เรียกได้ว่า "ดราม่า" จริงๆ สำหรับเกมที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะ "เจ้าป่า" น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 0-1 จากประตูชัยนาทีสุดท้ายของ "เดอะ หนูน" ดาร์วิน นูนเญซที่ลงมาเป็นตัวสำรองเป็นซูเปอร์ซับในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ทำให้ลิเวอร์พูลทำแต้มฉีกหนีแมนเชสเตอร์ ซิตี 4 คะแนนและอาร์เซนอล 5 คะแนน 2 ทีมลุ้นแชมป์ด้วยกันไปก่อน ก่อนที่แมนซิตี้จะลงทำศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บีกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 3 ที่ผ่านมาและอาร์เซนอลที่จะต้องบุกไปเยือนเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดในคืนวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม เวลาตี 3 ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นซิตี้ชนะยูไนเต็ดไปได้ 3-1 ทำให้ลิเวอร์พูลยังคงนำแมนซิต้อยู่ที่ 1 คะแนนเหมือนเดิมก่อนที่ทั้งคู่จะมาเจอกันในคืนวันที่อาทิตย์ที่ 10 มีนาคมนี้แต่ก่อนจะไปเกมสัปดาห์หน้า ในเกมนี้ผมได้รวบรวม 5 ประเด็นที่น่าสนใจหลังจบเกมนี้มาให้คุณผู้อ่านทุกคนได้อ่านกันครับ จะมีประเด็นในเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับเจ้าป่าไม่คมเองเกมนี้ถึงแม้ว่ารูปเกมโดยรวมแล้วลิเวอร์พูลจะเหนือกว่าฟอเรสต์ตลอดทั้งเกม แต่ใช่ว่าเจ้าบ้านนั้นจะไม่มีโอกาสที่จะปลิดชีพลิเวอร์พูลเลย เพราะด้วยสถานการณ์ที่พวกเขาต้องดิ้นรนหนีตกชั้น พวกเขาจึงสู้ยิบตา สู้ตายกันไปข้า และในเกมนี้มีหลายๆ จังหวะที่ฟอเรสต์นั้นควรที่จะได้ประตูมากๆ มีทั้งจังหวะยิงไกลของดิว็อค โอริกี มีทั้งจังหวะหลุดเดี่ยวของแอนโทนี อีแลงกาที่ยิงไปติดขาของควีวีน เคลเลเฮอร์ นอกจากนี้อีแลงกายังมีจังหวะที่ได้ยิงหลุดกรอบเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียวในครึ่งหลังอีกด้วยตลอด 90+9 นาทีในเกมนี้ ฟอเรสต์นั้นมีโอกาสยิงทั้งหมด 8 ครั้ง (เข้ากรอบ 2 ครั้ง) โดยใน 8 ครั้งนี้พวกเขามีค่า xG อยู่ที่ 1.05 หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือในเกมนี้ฟอเรสต์ควรยิงได้อย่างน้อย 1 ประตู แต่สุดท้ายไม่สามารส่งบอลไปกองที่ก้นตาข่ายได้เลยแม้แต่ประตูเดียวและ "สัจธรรม" ของฟุตบอลคือเมื่อคุณยิงไม่ได้ = โดนยิง เกมนี้ฟอเรสต์เล่นได้ค่อนข้างดีเลย เป็นงานเหนื่อยของลิเวอร์พูลเสมอที่เวลามาเยือนที่ซิตี กราวด์ ในฤดูกาลที่แล้วก็บุกมาแพ้ ในเกมนี้ก็เกือบไม่ชนะอีกแล้ว หยุดสถิติไม่ชนะฟอเรสต์ที่ซิตี กราวด์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีซักทีโจ โกเมซเกมเดียว 3 ตำแหน่งในเกมนี้ถ้าหากไม่นับอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์และดาร์วิน นูนเญซ อีกคนที่ต้องได้รับคำชมมากๆ ก็คือ "โจ โกเมซ" ที่ในตอนนี้เขาไม่ใช่เพียงแค่กองหลังของลิเวอร์พูลแล้ว แต่เขาเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ของทีมไปเป็นที่เรียบร้อย ถ้าเมื่อก่อนมีเจมส์ มิลเนอร์ที่รับจบตั้งแต่กองกลางยันกองหลังแบ็คซ้ายขวาแล้ว ในตอนนี้ก็มีโจ โกเมซนี่แหละที่มารับช่วงต่อของความ "สารพัดประโยชน์"อย่างที่บอกในชื่อหัวข้อครับว่าเกมนี้โกเมซเล่น 3 ตำแหน่งในเกมๆ เดียว เพราะในช่วงเริ่มเกมโกเมซนั้นได้รับบทบาทในตำแหน่งกองกลางตัวรับหรือตำแหน่งที่ปกติแล้วจะเป็นหน้าที่ของวาตารุ เอ็นโดะ แต่ในเกมนี้เอ็นโดะได้นั่งพักบนม้านั่งสำรอง ซึ่งพอเข้าสู่ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเกม (นาทีที่ 60) เยอร์เกน คล็อปป์ได้ทำการเปลี่ยนตัวโดยส่งเอ็นโดะลงสนามพร้อมกับถอดแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันออกและโยกโกเมซไปเล่นแบ็คซ้ายแทนที่ร็อบโบ้ เท่ากับว่าตำแหน่งที่ 2 ของโกเมซในเกมนี้ก็คือแบ็คซ้ายซึ่ง 2 ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ว่าโกเมซไม่เคยเล่น เพราะโกเมซนั้นเคยเล่นแบ็คซ้ายมาแล้วในช่วงที่ร็อบโบ้และคอสตัส ซิมิคาสเจ็บเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ส่วนกลางรับเขาก็เพิ่งประเดิมเล่นเป็นครั้งแรกในเกมเอฟเอ คัพที่เอาชนะเซาแธมป์ตันไปได้เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าเกมนี้ แถมเล่นได้ดีอีกด้วยและพอเข้าสู่ช่วง 5 นาทีสุดท้ายก่อนทดเวลา คล็อปป์ก็ได้ส่งซิมิคาสลงมาเล่นอีกและถอดคอเนอร์ แบรดลีย์ออก ส่วนโกเมซนั้นก็โดนโยกให้ไปเล่นแบ็คขวาซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาเล่นบ่อยที่สุดรองลงมาจากเซ็นเตอร์แบ็ค นั่นเท่ากับว่าเกมนี้เกมเดียวโกเมซเล่นไปทั้งหมด 3 ตำแหน่ง แถมเล่นได้ไม่ได้แย่เลยทั้งสามตำแหน่ง ตั้งแต่ดูลิเวอร์พูลมาแทบจะไม่เคยเห็นเลยในการให้ผู้เล่นคนนึงเล่น 3 ตำแหน่งภายในเกมๆ เดียว โกเมซน่าจะเป็นคนแรกเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าสารพัดประโยชน์จริงๆ กลายเป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้ไปแล้ว และนี่คือสถิติหลังเกมที่เจอกับฟอเรสต์ของโจ "เดอะ รับจบ" โกเมซครับสัมผัสบอล 72 ครั้งผ่านบอล 64 ครั้ง (แม่นยำ 79.7%)เคลียร์บอล 2 ครั้งแทคเกิลและดักบอลอย่างละ 1 ครั้งชนะการดวลลูกกลางอากาศ 4 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)สร้างสรรค์โอกาส (คีย์พาส) 2 ครั้งกัคโปอาการหนักมากในช่วงนี้ถ้าจะนิยามเกมรุกของลิเวอร์พูลตามศัพท์สมัยนี้นั้นก็คงเป็นคำว่า "กาว" ช่วงนี้เกมรุกของลิเวอร์พูลที่ไม่มีโมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก โชตาและดาร์วิน นูนเญซ (ไม่ 100%) นั้นกาวพอสมควรเลย เป็นเซ็ทเกมรุกที่ประสิทธิภาพลดลงอย่างเห็นได้ชัด หวังผลได้น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับตัวรุกที่ผมบอกไปและคนที่ดูจะอาการหนักที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "โคดี กัคโป" ตัวรุกทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ในช่วงนี้เขาเป็นคนที่ดูจะฟอร์มตกที่สุดแล้วในเกมรุก เผลอๆ จะตกที่สุดในทีมด้วยซ้ำ ซึ่งสถิติของกัคโปในเกมนี้ถือว่าแย่พอสมควรเลยสัมผัสบอล 32 ครั้ง (น้อยที่สุดใน 11 ตัวจริง)ผ่านบอล 21 ครั้ง (แม่นยำ 