ลิเวอร์พูล เริ่มต้นลงเล่นพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022 ไปแล้วสองเกมด้วยกัน เกมแรกบุกไปเยือนทีมน้องใหม่ฟูแล่มโดนยิงไปก่อน และเป็นฝ่ายต้องไล่ตามตีเสมอถึงสองครั้งจบเกม 2-2 ส่วนเกมที่สองได้กลับมาลงเล่นในบ้านของตัวเองต้อนรับคริสตัลพาเลซ ซึ่งโดนยิงนำไปก่อนเหมือนเดิมและในครึ่งหลังก็ยังมาเหลือผู้เล่น 10 คน แต่ก็พยายามฮึดเต็มที่สุดท้ายตีเสมอได้สำเร็จจบเกม 1-1 ทำให้เมื่อผ่านไปแล้วสองเกมลิเวอร์พูลเก็บได้เพียง 2 คะแนนอยู่อันดับ 12 ของตารางตามหลังจ่าฝูงอยู่ถึง 4 คะแนนเกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูลกันแน่ ทำไม่เริ่มต้นฤดูกาลได้กระท่อนกระแท่นแบบนี้เป็นฝ่ายต้องดิ้นรนไล่ตามตีเสมอทั้งสองเกม แม้ว่าสุดท้ายจะเอาตัวรอดมาได้สำเร็จ แต่ 4 คะแนนที่ทำหล่นหายไปอาจจะส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงกับทีมในวันข้างหน้าก็เป็นได้ วันนี้เราจึงจะมาวิเคราะห์ถึง 5 ปัญหาใหญ่ที่ลิเวอร์พูลกำลังเผชิญหน้าอยู่ว่ามีอะไรบ้าง? และจอร์เก้น คล็อปป์ จะสามารถพาทีมผ่าวิกฤตช่วงนี้ไปได้ดีแค่ไหน1. นักเตะบาดเจ็บนักเตะลิเวอร์พูลส่วนใหญ่กรำศึกอย่างหนักกันมาตั้งแต่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทั้งช่วงปิดฤดูกาลก็ไม่ได้พักอย่างเต็มที่แถมบางคนยังต้องไปเล่นทีมชาติต่ออีก กล้ามเนื้อที่ถูกใช้อย่างหนักมาเป็นเวลานาน ได้พักไม่นานเท่าไรก็ต้องกลับมาฝึกซ้อมเตรียมตัวสู้ศึกในฤดูกาลใหม่อีก ทำให้นักเตะหลายคนพอเจอเกมการแข่งขันช่วงอุ่นเครื่องก็เกิดอาการบาดเจ็บกันขึ้นมาพร้อมกันหลายคน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่อาการบาดเจ็บจะไม่ได้รุนแรงอะไรแต่ก็ส่งผลต่อการจัดทีม ในช่วงแรกขาดนักเตะหลายคนที่สามารถลงมาช่วยเปลี่ยนเกมได้ทำให้บางเกมดูอึดอัดกันพอสมควรเลย2. สมาธิในเกมรับเกมรับของลิเวอร์พูลเริ่มต้นในฤดูกาลนี้ไม่ดีเท่าไร นอกจากจะเสียตัวหลักบางคนไปกับอาการบาดเจ็บแล้ว เรื่องของการเสียสมาธิในเกมและความผิดพลาดส่วนตัวก็ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จนมีส่วนสำคัญทำให้โดนคู่แข่งยิงนำไปก่อนทั้งสองเกม พอโดนนำไปก่อนรูปเกมทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเข้าทางคู่แข่งจนหมดและถอยลงไปเล่นเกมรับกันได้อย่างเต็มที ทำให้ลิเวอร์พูลยิ่งเล่นได้ยากและลำบากมากขึ้นในการจะเจาะเข้าไปยิงประตู3. ขาดบอลจากกลางไปหน้าแดนกลางยังคงทำหน้าที่กันได้ดีในจังหวะดักเก็บบอลครองบอลเอาไว้กับทีม แต่สิ่งที่ขาดไปในสองเกมแรกคือ การขึ้นบอลจากตรงกลางไปให้กองหน้าแทบไม่มีให้เห็นเลย ส่วนหนึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าเพราะคู่แข่งลงไปตั้งรับกันแน่นจนแทบไม่มีช่องว่างให้เจาะเข้าตรงกลาง