"อุ้ม-มุ้ย-เจ-ตอง" 4 แข้งช้างศึก กับ 4 เป้าหมายบนสมรภูมิเจลีก 2020
นับเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่แฟนบอลไทยต้องจับตามองเป็นพิเศษสำหรับศึก “เจลีก 2020” เนื่องจากเป็นซีซั่นที่มีขุนพลทีมชาติไทยไปโชว์ฝีเท้าบนแผ่นดินซามูไรถึง 4 คนเลยทีเดียว
สุดสัปดาห์นี้ ศึกฟุตบอลเจลีก 2020 เตรียมคัมแบ็กกลับมา “รีสตาร์ท” กันอีกครั้ง หลังจากเปิดซีซั่นไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และเพิ่งลงสนามไปแค่นัดเดียวเท่านั้น ก่อนจะโดนโควิด-19 อาละวาดหนักจนต้องพักเบรกไปนานเกือบ 5 เดือน
แน่นอนว่า ลีกลูกหนังแดนปลาดิบฤดูกาลนี้ยังคงเป็นที่น่าติดตามเช่นเคย โดยเฉพาะการที่มีดาวเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย หิ้วสตั๊ดไปโกยเงินเยนถึง 4 คน ได้แก่ “อุ้ม” ํธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายของโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ดาวยิงแห่งชิมิสึ เอสพัลส์ และ 2 คู่หู ณ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์
สำหรับ “อุ้ม-เจ” น่าจะสามารถเอาตัวรอดกับเวทีเจลีกได้แล้ว ขณะที่ “มุ้ย-ตอง” ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองให้สโมสรได้เห็น
อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างมีเป้าหมายและสิ่งที่ต้องแสดงออกมา เพื่อทำผลงานให้กับต้นสังกัดอย่างดีที่สุด ซึ่งนั่นไม่ใช่แค่ผลดีต่อตัวเองเท่านั้น แต่มันจะส่งผลดีถึง “นักเตะไทย” ทุกคน ที่จะได้รับการจับตามองมากขึ้น และนำไปสู่โอกาสไปค้าแข้งในเวทีลูกหนังชั้นนำของเอเชียอย่างเจลีก
ธีราทร บุญมาทัน กับความคาดหวังที่สูงขึ้น
คงต้องใช้คำว่า “เกินคาด” กับผลงานของเจ้าอุ้มและมารินอสเมื่อปีที่แล้ว โดยดาวเตะทีมชาติไทยสามารถยึดสัมประทาน “แบ็กซ้าย” ของมารินอส พร้อมกับมีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมผงาดแชมป์เจลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี
ถึงนาทีนี้ ธีราทรกลายเป็นหนึ่งในขวัญใจแฟนบอลมารินอสไปแล้ว แต่นั่นย่อมแลกมาด้วย “ความคาดหวัง” ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะผิดกับฤดูกาลก่อนที่ “เจ้าอุ้ม” ย้ายจากวิสเซล โกเบ มาสวมยูนิฟอร์มของมารินอส โดยที่แฟนบอลก็ไม่ได้คิดว่าอุ้มจะระเบิดฟอร์มได้ดีขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่แค่ธีราทรคนเดียวที่ต้องเจอความกดดัน แต่คงเป็นนักเตะมารินอสทุกคน ตลอดจนสตาฟฟ์โค้ชที่นำโดยกุนซือ อังเก้ ปอสเตโคกลู เพราะคู่ต่อสู้ทุกทีมต่างต้องการล้มแชมป์ และการเป็น “ผู้ถูกล่า” ย่อมหนักหนาสาหัสกว่าการเป็น “ผู้ไล่ล่า” หลายเท่าตัว
ยิ่งไปกว่านั้น ผลงานการออกสตาร์ทนัดแรก มารินอส ประเดิมซีซั่นด้วยการพ่ายคาบ้านต่อ กัมบะ โอซก้า 1-2 ซึ่งน่าติดตามว่า "โก๋อุ้มและชาวคณะมารินอส" จะเร่งงัดฟอร์มเก่งออกมาได้หรือไม่ ในเกมรีสตาร์ท ซึ่งจะไปเยือน อูราวะ เรด ไดมอนด์ ในวันเสาร์นี้
ธีรศิลป์ แดงดา กับการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในเจลีก
ธีรศิลป์ไม่ใช่ “น้องใหม่” ในศึกลูกหนังเจลีก หลังจากเคยมาโชว์ฝีเท้ากับ ซานเฟรชเช่ ฮิโรชิม่า มาแล้วด้วยสัญญายืมตัวจาก เอสซีจี เมืองทอง เมื่อฤดูกาล 2018
ครั้งนั้น เจ้ามุ้ยฝากผลงานกับ ซานเฟรซเช่ ไว้ที่ 6 ประตูจากการลงเล่นเจลีก 32 นัด ก่อนจะเก็บกระเป๋ากลับไปยังทีมกิเลนผยอง จนกระทั่งได้รับโอกาสมาตะลุยเจแปนอีกครั้งกับ ชิมิสึ เอสพัลส์ ในฤดูกาลนี้ ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสค้าแข้งต่างแดนครั้งสุดท้าย เนื่องจากอายุอานามของเจ้ามุ้ยก็เข้าสู่วัย 32 ปีแล้ว
ต้องยอมรับว่าผลงานกับซานเฟรชเช่ของเจ้ามุ้ยอยู่ในระดับ “พอใช้” ไม่ได้ย่ำแย่เลวร้าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นหวือหวาเปรี้ยงปร้าง ส่วนการย้ายมายังชิมิสึ ถือเป็นโจทย์สุดหินของเจ้ามุ้ยอีกครั้ง เพราะถึงแม้ว่าจะเคยมีประสบการณ์ในเจลีกมาแล้ว แต่ด้วยองค์ประกอบและศักยภาพของชิมิสึนั้นไม่ใช่ทีมระดับหัวแถว ซึ่งคงยากที่จะประสบความสำเร็จในแง่ของการลุ้นแชมป์
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ “เทพมุ้ย” ของแฟนบอลชาวไทย จำเป็นต้องรีดศักยภาพของตัวเองออกมาช่วยทีมให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกัน การอยู่กับทีมระดับนี้ก็พอจะมีข้อดีอยู่เช่นกันคือ ความกดดันที่ไม่มากเท่ากับการอยู่ในทีมกลุ่มลุ้นแชมป์
นอกจากนี้ ดาวยิงทีมชาติไทยยังเริ่มต้นกับชิมิสึได้ยอดเยี่ยม เมื่อได้ลงตัวจริงและสามารถเบิกสกอร์แรกให้กับทีมได้ทันที ในนัดประเดิมสนาม น่าเสียดายที่สุดท้ายพ่ายต่อ เอฟซี โตเกียว 1-3 แต่นั่นก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีของอดีตหัวหอกกิเลนผยองรายนี้
ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับโทรฟี่ที่โหยหา
น่าจะเป็นแข้งช้างศึกที่ “อยู่ตัว” ที่สุดกับชีวิตการค้าแข้งในญี่ปุ่น โดยชนาธิปสอบผ่านทั้งในและนอกสนาม จนถูก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร จับเซ็นต่อสัญญายาวจนถึงปี 2025 ไปเรียบร้อย
สำหรับ ชนาธิปเป็นกำลังสำคัญของทีม และเป็นขวัญใจของชาวเมืองฮอกไกโด เพราะ “เจ้าเจ” ทำให้เมืองเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น ตามมาด้วยนักท่องเที่ยว และมูลค่าทางการตลาดต่างๆ เรียกได้ว่าเป็น “เซเลบ” ของฮอกไกโดไปแล้วก็คงไม่ผิดนัก
นอกจากนี้ ชนาธิปยังยกระดับฝีเท้าจนถึงขั้นติดเป็นหนึ่งนักเตะในทีมยอดเยี่ยมของเจลีกมาแล้ว เมื่อปี 2018 อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ชนาธิปยังไม่เคยได้สัมผัสภายใต้ยูนิฟอร์มของซัปโปโรคือ “ถ้วยแชมป์”
โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดก่อนหน้านี้คือ การเข้าชิงศึก ลูวาน คัพ 2019 ก่อนอกหักพ่ายจุดโทษ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ อย่างน่าเสียดายในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งน่าสนใจว่า ฤดูกาลนี้เพลย์เมกเกอร์ร่างเล็กจากสยามประเทศจะสามารถนำทัพซัปโปโรทำผลงานได้ดีเพียงใด และจะได้ฉลองแชมป์สักรายการหรือไม่
กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ กับการเริ่มต้นสร้างชื่ออีกครั้ง
หลังสร้างความฮือฮาด้วยการย้ายไปยัง โอเอช ลูเวิน ในลีกรองของเบลเยียม เมื่อปี 2018 ชื่อของ “เจ้าตอง” ก็ค่อยๆเงียบลงไป โดยเฉพาะช่วงหลังที่เจอปัญหาอาการบาดเจ็บ จนเสียตำแหน่งทั้งในสโมสรและทีมชาติ ก่อนจะตัดสินใจย้ายมาลุยศึกเจลีกด้วยสัญญายืมตัวในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรที่การันตีได้ว่า “เจ้าตอง” จะสามารถเข้ามายึดตำแหน่งตัวจริงได้ทันที แม้ว่าโกลมือ 1 จากซีซั่นก่อนอย่าง กูซุงยุน จะย้ายกลับเกาหลีใต้ไปอยู่กับ แดกู เอฟซี แล้วก็ตาม
ถึงเวลานี้ ภารกิจแรกของกวินทร์ในสีเสื้อซัปโปโรคือการพยายามยึด “มือหนึ่ง” ของทีมให้ได้เสียก่อน โดยนายด่านช้างศึกมีคู่แข่งอีก 2 รายในทีม คือ ทาคาโนริ ซูเงโนะ นายด่านประสบการณ์สูง วัย 36 ปี ซึ่งเคยได้แชมป์เจลีกมาแล้ว สมัยเฝ้าเสาให้กับคาชิว่า เรย์โซล เมื่อปี 2011 ส่วนอีกรายคือ ชุนตะ อาวากะ โกลลูกหม้อของสโมสร ซึ่งอยู่กับซัปโปโรมาตั้งแต่เยาวชน จนปัจจุบันอายุ 25 ปี และมีจุดเด่นอยู่ที่รูปร่างซึ่งสูงถึง 2 เมตร
สำหรับ “เจ้าตอง” ในวัย 30 ปี ถือว่ายังสามารถยกระดับตัวเองขึ้นไปได้อีกสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตู ตลอดจน “ความมุ่งมั่นตั้งใจ” ซึ่งมือกาวทีมชาติไทยรายนี้ไม่เป็นรองใครแน่นอน แต่จะสามารถเอาชนะใจสตาฟฟ์โค้ชและยึดตำแหน่งมือหนึ่งของทีมได้หรือไม่นั่น เป็นสิ่งที่ยากจะการันตี
และถ้ามองไปไกลกว่านั้น หากได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาแล้ว เจ้าตองจะสามารถทำผลงานได้น่าประทับใจมากน้อยแค่ไหน นี่เป็นสิ่งที่แฟนบอลไทยทุกคนต้องติดตามและเอาใจช่วยกันต่อไป
แต่อย่างแรกเลยคือ ขอให้ได้ลงก่อนเนอะตองเนอะ!
"111"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
>> โปรแกรมศึกฟุตบอลเจลีก ฤดูกาล 2020 พร้อมลิ้งก์ถ่ายทอดสด
>> ดังของจริง!! ชนาธิป ช่วยการท่องเที่ยว เมืองซัปโปโร โตขึ้น ถึง 49%
– ดูฟรี! พรีเมียร์ลีก มากกว่า 100 คู่ คลิก ID Station
– ดู พรีเมียร์ลีก online คลิกที่นี่
– สมัครชม พรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาล คลิกที่นี่