รีเซต
ปีนี้สุดเจ๋ง!! ส่องประวัติ อุสมาน เดมเบเล่ ว่าที่นักเตะบัลลงดอร์ 2025

ปีนี้สุดเจ๋ง!! ส่องประวัติ อุสมาน เดมเบเล่ ว่าที่นักเตะบัลลงดอร์ 2025

ปีนี้สุดเจ๋ง!! ส่องประวัติ อุสมาน เดมเบเล่ ว่าที่นักเตะบัลลงดอร์ 2025
TNN ช่อง16
3 มิถุนายน 2568 ( 17:30 )
59

ในที่สุดศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ได้ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา และก็เป็น ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ที่คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยแรกของตัวเองได้สำเร็จ

ถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยแชมป์รายการนี้ของพวกเขา หลังเป็นเป้าหมายของทีมมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่กลุ่ม QSI หรือ กาตาร์ สปอร์ต อินเวสต์เมนท์ เข้ามาเทคโอเวอร์เป็นเจ้าของสโมสรตั้งแต่ปี 2011 ก็ตั้งเป้าที่จะทำให้ เปแอสเช คว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองมาโดยตลอด

ขณะเดียวกัน การคว้าแชมป์ของ เปแอสเช ในปีนี้ ยังมีความพิเศษมากขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะพวกเขาได้ทั้งแชมป์ ลีก เอิง, เฟร้นช์ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นทำให้พวกเขากลายเป็นสโมสรลำดับที่ 9 ของยุโรปที่คว้า "ทริปเปิ้ลแชมป์" มาครองได้ แถมตัวกุนซืออย่าง หลุยส์ เอ็นรีเก้ ก็กลายเป็นกุนซือคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ต่อจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เคยได้ทริปเปิ้ลแชมป์ถึง 2 ครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ เอ็นรีเก้ เคยพา บาร์เซโลน่า เป็นทริปเปิ้ลแชมป์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อฤดูกาล 2014-15

อย่างไรก็ตาม จากการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งนี้ของ เปแอสเช ทำให้มีนักเตะอยู่หนึ่งรายที่ถูกยกให้ขึ้นมาเป็นตัวเต็งที่อาจจะได้รางวัล บัลลง ดอร์ หรือลูกบอลทองคำ รางวัลที่จะมอบให้กับนักเตะที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในรอบปีจากนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล ที่สุดเข้มขลัง

นักเตะคนที่ว่านั้นก็คือ อุสมาน เดมเบเล่ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสวัย 28 ปี ซึ่งวันนี้เราจะมาส่องประวัติของเจ้าตัวกันหน่อยว่า จากคนที่เคยถูกมองว่าน่าจะไปได้ไม่ไกลนัก เนื่องจากปัญหาบาดเจ็บ กลับกลายมาเป็นนักเตะที่มีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง และกำลังมีลุ้นที่จะคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ประจำปี 2025 อีกด้วย

อุสมาน เดมเบเล่ มีชื่อเต็มๆ ว่า มาซูร์ อุสมาน เดมเบเล่ เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ปี 1997 ปัจจุบันมีอายุ 28 ปี เกิดที่เมือง แวร์กนง แคว้นนอร์มังดี ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส โดยมีคุณแม่เป็นลูกครึ่งมอริทาเนีย-เซเนกัล และมีคุณพ่อเป็นชาวมาลี โดย เดมเบเล่ นั้น เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ กับสโมสรท้องถิ่นอย่าง เอฟโรซ์ ก่อนที่ปี 2010 ในตอนที่ เดมเบเล่ อายุได้ 13 ปี ก็ถูกสโมสร แรนส์ ดึงตัวเข้าสู่อะคาเดมี่ของทีม

ที่ แร็นส์ นั้น เดมเบเล่ ค่อยๆ เริ่มจากการเล่นให้กับทีมชุดบีก่อน ซึ่งก็สร้างความประทับใจได้ในทันที โดย แรนส์ ชุดบี นั้นเล่นอยู่ในระดับ CFA2 หรือระดับ ดิวิชั่น 5 ของประเทศ แต่ เดมเบเล่ ในวัยเพียง 17 ปี ระเบิดฟอร์มยอดเยี่ยมทันทีในฤดูกาลแรก ทำไป 13 ประตูจากการลงเล่น 18 นัด ในฤดูกาล 2014-15

นั่นทำให้ในฤดูกาลถัดมา เดมเบเล่ ถูกดันขึ้นสู่ แรนส์ ชุดใหญ่ทันที และเจ้าตัวก็ไม่ได้ทำให้สโมสรต้องผิดหวัง เมื่อจัดการทำไป 12 ประตูจากการลงเล่น 26 เกมใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส โดย เดมเบเล่ นั้น มีจุดเด่นที่การไปกับบอลด้วยความเร็วสูง แถมยังจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม

แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยให้ แรนส์ คว้าแชมป์อะไรมาครองได้ แต่จากผลงานส่วนตัวที่ยอดเยี่ยม ทำให้ไปเตะตาทีมอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เข้าอย่างจัง ก่อนที่ทีมเสือเหลืองจะจัดการทุ่มเงินสูงถึง 35 ล้านยูโร หรือราว 1,302 ล้านบาท คว้าตัวไปร่วมทีมทันทีในช่วงหน้าร้อนปี 2016

เดมเบเล่ ในวัยเพียง 19 ปี เหมือนไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเขาได้ในเวลานั้น เขาได้ลงสนามเกมแรกให้กับ ดอร์ทมุนด์ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2016 ในเกม เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ ที่ทีมเสือเหลืองเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ไป 2-0 หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ทำประตูแรกให้กับ ดอร์ทมุนด์ ได้ ในเกมบุนเดสลีกาที่บุกไปถล่ม โวล์ฟสบวร์ก ขาดลอย 5-1 ในวันที่ 20 กันยายน

จากนั้นทุกอย่างก็เหมือนระเบิดออกมา ในอีก 2 วันให้หลังเขาก็ยิงประตูแรกในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ ในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่ ดอร์ทมุนด์ ถล่ม ลีเกีย วอร์ซอว์ 8-4

เดมเบเล่ กลายเป็นหัวใจสำคัญของทีม ในเดือนเมษายน 2017 ดอร์ทมุนด์ ไปถึงรอบรองชนะเลิศของศึก เดเอฟเบ โพคาล และต้องมาเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่เป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อนด้วยในเกมนี้ แต่ เดมเบเล่ ก็ระเบิดฟอร์ม แอสซิสต์ให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ยิงประตูตีเสมอในนาทีที่ 69 ก่อนที่ตัวเขาเองจะเป็นคนยิงประตูชัยในนาทีที่ 74 ช่วยให้ทีมเสือเหลืองโค่น บาเยิร์น ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

และในเกมรอบชิงชนะเลิศที่โคจรมาเจอกับ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต นั้น เดมเบเล่ ก็ยังเป็นส่วนสำคัญของทีม เมื่อทำ 1 ประตูในชัยชนะ 2-1 ช่วยให้ ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ขณะที่ผลงานของ เดมเบเล่ ในฤดูกาลแรกกับ ดอร์ทมุนด์ นั้นก็อยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา เมื่อทำไป 10 ประตูกับอีก 20 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 49 เกมรวมทุกรายการ ทำให้เจ้าตัวมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมบุนเดสลีกาในฤดูกาลนั้นทันที พร้อมกับได้รับเลือกให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีกาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมระดับนี้ กลับกลายเป็นว่า เดมเบเล่ ได้เล่นในบุนเดสลีกาแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น เพราะตัวเขาได้รับความสนใจอย่างจริงจังจาก บาร์เซโลน่า ซึ่งในตอนแรก ดอร์ทมุนด์ ไม่ต้องการที่จะขายนักเตะออกจากทีม แต่ เดมเบเล่ แสดงท่าทีว่าอยากย้ายไปเล่นให้บาร์ซ่าอย่างมาก จนถึงขั้นประท้วงด้วยการไม่กลับมารายงานตัวกับทีม ไม่มาเก็บของอะไรออกจากล็อคเกอร์