การขึ้นบอลเกมรุกเลยต้องเปิดจากด้านข้างเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ขาดความหลากหลายจนถูกคู่แข่งดักทางได้ง่ายเกินไป4. เกมรุกเชื่อมกันไม่ติดการเปลี่ยนแปลงตัวรุกจากซาดิโอ มาเน่ เป็นดาร์วิน นูเญซ ทำให้รูปแบบเกมรุกของทีมต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย การที่จะต้องมีดาร์วิน นูเญซ มายืนเป็นกองหน้าตัวเป้าของทีมในรอบหลายปี จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวและปรับจูนจังหวะการเล่นให้เข้ากับนักเตะคนอื่นๆ จริงอยู่ว่ามีหลายจังหวะที่สามารถเล่นร่วมกันได้ดีและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามองลึกไปถึงรายละเอียดของเกมก็จะเห็นว่าแนวรุกทั้งสามคนยังเชื่อมกันไม่ติดแบบร้อยเปอร์เซ็น ส่วนตัวของดาร์วิน นูเญซ ก็ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสไตล์บอลพรีเมียร์ลีกอีกเยอะ โดยเฉพาะจังหวะจบสกอร์ที่ยังไม่เด็ดขาดและยิงบอลพลาดง่ายๆให้เห็นอยู่หลายครั้ง แต่จุดเด่นก็คือการหาพื้นที่เพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองทำได้เก่งมากๆ ถ้าเพิ่มความมั่นใจในจังหวะสุดท้ายอีกหน่อยจะกลายเป็นความหวังของทีมได้แน่นอน5. ความกดดันที่มากขึ้นต้องยอมรับว่าเมื่อฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากๆ เข้าชิงในทุกรายการที่ลงแข่งถึงแม้จะคว้ามาได้ 2 ถ้วย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพทีมว่าพร้อมและก็สู้กันไปได้จนถึงเกมสุดท้าย เมื่อมาตรฐานในปีที่แล้วถูกทำเอาไว้ขั้นสูงสุดในทุกรายการ ทำให้ปีนี้นักเตะย่อมเกิดความกดดันที่มากขึ้นความคาดหวังจากแฟนบอลก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน เราจึงเห็นได้ชัดเลยว่าในสองเกมแรกนักเตะหลายคนดูตั้งใจและเครียดมากเกินไป จนบางครั้งกดดันจนเล่นพลาดง่ายไปเอง โดยเฉพาะเกมล่าสุดดาร์วิน นูเญซ มีความตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เมื่อหลายจังหวะทำไม่ได้อย่างที่คิดจนเกิดความเครียดและกดดันสุดท้ายพลาด ไปหลงเหลี่ยมถูกยั่วยุจากแข่งจนระเบิดอารมณ์ออกมากลายเป็นผลเสียของทีมในที่สุดต้องรอดูกันว่าหลังจากนี้เจอร์เก้น คล็อปป์ จะแก้ปัญหาได้ดีขึ้นมากแค่ไหนโดยเฉพาะเรื่องความกดดัน ที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ทำยังไงก็ได้ให้นักเตะทิ้งความกดดันไว้ข้างสนามและลงไปเล่นกันด้วยความผ่อนคลาย เล่นกันอย่างมีความสุขเหมือนเมื่อปีที่ผ่านมา และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าทีนักเตะตัวหลักเริ่มกลับมาจากอาการบาดเจ็บ เมื่อนั้นลิเวอร์พูลก็จะกลับมาเป็นทีมที่น่ากลัวมากขึ้นอีกครั้งเครดิตภาพ FB : Liverpool FCภาพปก Liverpoolภาพ Liverpool/Liverpoolภาพ Liverpool/Liverpool/LiverpoolCommunity คอบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์