ผ่านพ้นไปสำหรับเกมแดง(ไม่)เดือดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021 – 2022 ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเกมนี้เล่นที่แอนฟิลด์ แล้วก็ไม่ผิดคากอะไรสำหรับเหล่าเซียนทั้งหลายที่แทบจะทุกสำนักฟันธงว่าหงส์แดงจะเป็นผู้ยัดเยียดความปราชัยอีกครั้ง แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายนั่นก็คือไม่มีใครคาดคิดว่า ทีมฉายาปีศาจแดงจะโดยถล่ม 4 – 0 จนกลายเป็นผีน้อยกลับป่าช้าไม่ถูกขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นสร้างสถิติมากมายภายในฤดูกาลเดียวของอดีตสโมสรที่ยิ่งใหญ่กับการเจอคู่ปรับตลอดการเรียกว่า สองเกมสร้างสถิติที่ไม่น่าอภิรมย์หรือหากจะภาษาบ้าน ๆ ก็น่าอัปยศอดสูอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับนักเตะชุดนี้ของ แมนเชสตอร์ ยูไนเต็ดhttps://twitter.com/i/status/1516477273427296256 ย้อนไปก่อนฤดูกาล 2015-2016 ก่อนที่ชายที่ชื่อ เจอร์เกน คล๊อปป์ จะก้าวมาคุมบังเหียนหงส์แดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่มีสถิติเหนือกว่าลิเวอร์พูล ในเกมแดงเดือดอยู่ไม่น้อย อาจจะด้วยเวลานั้นนี่คือทีมที่อุมดมไปด้วยนักเตะคุณภาพ ผู้จัดการทีมที่มากความสำเร็จ ซึ่งแตกต่างจากคู่ปรับที่แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในรายการยุโรป แต่ในพรีเมียร์ลีกเข้าใกล้ได้แค่คำว่าเกือบแชมป์ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุดใหม่และการเริ่มต้นอะรใหม่ก็ได้เปลี่ยนสิ่งที่เคยเป็นความทรงจำหอมหวานของปีศาจแดง เป็นฝันร้ายที่ไม่น่าจดจำสำหรับเหล่าสาวกที่เหลือแค่ชื่อปีศาจแดง 17 มกราคม 2016 นี่คือแดงเดือดเกมแรกในแอนฟิลด์ของชายที่ขื่อ เจอร์เกน คล๊อปป์ แน่นอนว่าเหล่าสาวกหงส์แดงต่างก็คาดหวังผลการแข่งขันที่ดีแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเทพีแห่งชัยชนะได้ไปอยู่ที่ผู้มาเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะไปได้ 0 – 1 ซึ่งนักเตะชุดนั้นเป็นชุดที่เจ้าตัวก็ยังไม่คุ้นเคยมีเพียงนักเตะสองรายที่ยังหลงเหลือจากเกมนั้นนั่นก็คือ เจมส์ มิลเนอร์ และ ดิว๊อก โอริกี้ แต่นั่นก็เป็นความพ่ายเพียงครั้งเดียว จาก 6 เกม เพราะ 5 เกมจากนั้น ปีศาจแดงไม่เคยเอาชนะได้แม้แต่เกมเดียว ทั้งในพรีเมียร์ลีกและยูโรปาลีกโดยแพ้ 1 เสมอ 4 นั่นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้าย สิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลพัฒนามาไกลได้ขนาดนี้ไม่ใช่แค่เพียงตัวของ เจอร์เกน คล๊อปป์ เท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับทีมงานแมวมองของสโมสรลิเวอร์พูลที่มักจะสรรหานักเตะที่เจ้าตัวต้องการ รวมไปถึงการเจรจาเรื่องสัญญาที่ไม่ค่อยจะมีข่าวหวือหวาเหมือนกับบางสโมสรแบบมีข่าววันเดียววันต่อมาปิดดีลได้เลย อีกทั้งยังเป็นนักเตะที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ แต่กลับมาแก้ปัญหาได้ตรงจุดแถมยังทำผลงานได้เกินคาดเหลือเกิน ซึ่งเมื่อย้อนดูนักเตะที่ชายคนนี้ได้สร้างชื่อรวมถึงการทำงานร่วมกับทีมงานแมวมองตั้งแต่อยู่ โบรุสเซียดอร์ทมุน ไม่ว่าจะเป็น อิลคาย กุนโดกัน , เนเวน ซูโบติก , มัตส์ ฮุมเมิลส์ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ต่างก็มาด้วยค่าตัวที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ปัจจุบันเป็นนักเตะแนวหน้าที่ใครๆ ก็รูจัก ซึ่งเมื่อมองไปยังปีศาจแดงในช่วง 7 ปีมานี้เป็นทีมที่จ่ายทั้งค่าเหนื่อยและการซื้อนักเตะแพงที่สุดเป็นอันดับสองของพรีเมียร์ลีกเป็นรองก็เพียงแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น แต่ความสำเร็จกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจแม้แต่น้อย ด้วยปัญหาเดียวที่ปีศาจแดงประสบพบเจอก็คือการซื้อนักเตะที่ผู้จัดการทีมไม่ต้องการเข้าสู่ทีม แต่ที่ผู้จัดการทีมต้องการกลับไม่ได้มาใช้งาน มันก็ไม่ต่างจากพ่อครัวที่จะทอดปลากะพง แต่เอาปลาปักเป้ามาให้พ่อครัว มันก็ไม่ออกกมาเป็นอาหารจานเด็ดไม่ได้อยู่ดี