ประกอบกับทางด้าน บาร์เซโลน่า ก็เพิ่งสูญเสีย เนย์มาร์ ไปให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ด้วยราคาฉีกสัญญาที่เป็นสถิติโลกที่ราคา 222 ล้านยูโร (ราว 8,264 ล้านบาท) ทำให้พวกเขาตกอยู่ในอาการแพนิค และต้องรีบหาตัวแทน นั่นทำให้ บาร์เซโลน่า ยอมบ้าเลือดทุ่มเงินถึง 105 ล้านยูโร (ราว 3,908 ล้านบาท) และยังมีโบนัสเพิ่มอีก 40 ล้านยูโร (ราว 1,489 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าตัวของ เดมเบเล่ ทำให้ ดอร์ทมุนด์ ยอมปล่อยตัวให้ในที่สุด

ซึ่งค่าตัวที่มหาศาลดังกล่าว ทำให้อดีตทีมเก่าของ เดมเบเล่ ได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินก้อนโตไปตามๆ กัน โดย แรนส์ ได้ค่าส่วนแบ่งไปถึง 20 ล้านยูโร (744 ล้านบาท) เช่นเดียวกับทีมแรกสุดของ เดมเบเล่ สมัยเป็นเยาวชนอย่าง เอฟโรซ์ ก็ได้ส่วนแบ่งเป็นเงินจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้ย้ายมาเล่นให้กับทีมในฝัน แต่ชีวิตของ เดมเบเล่ กับ บาร์เซโลน่า กลับไม่ได้สวยงามอย่างที่ฝันเอาไว้นัก เพราะเจ้าตัวเจอปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ ทันที เพราะหลังจากประเดิมเกมแรกในสีเสื้อบาร์ซ่าได้ไม่นาน ในเดือนกันยายนเขาก็ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อแฮมสตริง และต้องพักยาวทันที 4 เดือน ซึ่งพอหายเจ็บกลับมาในช่วงต้นเดือนมกราคม 2018 เพียงแค่อีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบาดเจ็บอีก และต้องพักไปอีก 4 สัปดาห์ด้วยกัน

กว่าที่ เดมเบเล่ จะทำประตูแรกให้กับ บาร์เซโลน่า ได้นั้น ต้องรอจนถึงกลางเดือนมีนาคม ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกที่สอง ที่บาร์ซ่าเอาชนะ เชลซี ไป 3-0 หลังจากนั้นค่อยทำประตูแรกใน ลา ลีกา ได้ ในเกมที่ทีมอาซูลกราน่าเสมอกับ เซลต้า บีโก้ 2-2 ในช่วงกลางเดือนเมษายน

เมื่อไม่ต้องเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานอีก เดมเบเล่ ก็ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะมีส่วนช่วยให้ บาร์ซ่า จบฤดูกาลด้วยการเป็นดับเบิ้ลแชมป์ ได้ทั้งแชมป์ ลา ลีกา และ โกปา เดล เรย์ โดยเจ้าตัวได้ลงเล่นไปทั้งสิ้น 23 เกมในทุกรายการ ทำไป 4 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ด้วยกัน

ในฤดูกาลถัดมา เดมเบเล่ สลัดจากปัญหาบาดเจ็บ และลงเล่นได้อย่างต่อเนื่อง เขาทำไป 14 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 42 เกมในทุกรายการ ซึ่งถือว่าเป็นฤดูกาลที่ เดมเบเล่ ทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงที่เล่นกับ บาร์เซโลน่า แล้ว และในฤดูกาลนี้ บาร์ซ่า ก็คว้าแชมป์ ลา ลีกา มาครองได้อีกครั้ง

ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไปได้สวย แต่แล้วในฤดูกาล 2019-20 ก็กลายเป็นฝันร้ายของ เดมเบเล่ อย่างแท้จริง เพราะเป็นปีที่เจ้าตัวโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนัก จะเกือบจะหมดอนาคตไปเลย โดยเจ้าตัวเจ็บกล้ามเนื้อแฮมสตริงตั้งแต่เริ่มเปิดซีซั่น และต้องพักไปกว่า 5 สัปดาห์

จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน เดมเบเล่ ก็ได้รับบาดเจ็บอีก ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มที่ต้องเจอกับทีมเก่าอย่าง ดอร์ทมุนด์ โดยเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บหลังอยู่ในสนามเพียง 24 นาที ก่อนที่จะพบว่ามีอาการบาดเจ็บที่ต้นขา และต้องพักอีกอย่างน้อย 10 สัปดาห์

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 หลังกลับมาลงฝึกซ้อมได้แล้ว เขาก็ได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาฉีกค่อนข้างรุนแรง ทำให้หมดสิทธิ์ช่วยทีมในช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาลไปเลย เบ็ดเสร็จแล้วเขาต้องหายหน้าจากสนามไปนานกว่า 10 เดือนติดต่อกัน ทำให้ช่วงระหว่างปี 2019-2020 ของ เดมเบเล่ กับ บาร์เซโลน่า นั้น แทบจะเป็นสุญญากาศ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เดมเบเล่ ก็ยังมีอาการบาดเจ็บเล่นงานอีกเป็นระยะ แต่เขาก็กลับมาลงเล่นให้ บาร์ซ่า ได้มากขึ้น ในฤดูกาล 2020-21 เขากลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง เมื่อทำไป 11 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 44 เกมในทุกรายการ และช่วยให้ บาร์ซ่า คว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ มาครองได้ในปีนั้น

หลังจากนั้นในเดือนกรกฎาคม ปี 2022 ขณะที่สัญญาของเขากับ บาร์เซโลน่า กำลังจะหมดลงนั้น เดมเบเล่ ตกลงต่อสัญญาใหม่กับ บาร์ซ่า ออกไปจนถึงปี 2024 และมีค่าฉีกสัญญา 50 ล้านยูโร โดยสามารถเพิ่มได้ถึง 100 ล้านยูโร หากว่าผ่านพ้นวันที่ 1 สิงหาคม 2023 เป็นต้นไป เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นการต่อสัญญาเพื่อเปิดโอกาสให้ บาร์ซ่า ขายเขาออกไปโดยที่ยังได้ค่าตัวกลับคืนมา ไม่ต้องเสียไปฟรีๆ

ในฤดูกาล 2022-23 เดมเบลเล่ มีผลงานที่ไม่แย่นัก เมื่อทำไป 8 ประตูกับ 9 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 35 เกมในทุกรายการ และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา มาครองได้สำเร็จอีกครั้ง แต่นั่นคือฤดูกาลสุดท้ายของเขาในสีเสื้อบาร์เซโลน่า เพราะในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง จัดการคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ด้วยค่าตัว 50.4 ล้านยูโร (ราว 1,876 ล้านบาท) ซึ่งที่น่าตลกก็คือ เดมเบเล่ ย้ายไป เปแอสเช เพื่อเป็นตัวแทนของ เนย์มาร์ อีกแล้ว หลังดาวยิงทีมชาติบราซิลย้ายไปเล่นให้ อัล ฮิลาล ในซาอุดิอาระเบีย ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 90 ล้านยูโร (ราว 3,350 ล้านบาท)