81%)เสียบอล 3 ครั้ง (มากที่สุดในทีมร่วม)สร้างสรรค์โอกาส 0 ครั้งโอกาสยิง 2 ครั้ง (ไม่เข้ากรอบเลย)นั่นคือสถิติของกัคโปใน 84 นาทีที่พบกับฟอเรสต์ครับ เรียกได้ว่าแย่เลยก็ว่าได้ กัคโปแทบจะสร้างประโยชน์ให้กับทีมไม่ได้เลย ซึ่งในช่วงหลังฟอร์มของกัคโปเป็นแบบนี้ตลอดเลย ฟอร์มตกอย่างมากแต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าตัวหน่อย เพราะถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่ากัคโปนับตั้งแต่ที่ย้ายมาในตลาดหน้าหนาวของฤดูกาลที่แล้ว เขาแทบจะไม่ได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัดหรือตำแหน่งที่แจ้งเกิดของตัวเองเลยในตำแหน่ง ปีกซ้ายหรือกองหน้าฝั่งซ้าย เขามักจะโดนจับมาเล่นกองหน้าตัวเป้าแถมเล่นในบทบาทของ False 9 ซึ่งพอเริ่มปรับตัวได้ก็โดนโยกไปเล่นริมเส้นทั้ง 2 ฝั่งอีก บางนัดก็ได้เล่นเป็นกองกลางตัวรุกอีก มันทำให้การพัฒนาหรือการเข้าใจในระบบการเล่นในแต่ละตำแหน่งของเขามันไม่ 100% ซักที พอเริ่มลงตัว เพื่อนก็เจ็บต้องโยกไปเล่นแทนเพื่อนอีก พอจะลงตัวก็โดนเปลี่ยนตำแหน่งซะอีก ณ จุดนี้ก็น่าเห็นใจกัคโปเหมือนกันเพราะส่วนตัวผมมองว่ากัคโปเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นคนที่เลี้ยงตัดเข้าในและยิงได้ดีมากๆ คนนึง แถมเป็นอีกคนที่ครองบอลเหนียวมากๆ คู่แข่งแย่งบอลจากเขาได้ยากคนนึงในทีมเลย เขามีความแข็งแกร่ง โดนเบียดโดนเตะก็ยากที่จะเห็นกัคโปล้ม แต่อย่างที่บอกครับว่าเขาโดนเปลี่ยนตำแหน่งการเล่นบ่อยจนอะไรๆ ก็ไม่ลงตัวซักที สุดท้ายนี้ก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้กัคโปต่อไป รอวันที่ได้ลงเล่นแบบปักหลักในตำแหน่งนั้นๆ ซักที ในช่วงนี้ที่ซาลาห์และโชตาไม่พร้อมลงเล่น นูนเญซก็ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ก็ต้องพึ่งกัคโปไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกันแม็คก้าโคตรคลาสถ้าหากว่าดาร์วิน นูนเญซไม่ได้เป็น Man of The Match ในเกมนี้ คนที่เหมาะสมที่จะได้ไปครองก็คงหนีไม่พ้น "อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์" กองกลางแชมป์โลกของทีมชาติอาร์เจนตินา เพราะในเกมนี้แม็คก้านั้นคือคนที่โดดเด่นที่สุดในเกมบรรดา 11 ตัวจริงเลย เขาสามารถคุมเกมแดนกลาง ช่วยเกมรุกแดนบน สร้างสรรค์เกมรุกได้แบบลงตัวและสุดยอดมากๆ และสุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนที่แอสซิสต์ประตูชัยให้นูนเญซโหม่งเข้าไปในวินาทีสุดท้ายของเกม เป็นการแอสซิสต์ที่สุดยอดมากๆการแอสซิสต์ของแม็คก้าในเกมนี้อีกคนที่ต้องชมก็คือวาตารุ เอ็นโดะที่เข้าไปทำลายจังหวะการสวนกลับของฟอเรสต์ เขาเข้าไปเบียดแย่งบอลจากคัลลัม ฮัดสัน-โอดอยก่อนที่บอลจะหลุดมาถึงไทโว อโวนิยีและก็เป็นเอ็นโดะอีกครั้งที่จิ้มบอลจากเท้าอโวนิยีจนบอลไหลมาเข้าทางของแม็คก้า ก่อนที่แม็คก้าจะพลิกบอลหลบอโวนิยีและหยอดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษให้กับนูนเญซโหม่งประตูชัยให้กับทีมการมีอยู่ของแม็คอัลลิสเตอร์นั้นเหมือนลิเวอร์พูลได้มีกองกลางอีกสไตล์อยู่ในทีม หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะมีแต่สายพละกำลัง วิ่งไล่ฟัดได้ตลอดทั้งเกมไม่มีหมด ไม่ว่าจะเป็นจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สันและเจมส์ มิลเนอร์ แต่กับแม็คก้านั้นเขาเป็นอีกแบบที่แตกต่างออกไป เขาสามารถสร้างสรรค์เกมรุกได้ สามารถเล่นเกมรับได้ในยามที่โดนถอยไปเล่นตำแหน่งเบอร์ 6 เป็นคนที่คุมจังหวะเกมรุกของทีมได้เป็นอย่างดีและมีทีเด็ดในการตักบอลหยอดๆ เข้าไปในกรอบเขตโทษให้เพื่อนลุ้นทำประตูอยู่บ่อยครั้งและในแอสซิสต์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตักบอลเข้าไปในเขตโทษให้เพื่อนทำประตูได้ เขาเคยทำได้มาแล้วในช่วงต้นของฤดูกาลนี้ที่แอสซิสต์ให้กับนูนเญซเหมือนกันในเกมพบกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ดที่แอนฟิลด์ มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องฟลุ๊คอย่างแน่นอน สุดท้ายนี้นี่คือสถิติของแม็คอัลลิสเตอร์ในเกมเจอกับฟอเรสต์ครับสัมผัสบอล 88 ครั้งผ่านบอล 67 ครั้ง (แม่นยำ 85.1%)บอลยาว 4 ครั้ง (เข้าเป้า 3 ครั้ง)ดักบอล 2 ครั้งแทคเกิลและเคลียร์บอลอย่างละ 1 ครั้งผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้าย 21 ครั้ง (อันดับ 2)สร้างสรรค์โอกาส 6 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)1 แอสซิสต์นูนเญซยิงนาทีบาปในที่สุดก็มาถึงคิวของฮีโรของลิเวอร์พูลในเกมนี้แล้วครับสำหรับ "เดอะ หนูน" ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าเอล กาชาปองของแฟนหงส์แดงที่ในเกมนี้ด้วยสภาพที่ยังไม่ 100% ทำให้เขานั้นต้องออกสตาร์ทบนม้านั่งสำรองไปก่อนซึ่งสุดท้ายเยอร์เกน คล็อปป์ก็ส่งนูนเญซลงมาในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของเกม หลังจากที่เกมรุกของลิเวอร์พูลนั้นดูตื้อๆ ตันๆ ไม่สามารถเจาะตาข่ายของฟอเรสต์ได้เลยซึ่งพอนูนเญซลงมาเท่านั้นแหละครับ เกมรุกของลิเวอร์พูลดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตาเห็น กอปรกับเกมรับของทางเจ้าบ้านนั้นก็เริ่มหมดแรงไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเนโกร วิลเลียม, แอนดรูว์ โอโมบามิเดเลและมูริลโย พอนูนเญซที่มีความสดลงมาก็สามารถป่วนและสร้างอันตรายได้ทันที นูนเญซไว้เวลาเพียง 3 นาทีก็มีโอกาสยิงแรกเลยโดยตลอดครึ่งชั่วโมงที่เขาอยู่ในสนาม เขามีโอกาสยิงทั้งหมด 5 ครั้ง โดย 3 ครั้งคือการยิงหลุดกรอบ มีหนึ่งครั้งที่ติดบล็อค และ 1 ครั้งสุดท้ายของเกมนี้คือการยิงเข้ากรอบและหนึ่งครั้งนั้นคือประตูชัยที่โหม่งเข้าไปในนาทีสุดท้ายของเกม ส่งให้ลิเวอร์พูลชนะไปได้แบบดราม่าการมีอยู่ของนูนเญซนั้นคือสิ่งที่ลิเวอร์พูลขาดหายไปในช่วงที่ผ่านมาที่ซาลาห์และโชตาไม่ได้สามารถลงเล่นได้ก็คือการหาตำแหน่งในการจบสกอร์ รวมไปถึงการสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม (ในบรรดาตัวรุกที่เหลือ) นูนเญซนั้นเป็นคนที่มีความแข็งแกร่ง มีสปีดความเร็วที่สามารถสร้างความอันตรายให้กับแนวรับคู่แข่งเสมอ รวมไปถึงสามารถเล่นได้ทั้งริมเส้นและหน้าเป้า