นี่คือสิ่งที่ปีศาจแดงแก้ไม่ตกมาเป็นเวลาหลายปี เรื่องต่อมาคือการให้อำนาจในเรื่องการบริหารของผู้จัดการทีมแบบเต็มที่ไม่อิงกระแส ยกตัวอย่าง่าย ๆ ย้อนไปเมื่อสองฤดูกาลก่อนที่ ซาดิโอ มาน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เหมือนจะไม่ลงรอยกัน อีกทั้งฟอร์มการเล่นของ ซาดิโอ มาน่ ก็หายไปซะดื้อ ๆ จนกระแสแฟนบอลบอกให้ดร๊อปกันทั่วทั้งโลก แต่ เจอร์เกน คล๊อปป์ กลับไม่ทำแบบนั้น ก็ยังตะบี้ตะบันส่งลงสนามด้วยเหตุผลที่เขาบอกว่า “ผมเชื่อใจในนักเตะของผม” และมันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงคำพูดของเขา เพราะหลังจากนั้นผลงานของสองศูนย์หน้าจอมพังประตูก็กลับมาทำผลงานเปรี้ยงปร้างได้อีกครั้ง ซึ่งไม่ต่างจากสองเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้ที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฟอร์มตกไป และก็กลับมาทำสองประตูได้ในเกมล่าสุด อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญตลอดเวลา7ปีของชายคนนี้ไม่เคยวิจารณ์นักเตะด้านลบแบบรุนแรงแม้แต่ครั้งเดียว แต่ปีศาจแดงมักจะดร๊อปนักเตะตามเสียงวิจารณ์ของแฟนบอลและกูรูมากกว่าที่จะเชื่อใจนักเตะ รวมถึงผู้จัดการทีมก็มักจะมักจะบ่นนักเตะตัวเองออกสื่อแบเสียหาย ซึ่งนั่นนำมาสู่พลังใจของนักเตะที่จะเล่นเพื่อผู้จัดการทีมอย่างแท้จริง ซึ่งส่งผลเสียต่อสโมสรในระยะยาวจนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังไม่ให้อำนาจในการบริหารแบบเสร็จสรรพเรื่องของการดร๊อปนักเตะอย่าวงที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุผลแสนง่าย “ก็ซื้อมาแพงแล้วนิ ใช้ให้มันคุ้มค่าโปรโมตหน่อยซิ” ต่อมาคือแผนการเล่นที่ไม่เคยเปลี่ยน รูปแบบการเล่นแบบ 4 – 3 – 3 ที่ยึดถือแม้ว่าในเริ่มต้นจะโดนวิจารณ์อย่างมากก็จริง ด้วยเหตุผลที่ว่ามักจะเป็นทีมที่เสียประตูต่อเกมเฉลี่ยอยู่ที่ 1.85 เพาะการเติมเกมรุกของสองวิงแบ๊ค ทำให้เมื่อโดนสวนกลับก็มักจะเสียประตูง่าย แต่สิ่งที่ลบคำวิจารณ์เหล่านั้นออกไปก็คือเกมรุกที่สุดจะสะเด่า การบุกที่มากหมายหลากหลายรูปแบบ นักเตะที่สิ่งสู้ฟัด นี่เป็นสิ่งที่แฟนบอลชื่นชอบ เพราะอย่าลืมว่ากีฬาฟุตบอล คือ ความบันเทิง ในรูปแบบหนึ่งที่ผู้ชมต้องสนุกและมีอารมร่วมแม้ว่าผลการแข่งขันบ้างครั้งจะไม่เป็นใจ แต่ก็ได้ใจแฟนบอลไปแบบสุด ๆ นั่นคือทั้งหมดทั้งมวลที่นำสนอให้กับสาวกลูกหนังได้สดับรับฟังกัน แน่นอนแหละว่าหลายคนที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลจะยังมองภาพไม่ออกว่าหลังจากที่ผู้จัดการทีมคนนี้ออกจาสโมสรไปหงส์แดงจะยังยิ่งใหญ่อยู่หรือไม่ แม้กระทั่งสาวกปีศาจแดงที่ตอนนี้กำลังลุ้นกันว่าใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมที่จะปลุกปีศาจให้ตื่นอีกครั้งได้ ไม่ว่าอนาคตทั้งสองสโมสรจะเป็นเช่นไรสิ่งที่มิอาจเปลี่ยนได้ก็คือหัวใจแฟนบอลที่จงรักภักดีต่อสโมสรอันเป็นที่รัก ไม่ว่าแพ้ ชนะ ตกต่ำ รุ่งโรจน์ หรือแม้ว่ารู้ทั้งรู้ว่าแฟน แต่ก็ยังถ่างตาดู จนจบ 90 นาที เพราะฟุตบอลคือจิตวิญญาณของแฟนบอลทุกหมู่เหล่านั่นเองข่าวที่เกี่ยวข้อง3 เหตุผล โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คืนฟอร์มโหดแดงเดือด "ลิเวอร์พูล vs แมนยู"แผนสุดแยบยลของ FSG ปิดทางเลือก "โมฮาเหม็ด ซาล่าห์" จบปัญหาสัญญาที่วุ่นวาย3 ตัวแปรตัดสินสามแต้ม "แมนซิตี้" หรือ "ลิเวอร์พูล" เปิดทางแชมป์พรีเมียร์ลีก 2021-2022ทำความรู้จัก "เบน โด็ก (Ben Doak)" ดาวรุ่งมากพรสวรรค์คนใหม่ของ ลิเวอร์พูลจัดอันดับ 8 ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ยุคพรีเมียร์ลีก ผลงานแย่ที่สุดถึงดีที่สุดเครดิตภาพปก twitter.com/lfc :: ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2เครดิตภาพประกอบ twitter.com/lfc :: ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3 , ภาพที่ 4 , ภาพที่ 6 , twitter.com/ManUtd :: ภาพที่ 5 , ภาพที่ 7 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดทุกแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี