รีเซต
ผู้ชายอ่อนหวาน ลดน้ำตาลอย่างไร ได้สุขภาพดีไม่หงุดหงิด

ผู้ชายอ่อนหวาน ลดน้ำตาลอย่างไร ได้สุขภาพดีไม่หงุดหงิด

ผู้ชายอ่อนหวาน ลดน้ำตาลอย่างไร ได้สุขภาพดีไม่หงุดหงิด
WeenayA
12 พฤศจิกายน 2568 ( 11:30 )
8

     ผู้ชายหลายคนอยากลดน้ำตาลเพราะรู้ดีว่ามันส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่พอเริ่มลดจริงๆ กลับรู้สึกเครียด หงุดหงิด หรือรู้สึกว่าชีวิตขาดความสุขไปเฉยๆ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น TrueID Sport จะช่วยให้คุณลดหวานได้อย่างสมดุล โดยไม่ต้องเสียสุขภาพจิต และยังมีของหวานทางเลือกที่กินได้แบบไม่รู้สึกผิดด้วย

 

ผู้ชายอ่อนหวาน ลดน้ำตาลอย่างไร ได้สุขภาพดีไม่หงุดหงิด

 

ทำไมเราถึงติดหวาน

น้ำตาลไม่ใช่แค่ให้พลังงาน แต่ยังเป็น "ยาเสพติดทางอารมณ์" ชนิดหนึ่ง

  • กลไกทางเคมีแห่งความสุข: เมื่อเรากินน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว สมองจะหลั่งสารสื่อประสาทสำคัญคือโดพามีน ออกมาในวงจรรางวัลอย่างรวดเร็ว ทำให้เรารู้สึก "ดี" หรือ "ฟิน" ทันที คล้ายกับเวลาที่ได้รับรางวัลอื่น ๆ
  • วงจรแห่งการกระหาย: เมื่อความรู้สึกดีจากโดพามีนหมดไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะเกิดความรู้สึก หงุดหงิด/อ่อนเพลีย และสมองจะจดจำว่าวิธีที่จะทำให้รู้สึกดีได้อีกครั้งคือการกินน้ำตาลซ้ำ นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิด "วงจรการติดหวาน" และเกิดการกินน้ำตาลตามอารมณ์ 
  • สัญชาตญาณดั้งเดิม: ในยุคโบราณการหาน้ำตาลหมายถึงการได้พลังงานที่รวดเร็วเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นสมองจึงถูกออกแบบมาให้ ชอบรสหวานเป็นพิเศษ


ข้อดีของการลดน้ำตาลอย่างเป็นระบบ

การลดน้ำตาลอย่างเหมาะสมสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้หลายด้าน และส่งผลลึกถึงระดับเซลล์

  • รูปร่างดีขึ้น  ควบคุมน้ำหนักได้ยั่งยืน: น้ำหนักลดลงง่ายขึ้น เพราะน้ำตาลส่วนเกินที่ไม่ได้ถูกใช้เป็นพลังงานจะถูกเปลี่ยนไปเก็บเป็นไขมันที่ตับ และรอบเอว การลดน้ำตาลจึงช่วยลดการสะสมไขมันส่วนเกินนี้ได้โดยตรง
  • ผิวพรรณสดใส ลดริ้วรอย: น้ำตาลเป็นตัวเร่งให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า ไกลเคชั่น (Glycation) ซึ่งทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังแข็งตัวและยืดหยุ่นน้อยลง (หรือที่เรียกว่า Advanced Glycation End products - AGEs) การลดน้ำตาลจึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  • สมองปลอดโปร่ง มีสมาธิ: การที่น้ำตาลในเลือดแกว่งตัวขึ้นลงอย่างรวดเร็วหลังมื้ออาหาร คือสาเหตุหลักของอาการ ง่วงหลังมื้ออาหาร หรือรู้สึกสมองเบลอ การลดน้ำตาลช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่ ทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวและมีสมาธิตลอดวัน
  • ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง: ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด ภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นรากฐานของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง

ถ้าลดน้ำตาลมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น

แม้การลดน้ำตาลจะดี แต่ถ้าหักดิบหรือควบคุมมากเกินไปโดยขาดความเข้าใจ ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจได้

