับลิเวอร์พูลได้หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะดาวิด ดาโตร โฟฟานา กองหน้าตัวยืมจากเชลซีนั้นป่วนแนวรับของหงส์แดงได้หลายครั้งเช่นกัน และสุดท้ายแล้วเบิร์นลีย์ก็สามารถบุกมายิงประตูที่แอนฟิลด์ได้จากการโหม่งของดารา โอเชีย กองหลังทีมชาติไอร์แลนด์และอย่างที่ผมบอกตามชื่อหัวข้อเลยครับที่เบิร์นลีย์ไม่คมเอง เพราะในเกมนี้ไม่ใช่ว่าเบิร์นลีย์ไม่มีโอกาสหรือมีโอกาสน้อยเลย พวกเขามีโอกาสมากพอสมควรที่จะสามารถปลิดชีพลิเวอร์พูลคาแอนฟิลด์ได้ แต่อาจจะด้วยความเป็นทีมเยือนหรือคุณภาพผู้เล่น ทำให้พวกเขาสามารถยิงได้เพียงหนึ่งประตูจากโอกาสยิงทั้งหมด 9 ครั้ง ซึ่งเกือบครึ่งนึง (4 ครั้ง) เป็นการยิงตรงกรอบและมี 3 ครั้งที่ควีวีน เคลเลเฮอร์ต้องออกแรงเซฟ มีจังหวะที่พวกเขาหลุดเดียวด้วยแต่ก็โดนเคลเลเฮอร์เซฟไว้ ลองคิดภาพว่าถ้าหากเขามีกองหน้าหรือแนวรุกที่มีความคมมากกว่านี้ บางทีในเกมนี้ฝ่ายที่ต้องปราชัยก็อาจจะเป็นเจ้าบ้านอย่างลิเวอร์พูลก็เป็นได้Harvey Elliott...The Game Changerอย่างที่บอกไปในข้อที่ 2 ที่เป็นหัวข้อของเทรนท์ครับว่าคนที่ลงมาแทนเทรนท์ในช่วงพักครึ่งก็คือ "ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์" โดยโยกเคอร์ติส โจนส์ไปเล่นแบ็คขวาแทนที่ของเทรนท์ ส่วนเอลเลียตต์ก็ได้เล่นในตำแหน่งของโจนส์แทน และผลงานก็ออกมาตามที่เห็นเลยครับ เพราะ 2 ประตูที่เกิดขึ้นในครึ่งหลังของลิเวอร์พูลก็มาจากการแอสซสต์ของเอลเลียตต์โดยประตูแรกเขาเปิดยัดเข้าไปในกรอบ 6 หลาและเป็นหลุยส์ ดิอาซที่ชิงโหม่งตัดหน้าแทรฟฟอร์ดเข้าไป ส่วนประตูที่ 3 ก็เปิดเข้าไปให้ดาร์วิน นูนเญซโหม่งเข้าไปแบบสุดสวย กลายเป็นอีกครั้งแล้วในฤดูกาลนี้ที่คล็อปป์เปลี่ยนตัว แก้เกมให้ทีมกลับมามีชัยชนะอีกครั้งซึ่งในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่เอลเลียตต์นั้นลงมาเป็นตัวเปลี่ยนเกมช่วยให้ทีมชนะ หลังจากที่เคยลงมาช่วยทีมเก็บชัยชนะในเกมที่บุกไปชนะคริสตัล พาเลซโดยในเกมนั้นเขาเป็นคนที่ยิงประตูชัยให้กับทีม พอในเกมนี้ก็ทำสองแอสซิสต์ช่วยให้ทีมชนะตอนนี้สำหรับเอลเลียตต์เหมือนกลายเป็น "Game Changer" ของคล็อปป์ในฤดูกาลนี้ไปแล้วและเหมือนเป็น "ตัวฟรี" ที่คล็อปป์ให้เล่นแบบอิสระที่วิ่งไปทั่วสนาม ช่วยทั้งเกมรับและเกมรุก ยิ่งถ้าเมื่อไหร่ที่ได้เล่นร่วมกับโมฮาเหม็ด ซาลาห์ก็เหมือนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นไปอีกและนี่คือสถิติหลังจบเกมของเอลเลียตต์ที่ลงมาเล่นให้ลิเวอร์พูลชนะเบิร์นลีย์ครับสัมผัสบอล 41 ครั้งผ่านบอล 34 ครั้ง (แม่นยำ 85.3%)เปิดบอลยาว 4 ครั้ง (แม่นยำ 3 ครั้ง)ยิง 1 ครั้งแอสซิสต์ 2 ครั้ง1 รางวัล Man of The Matchสถิติหลังเกมที่น่าสนใจเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์มีส่วนร่วมกับประตูไปแล้ว 62 ประตู แบ่งเป็น 58 แอสซิสต์ 14 ประตู และจากลูกแอสซิสต์ที่เปิดให้โชตาโหม่งในเกมนี้ ทำให้กลายเป็นกองหลังที่สามารทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกมีถึง 15 เกมจากทั้งหมด 17 เกมที่เล่นในแอนฟิลด์ที่ลิเวอร์พูลสามารถยิงประตูใส่คู่แข่งได้อย่างน้อย 2 ประตู (เฉพาะเกมพรีเมียร์ลีก)มีเพียง 2 เกม (รวมทุกรายการ) เท่านั้นที่ลิเวอร์พูลสะดุดเสมอในเกมที่เล่นในบ้าน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและอาร์เซนอล) ที่เหลือ 17 เกมคือชัยชนะทั้งหมดประตูที่ดารา โอเชียโหม่งได้ในวันนี้คือประตูแรกของเจ้าตัวในพรีเมียร์ลีกบทความที่เกี่ยวข้องโคตรพีค 10 อันดับกองหน้าที่คมที่สุด ในพรีเมียร์ลีกของ หงส์แดง ลิเวอร์พูลพ่อหมี VVD พลาดคู่, ปืนดุดัน!!! 5 ประเด็นหลังเกมปืนใหญ่ยิงหงส์ไส้แตกหนูนคมเสา แบรดลีย์เปิดซิง! 5 ประเด็นหลังเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ หงส์จิกสิงห์ดาวรุ่งแจ้งเกิด (อีกแล้ว)!!! 4 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล vs นอริชซิตีวิเคราะห์ 4 เหตุผล เยอร์เกน คล็อปป์อำลาลิเวอร์พูลขอบคุณข้อมูและภาพประกอบจากWhoscoredOfficial X ของ Squawka (@Squawka) และ Statman Dave (@StatmanDave)Official Facebook ของพรีเมียร์ลีกและลิเวอร์พูลOfficial Instagram ของเบิร์นลีย์ (@burnleyofficial)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !