จบกันไปแล้วกับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียรลีกประจำสัปดาห์ที่ 3 คู่สุดท้ายที่เป็นบิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์กับศึกแดงเดือดระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งผลการแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของเจ้าบ้านอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์ 2-1 ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไงเดี๋ยวผม "รวมพลังส้มตำไก่ย่าง"จะเล่าให้ฟัง ก่อนเกมนี้จะเกิดขึ้นทั้ง 2 ทีมต่างทำผลงานออกสตาร์ทซีซันนี้ได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร โดยเจ้าบ้านอย่างแมนยู ผลงาน 2 นัดแรก ประเดิมสนามด้วยการแพ้ไบร์ทตันคาบ้าน 1-2 ต่อด้วยการบุกไปพ่ายแพ้ยับเยินต่อเบรนฟอร์ด 4-0 ส่งผลให้พวกเค้ามี 0 แต้มจาก 2 นัด จบด้วยอันดับที่ 20 ของตาราง นับประการออกสตาร์ทที่ย่ำแย่อีกปีของแมนยู ส่วนทางด้านลิเวอร์พูลประเดิมฤดูกาลได้ต่ำกว่ามาตรฐานเช่นกันด้วยการเปิดสนามด้วยการบุกไปเสมอฟูแล่มด้วยสกอร์ 2-2 ต่อด้วยเปิดบ้านเสมอคริสตัน พาเลช 1-1 ก็นับเป็นผลงานที่ย่ำแย่เช่นเดียวกันกับแมนยู จึงทำให้นัดนี้ทั้ง 2 ทีมต่างก็กระหายในชัยชนะกันทั้งคู่ อีกทั้งยังเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของทั้ง 2 ทีมที่เป็นอริกันอย่างยาว แมนยูเองก็อยากเรียกศรัทธาของแฟนบอลให้กลับมาอีกครั้งเพราะฤดูกาลที่แล้วพวกเค้านั้นพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลทั้งไปและกลับด้วยสกอร์ 5-0 และ 0-4 ตามลำดับ ถึงแม้ในช่วงปรีซีซันแมนยูจะสามารถเอาชนะลิเวอร์พูลที่ประเทศไทยมา 4-0 แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่เกมอุ่นเครื่อง ดังนั้นพวกเค้าจึงมีความมุ่นมั่นเต็มร้อยในนัดนี้เพื่อคว้า 3 แต้มแรกของฤดูกาลแถมเล่นในบ้านอีกด้วยคงไม่อยากปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป ส่วนทางฝั่งของลิเวอร์พูลเองก็ต้องการ 3 แต้มในนัดนี้เช่นกัน ไม่ใช่แค่เรื่องของศักดิ์ศรีหรือเกมใหญ่ แต่เพราะพวกเค้าต้องการ 3 แต้มแรกของฤดูกาลเพื่อจะไปลุ้นแย้งแชมป์กับทีมอันดับบน ๆ ของตาราง อีกทั้งต้องเรียกความมั่นใจให้กับทีมด้วย คงมีความมุ่งหวังชัยชนะกับเกมนี้ไม่แพ้เจ้าบ้านอย่างแมนยูเช่นกัน ในส่วนของรูปเกมทั้ง 2 ทีมถือว่าแลกกันสนุกผลัดกันรุกรับ แต่ทางด้านฝั่งแมนยูที่มีจังหวะจบที่มากกว่าในครึ่งแรกแล้วก็มาได้ประตูจากการเข้าทำที่เป็นระบบและความยอดเยี่ยมของ "จอร์ดอน ซานโชว์" ที่ล๊อคหลบจนเจมส์ มิลเนอร์หลงและยิงเข้าไปไป จากนั้นก็มีโอกาสอีกหลาย ๆ จังหวะแต่จบลงด้วยสกอร์ 1-0 ในครึ่งแรก ต่อมาในครึ่งหลังลิเวอร์พูลของคล๊อปก็แก้เกมออกมาได้ดีในระดับหนึ่งแต่ทว่ากลับมาโดน "มาครัช รัชฟอร์ด" ยิงให้แมนยูออกนำ 2-0 ทำให้ลิเวอร์พูลลำบากไปอีกขั้นในการจะกลับมาในเกมนี้ แล้วรูปเกมก็ยังคงเป็นทรงคล้ายๆครึ่งแรกที่แมนยูมีโอกาสจบที่ใกล้เคียงมีลุ้นกว่าจนกระทั่งช่วงท้ายของเกมลิเวอร์พูลมาได้ประตูตีไข่แตก จากโมฮาเหม็ด ซาล่าร์ แต่สุดท้ายก็ไล่ไม่ทันและจบลงด้วยชัยชนะของแมนยู ซึ่งส่งผลให้แมนยูคว้า 3 แต้มแรกของฤดูกาลได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นชัยชนะนัดแรกอย่างเป็นทางการของกุญซือคนใหม่ของแมนยูอย่าง "เอริก เทนฮาร์ก"p> สิ่งที่ได้เห็นในเกมนี้คือการแก้ปรับเปลี่ยนในจุดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วง 2 นัดที่ผ่านมาทั้งการดร๊อปแฮร์รี่ แม๊กไกว์และลุกชอว์ที่ฟอร์มไม่ดีและส่งทาง"ราฟาเอล