นอกจากนี้เขายังมีความเข้าขา รู้ใจกับทางแม็คอัลลิสเตอร์อีกด้วย จากประตูที่ได้จะเห็นได้ว่าพอนูนเญซเห็นว่าแม็คก้านั้นได้บอลแล้วเขาก็เตรียมตัวที่จะออกวิ่งไปในตำแหน่งทำประตูแล้ว พอแม็คก้าเห็นนูนเญซเริ่มออกตัวเขาก็ตักบอลหยอดเข้าไปในกรอบเขตโทษทันที ทำให้ในจังหวะทำประตูนั้นไม่ล้ำหน้า ซึ่งประตูลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้ง 2 คนนั้นทำได้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเกมที่ชนะเวสต์แฮมตามที่ผมได้บอกในข้อของแม็คก้า และนี่คือสถิติตลอด 30 นาทีที่นูนเญซสามารถทำได้ในเกมที่ชนะฟอเรสต์ครับสัมผัสบอล 10 ครั้งชนะการดวลกลางอากาศ 2 ครั้งสร้างสรรค์โอกาส 1 ครั้งโอกาสยิง 5 ครั้ง (เข้ากรอบ 1 ครั้ง)1 ประตู1 รางวัลแมน ออฟ เดอ แมตช์สถิติหลังเกมที่น่าสนใจฤดูกาลนี้หากนับทุกรายการ ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ "ตัวสำรอง" มีส่วนกับประตูมากที่สุดในบรรดา 5 ลีกใหญ่ของยุโรป โดยมีส่วนร่วมไปแล้ว 43 ประตู แบ่งเป็นยิง 21 แอสซิสต์ 22ลิเวอร์พูลสามารถยิงประตูชัยในนาทีที่ 90 ไปแล้ว 18 เกมซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดเหนือทุกทีมในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ที่เยอร์เกน คล็อปป์เข้ามาคุมลิเวอร์พูล (ปี 2015)ประตูชัยที่นูนเญซยิงได้ในเกมนี้กลายเป็นประตูชัยของลิเวอร์พูลที่มา "ช้าที่สุด" นับตั้งแต่ที่เริ่มมีการบันทึกสถิติในฤดูกาล 2006/2007 (98 นาที 38 วินาที)การสร้างสรรค์โอกาส 6 ครั้งในเกมนี้ของอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ กลายเป็นสถิติที่เยอะที่สุดต่อ 1 เกมพรีเมียร์ลีกของตัวเขาเองลิเวอร์พูลสามารถบุกมาเอาชนะน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 1984 โดยก่อนหน้านี้สถิติคือเสมอ 3 แพ้ 3นูโน เอสปิริโต ซานโตยังไม่สามารถเก็บแต้มจากลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกได้เลยแม้แต่คะแนนเดียวจากการเจอกันมาทั้งหมด 7 เกม (แพ้ 7)คลิปไฮไลท์https://www.youtube.com/watch?v=-PNIMlGdbPA&t=279sบทความที่เกี่ยวข้องมัธยมลิเวอร์พูล, แดงเดือดรอบหน้า!!! 4 ประเด็นหลังเกม FA Cup หงส์แดงจิกนักบุญ"มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้อง....ด้วย" ย้อนรอยภารกิจล่าตัวเวอร์จิล ฟานไดค์พี่ไดจ์กโขกชัย, พอชโค้ชใจป๊อด!!! 5 ประเด็นหลังเกมนัดชิงคาราบาวคัพครึ่งแรกครึ่งหลัง หนังคนละม้วน!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ ลูตัน ทาวน์ลิเวอร์พูล, แมนซิตี้หรืออาร์เซนอล!!!? วิเคราะห์ใครจะเข้าวินแชมป์พรีเมียร์ลีกขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOptaJoe, Opta Analyst, Whoscored และ SquawkaOfficial Facebook, X และ Instagram ของลิเวอร์พูล (@LFC), น็อตติงแฮม ฟอเรสต์, อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ (@alemacallister), โคดี กัคโป (@codymathesgakpo) และโจ โกเมซ (@joegomez5)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5