การย้ายออกจาก บาร์เซโลน่า มาที่ เปแอสเช ครั้งนี้ของ เดมเบเล่ นั้น ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการเสริมทัพที่น่าตื่นตาตื่นใจอะไร เพราะเจ้าตัวถือเป็นนักเตะที่เจอปัญหาบาดเจ็บเล่นงานค่อนข้างเยอะ จนทำให้หลายฝ่ายมองว่าไม่น่าจะมีไฮไลท์อะไรอีกแล้วในชีวิตการค้าแข้งหลังจากนี้ แถมการย้ายมาเล่นในฝรั่งเศส ก็ไม่ได้มีความเข้มข้นเท่ากับเล่นใน ลา ลีกา สเปน แต่กลับกลายเป็นว่า เดมเบเล่ แทบไม่เจออาการบาดเจ็บรุนแรงเล่นงานอีกเลย

ฤดูกาลแรกกับ เปแอสเช นั้น เดมเบเล่ ลงเล่นไปถึง 42 เกมรวมทุกรายการ ทำไป 6 ประตูกับอีก 15 แอสซิสต์ แม้ว่าจะไปไม่ถึงฝั่งฝันกับรายการใหญ่สุดอย่าง แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สำหรับแชมป์ในประเทศถือว่าเป็นอะไรที่สบายๆ เพราะ เปแอสเช เป็นดับเบิ้ลแชมป์ทั้ง ลีก เอิง และ เฟร้นช์ คัพ ในฤดูกาล 2023-24

จากนั้น ในฤดูกาล 2024-25 ที่เพิ่งจะจบลงไปเมื่อไม่นานมานี้ กลายเป็นฤดูกาลที่น่าเหลือเชื่อสำหรับ เดมเบเล่ เพราะนี่คือปีที่ดีที่สุดในอาชีพการค้าแข้งของกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้อย่างแท้จริง หลังซัดไปถึง 33 ประตูกับอีก 15 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 49 เกมรวมทุกรายการ พาทีมกวาด ทริปเปิ้ลแชมป์ มาครองได้เป็นครั้งแรกของสโมสร นั่นคือได้ทั้งแชมป์ ลีก เอิง, เฟร้นช์ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ เปแอสเช นั้นรอคอยมาอย่างยาวนานเหลือเกิน

นอกเหนือจากแชมป์เมเจอร์ครบทุกรายการแล้ว อย่างที่บอกไปว่าผลงานส่วนตัวก็ยอดเยี่ยมสุดๆ 21 ประตูที่ทำได้ใน ลีก เอิง ทำให้เขาครองตำแหน่งดาวซัลโวของลีก ร่วมกันกับ เมสัน กรีนวู้ด ของ โอลิมปิก มาร์กเซย และยังได้รับเลือกให้คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ ลีก เอิง ไปครองด้วยเช่นกัน อีกทั้งฟอร์มในเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้น เดมเบเล่ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ทำไป 2 แอสซิสต์ ช่วยให้ เปแอสเช เอาชนะ อินเตอร์ มิลาน ไปอย่างท่วมท้น 5-0 เป็นสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยรายการนี้

จากฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ เดมเบเล่ ในฤดูกาลนี้ และจบลงด้วยการคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นตัวเต็งที่จะคว้ารางวัลบัลลง ดอร์ ประจำปี 2025 ทันที หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทุกคนพูดถึงชื่อของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ของ ลิเวอร์พูล รวมถึง ราฟินญ่า และ ลามีน ยามาล ของ บาร์เซโลน่า แต่ไปๆ มาๆ แล้วไม่แน่เหมือนกันว่า เดมเบเล่ จะมาแรงแซงทางโค้ง ปาดหน้าคว้าลูกบอลทองคำไปนอนกอดก็เป็นได้ และกระแสก็ดูเหมือนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ

การประกาศรางวัล บัลลง ดอร์ 2025 จะมีขึ้นในวันที่ 22 กันยายนนี้ ซึ่งเราต้องมาลุ้นกันอีกทีว่า เดมเบเล่ จะคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้มาครองได้หรือไม่ ซึ่งถ้าทำได้ ก็ต้องยอมรับเลยว่าเป็นจังหวะชีวิตที่ยอดเยี่ยมและปีทองของเจ้าตัวอย่างแท้จริง...

ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
สัมผัสโลกไร้ขีดจำกัดกับทรูไอดี