ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนัดบ็อกซิ่งเดย์ ตรงกับนัดที่ 19 ของตารางการแข่งขัน นัดนี้เป็นอะไรที่แฟนหงส์หมายมั่นปั้นมือว่าจะเอาคืน หลังจากที่เก็บได้เพียงผลเสมอจากสองนัดล่าสุด ประกอบกับเบิร์นลีย์ก็เป็นทีมท้ายตาราง ที่มีสถิติการเล่นในบ้านที่เข้าขั้นวิบัติคือหนักไปทางแพ้ซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่เอานัดนี้จะเอานัดไหน สำหรับแฟนหงส์ยังไงก็ต้อง 3 แต้ม มาครับเรามาคุยหลังเกมกันว่าแมทซ์นี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง 1. ดาวิน นูนเญช ยิงประตูได้สักที!ต้องบอกว่าปิดกิจการฟาร์มหมูได้สักทีครับ สำหรับดาวยิงค่าตัวแพงรายนี้ หลังจากเป้าสะอาดมามากกว่าสิบนัด คือไม่ใช่ว่าดาวินเขาหาโอกาสไม่ได้ครับ แต่ก่อนหน้านี้ภาพที่เราเห็นจนชินตาก็คือการพลาดลูกหมูหกเป็นประจำ ยิงแม่นเสาแม่นคานจนน่าเขกกบาลหงุดหงิด แต่กับแมทซ์นี้พี่แกดันมายิงได้ตั้งแต่ 6 นาทีแรก แถมเป็นลูกยิงไกลที่พุ่งสวยซะด้วย สาธุ..ขอให้ความมั่นใจของแกกลับคืนมาด้วยเถิด2. ลิเวอร์พูลโถมเกมรุกเข้าใส่อย่างดุดันเรียกได้ว่าเป็นบอลครึ่งแรกที่แฟนบอลดูแล้วก็สบายใจ เพราะเบิร์นลีย์ไม่มีวี่แววที่จะตอบโต้ได้เลย มีการเล่นผิดพลาดหลายครั้ง แต่ก็เป็นฝั่งหงส์แดงเองที่ยิงนกตกปลา จบสกอร์กันได้ไม่เฉียบคมพอ ซึ่งดูภาษากายก็เห็นเลยครับว่าทุกคนตั้งใจกันมาก นักเตะล้วนอยากจะได้ประตูที่สองเร็วๆ เพราะจะทำให้ไม่กดดันและเล่นง่ายขึ้น แต่ก็นั่นล่ะครับ! โอกาสมากมายแต่ลูกสองก็ไม่มาสักที 3. กรรมการ VAR มีผลต่อการแข่ง!กักโปตะบันยิงเต็มข้อตาข่ายแทบขาด แต่ก็มาโดน VAR ริบประตูคืนเพราะมองว่ามีการฟาล์วก่อน อีกจังหวะหนึ่งก็เป็นช่วงต้นครึ่งหลังที่ฮาร์วี เอลเลียต ยิงประตูจากการประสานงานสุดสวย แต่ VAR ก็ดันมาบอกว่าโม ซาร่าห์มายืนบังสายตาผู้รักษาประตู จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือดุลยพินิจของผู้ตัดสินล้วนๆ ภาพเดียวกันมองมุมเดียวกัน การหยุดภาพ การฉายภาพช้าแบบภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ทุกอย่างล้วนมีผลต่อการให้ประตูหมด ซึ่งจากเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่ผู้ติดสินพอล เทียร์นีย์คนนี้แล้วเป็นกรรมการคนอื่น เขาอาจจะให้ประตูลิเวอร์พูลก็ได้ครับ เขาอาจมองว่าลูกแรกเป็นการปะทะแบบเบา "ไม่ฟาล์ว" ส่วนลูกสองโม ซาร่าห์ ก็แค่วิ่งไปตรงนั้นแค่เสี้ยววินาที แว๊บต่อมาเขาก็ออกจากวิถีการมองเห็นของมือประตูแล้ว เพราะฉะนั้น "ต้องเป็นประตู" จะเห็นว่าฟุตบอลสมัยนี้แค่บอลข้ามเส้นไม่พอครับ ต้องมาลุ้นการให้คะแนนจากดุลยพินิจของกรรมการด้วย "ฟุตบอลกลายเป็นกีฬาที่ตัดสินด้วยสายตา" ไปแล้วใช่ไหมครับ? 4. โดนยึดประตูทำให้ลิเวอร์พูลเจองานยากในครึ่งหลังครับ! พอหงส์แดงนำห่างสองประตูไม่ได้เบิร์นลีย์ก็เริ่มมีความหวัง พวกเขาคิดว่าน่าจะแบ่งแต้มเอาผลเสมอได้ เลยเริ่มเปิดเกมบุกแลก ซึ่งโดยธรรมชาติของเบิร์นลีย์แล้ว พวกเขาเป็นทีมที่ไม่เล่นเกมรับรถบัสเหมือนทีมหนีตกชั้นทีมอื่นๆ พวกเขามีผจก.ทีมเป็นแวนซอง คอมปานี ที่เป็นกัปตันทีมแมนซิตี้มาก่อน การบุกมันอยู่ในสายเลือด และด้วยผลห่างแค่สกอร์เดียวทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ และนั่นก็ทำให้ลิเวอร์พูลเจอความลำบาก เกมรับเริ่มสั่นคลอนจนต้องเปลี่ยนตัวแดนกลางยกแผง คนดูแฟนบอลนี่เกร็งกันไปตามๆกันครับ ดูบอลไม่สนุกเลย เพราะกรรมการในข้อข้างบนแท้ๆ 5. การกลับมาของดิโอโก้ โชต้าต้องขอบคุณการกลับมาคืนสนามของเขาอย่างรุนแรง เพราะสัญชาตญาณการเป็นสไตล์เกอร์ขนานแท้เลยตวัดยิงลูกเสาแคบแบบนั้นได้ ผมเชื่อว่าในตอนนี้ตัวรุกในทีมไม่มีใครเฉียบคมเท่าเขาอีกแล้ว ประตูนี้กลายเป็นลูกยิงปิดเกมและปลดเปลื้องความกดดันทุกอย่าง ถึงจะมาตอนนาทีที่ 90 แต่ก็ทำให้ช่วงทดเวลาเจ็บไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นระทึก ลิเวอร์กลับออกไปพร้อมกับ 3 คะแนน เป่าปากอยู่หน่อยๆ แต่ชนะได้ก็โอเคแล้วครับ สรุปสุดท้าย ช่วงนี้เป็นช่วงที่โปรแกรมการแข่งขันถี่ เราจึงได้เห็นการจัดตัวที่มีการหมุนเวียนเปลี่ยนสลับกันลง แฟนหงส์ทุกคนก็ไม่ต้องคิดมากไปนะครับ ทีมอาจจะมีช่วงที่แกว่งมีช่วงที่แย่และดีสลับๆกันไปในเกม แต่สุดท้ายเราก็จะได้ผลการแข่งที่ต้องการเสมอ รูปเกมเอาไว้ก่อน เอาแต้มสำคัญกว่า (และขอกรรมการที่เป่าดีๆในทุกๆเกมก็พอใจแล้วครับ) เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก 1 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 1 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 2 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 3 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 4 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 5 จาก FB : Liverpool FC