  • อ่อนแรงและหมดพลังงาน: ร่างกายขาดกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักและเร็วที่สุด โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปรับตัว ร่างกายอาจต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนไปใช้ไขมันเป็นพลังงานหลักแทน อาจทำให้รู้สึกอ่อนแรง โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายหนักหรือมีกิจกรรมเยอะ
  • หงุดหงิดง่ายและอารมณ์แปรปรวน: สมองต้องการกลูโคสในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ การขาดกลูโคสฉับพลันจะส่งผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย หรือ หงุดหงิดง่ายได้
  • โยโย่เอฟเฟกต์ : การอด อย่างรุนแรงมักสร้างความรู้สึกขาดแคลน เมื่อตบะแตกอาจเกิดการกินชดเชยหนักกว่าเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการที่ถูกกดดันไว้ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มอย่างรวดเร็ว และทำลายความเชื่อมั่นในการควบคุมอาหาร
  • สุขภาพจิตเสียและภาวะหมกมุ่น: การเคร่งครัดมากเกินไปทำให้เกิดความเครียดและอาจนำไปสู่ภาวะการหมกมุ่นกับการกินอาหารที่สะอาด หรือดีต่อสุขภาพมากเกินไปแทนที่จะสร้างความสุข กลับสร้างความทุกข์ให้กับการกิน

วิธีลดหวานแบบไม่ทรมานใจ

การลดน้ำตาลไม่จำเป็นต้องอดของหวานทั้งหมด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างชาญฉลาดได้ดังนี้

  • ค่อย ๆ ลดทีละนิด : เริ่มจากลดปริมาณน้ำตาลที่เติมลงในเครื่องดื่มลง 1 ช้อนชา หรือลดความถี่ในการกินขนมหวานจาก 7 วัน ต่อสัปดาห์ เหลือ 5 วัน การปรับตัวทีละน้อยจะทำให้ร่างกายและสมองไม่รู้สึกถูกคุกคาม
  • ดื่มน้ำเปล่าก่อนเสมอ: หลายครั้งที่รู้สึกกระหายหวาน จริง ๆ แล้วอาจเป็นความกระหายน้ำ ลองดื่มน้ำเปล่าก่อน 1 แก้ว หรือจิบน้ำมะนาว น้ำแช่ผลไม้ (Infused Water) เพื่อลดความอยาก
  • เลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและไขมันดี: การกินโปรตีนเช่น ไข่ เนื้อสัตว์ ถั่ว และไขมันดี เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ในมื้ออาหารจะช่วยให้ อิ่มนานขึ้น และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ซึ่งจะช่วยลดความอยากหวานหลังมื้ออาหารได้อย่างดี
  • มีสติขณะกิน : เมื่อกินของหวาน ให้ลิ้มรสอย่างช้า ๆ และตั้งใจ ไม่กินขณะทำงานหรือดูโทรทัศน์ วิธีนี้ช่วยให้สมองรับรู้ถึงความพึงพอใจได้เร็วขึ้น และหยุดกินก่อนที่จะมากเกินไป
  • จัดการการนอนหลับและความเครียด: การอดนอนหรือความเครียดสูงทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นความอยากอาหารที่มีน้ำตาลสูง ดังนั้น การนอนหลับให้เพียงพอและจัดการความเครียดจึงเป็นหัวใจสำคัญในการเลิกติดหวาน

 

ของหวานทางเลือกที่กินได้แบบไม่รู้สึกผิด 

ถ้าอยากกินหวานแต่ไม่อยากรู้สึกผิด ลองเปลี่ยนมาใช้ของหวานเหล่านี้ที่ให้ประโยชน์อื่น ๆ แก่ร่างกายด้วย

  • ผลไม้สด: เช่น สตรอว์เบอร์รี แอปเปิ้ล ฝรั่ง เบอร์รีทุกชนิด ผลไม้เหล่านี้ให้ความหวานธรรมชาติ พร้อมไฟเบอร์สูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล และมีวิตามินสูง เลี่ยงผลไม้น้ำตาลสูงเช่น องุ่น ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ กล้วยหอม มะม่วงสุก
  • ดาร์กช็อกโกแลต : เลือกที่มีช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป ดาร์กช็อกโกแลตมีสาร ฟลาโวนอยด์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเครียดและบำรุงหัวใจ กินเพียงเล็กน้อยก็ตอบโจทย์ความอยากได้
  • ธัญพืช ถั่ว: ตัวเลือกแนะนำ กราโนล่าที่ใช้น้ำผึ้ง หญ้าหวานแทนน้ำตาล ให้โปรตีนและไขมันดี ช่วยให้อิ่มนาน เลือกรสชาติที่เติมน้ำตาลน้อยที่สุด
  • ขนมที่ใช้สารทดแทน: อย่าง Stevia, Erythritol และหล่อฮังก๊วย เป็นสารให้รสหวานโดยที่ ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด  แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
  • โยเกิร์ตธรรมชาติโยเกิร์ตกรีกแบบ Plain : มีโปรไบโอติกช่วยเรื่องระบบขับถ่าย สามารถเพิ่มความหวานได้ด้วยผลไม้สดหรือน้ำผึ้งปริมาณน้อย

 

บทความที่คุณอาจสนใจ

ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
สัมผัสโลกไร้ขีดจำกัดกับทรูไอดี