วาราน"และ"มาลาเซีย" ลงมาเล่นแทนซึ่งในเกมทั้ง 2 คนถือว่าทำผลงานได้อย่างดี โดยเฉพาะเจ้าหนูมาลาเซียที่โชว์ผลงานในการตามประกบ "โมฮาเหม็ด ซาล่าร์" และทำได้ดีในหลาย ๆ จังหวะ อีกทั้ง เลือกที่จะดร๊อปกองหน้าตัวเป้าอย่าง "คริสเตียนโน่ โรนัลโด้" เป็นตัวสำรองแล้วใช้รัชฟอร์ดเป็นหน้าเป้าในเกมนี้แทน ส่วนในแดนกลางวันนี้ทางฝั่ง "แม็คโทมิเน่" หลังจากที่โดนหลายฝ่ายตำหนิอย่างรุนแรงในนัดแรก แต่นัดนี้ถือว่าเค้าเล่นได้ดีเลยทีเดียว อีกคนที่ทำผลงานได้ดีหลังจากเกิดข้อผิดพลาดใน 2 นัดแรกก็คือ "ดาวิด เดเคอา" ซึ่งในนัดนี้เจ้าตัวเซฟช่วยทีมได้ถึง 5 เซฟ ในจังหวะสำคัญ ๆ ถือว่าแก้ตัวในช๊อตที่พลาดไป โดยร่วมแล้ววันนี้นักเตะหลายคนของแมนยูทำผลงานได้ตามเป้า อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้างที่คงต้องไปปรับแก้กันต่อไปในนัดหน้า ในส่วนของทางฝั่งลิเวอร์พูลนั้นที่ก่อนเกมก็สาหัสจากอาการบาดเจ็บของผู้เล่นและโดนแบนหลายตำแหน่ง จึงทำให้ต้องจัดทีมในสภาพที่ไม่เต็มที่เท่าที่ควรและผลที่ได้ก็ตามที่เห็นในเกมที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือแดนกลางเกิดข้อผิดพลาดบ่อยครั้งในเกมนี้ อีกทั้งแผงหลังที่มีจังหวะหลุดตำแหน่งบ่อยครั้ง นักเตะหลายคนมีฟอร์มการเล่นที่ต่ำกว่ามาตรฐานทั้ง อาทิเช่น "แอนดรู โรเบอร์สัน" "จอร์แดน เฮนเดอรสัน" "หลุยห์ ดิอาส" เป็นต้นพวกเค้าทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนแนวรุกคนอื่นนอกจากซาลาร์ ก็จะมีโรแบร์โต้ ฟิมิโน่ ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาก็ยังทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ อาจจะเพราะรูปเกมของลิเวอร์พูลเองจึงทำให้เค้ามีบทบาทที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซาล่าร์เองก็ถูกตามประกบอย่างใกล้ชิดจากทางเจ้าหนูมาลาเซียจึงทำให้เล่นยากแต่เจ้าตัวก็ยังสร้างความอันตรายได้เสมอเมื่อมีบอล อีกทั้งจบเกมนี้ยังมี 1 ประตูปลอบใจกันไปโดยรวมแล้วปัญหาหลักเลยคืออาการบาดเจ็บของผู้เล่นตัวหลักจึงส่งผลกับฟอร์มของลิเวอร์พูลอย่างมาก โดยเฉพาะแดนกลาง การขาด "ติอาโก้ อาคันทาร่า" ทำให้ลิเวอร์พูลคุมแดนกลางเปลี่ยนจังหวะเกมที่ดูไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร อีกทั้งความไม่ฟิตของฟาบิญโญ่และตัวหลักคนอื่น ๆ จึงทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นก็คงได้แต่หวังว่านักเตะที่เจ็บไปจะกลับมาฟื้นตัวหายเจ็บมาช่วยทีมเร็ว ๆ นี้ จากชัยชนะนัดนี้ส่งผลให้แมนยูเก็บแต้มได้เป็น 3 แต้ม จากการแข่งขัน 3 นัด ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 14 ของตาราง โดยในนัดต่อไปแมนยูจะต้องออกไปเยือนทีมนักบุญ เซาแธมตัน ที่สนามเซนต์ แมร์รี่ ในวันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2565 ส่วนทางด้านลิเวอร์พูลอยู่อันดับที่ 16 แข่ง 3 นัด มี 2 แต้ม ยังคงต้องหาชัยชนะแรกของฤดูกาลต่อไป จบกันไปแล้วกับบทความหลังเกมแดงเดือดแรกของฤดูกาลซึ่งเป็นเพียงแค่เกม ๆ หนึ่ง หนทางยังอีกยาวไกลแฟน ๆ แมนยูก็ต้องตามเชียรตามให้กำลังใจทีมกันต่อขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความแล้วพบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ ขอบคุณภาพประกอบจาก Facebook Official : Premier leagueเครดิตข้อมูลอ้างอิงจาก : Whoscoreภาพปก / ภาพประกอบ 1 / ภาพประกอบ 2 / ภาพประกอบ 3 / ภาพประกอบ 4 Community ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลีย