ถึงคราวต้องเปลี่ยนบรรยากาศจากบอลถ้วย Fa Cup ย้ายมาดูศึกคาราบาวคัพถ้วยเล็กกันบ้างครับ ตอนนี้เหลือกันอยู่แค่ 4 ทีมสุดท้ายแล้ว กับการแข่งขันแบบเหย้าเยือนให้แมทซ์การแข่งมันถี่ขึ้น ผู้เล่นเสี่ยงบาดเจ็บมากขึ้น จัดทีมก็ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย คนดูกองเชียร์ก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่หรอกครับ หนักไปทางลุ้นให้นักเตะตัวเองไม่บาดเจ็บ และกลับมาเตะพรีเมียร์ลีกต่อได้แบบครบ 32 ซะมากกว่า ทว่าพอพูดถึงถ้วยแชมป์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เป็นใครก็ต้องคว้าไว้ก่อนล่ะครับ แม้การเตะคาราบาวคัพปีนี้จะมีความพิสดารนิดหน่อยตรงที่รอบนี้จะไม่มีการใช้ VAR อันเนื่องมาจากมิดเดิลสเบอร์มีปัญหาเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ในสนาม ทำให้ทีมที่เหลือต้องงดใช้เทคโนโลยีนี้ไปโดยปริยาย ซึ่งจะถือว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ได้ครับ เพราะบางทีสำหรับลิเวอร์พูลที่มักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกรรมการ การไม่มี VAR ซะบ้าง อาจจะเข้าทางพวกเขาก็ได้ คาราบาวคัพนัด semi final หนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มาครับ! ผมจะฉายภาพให้ฟัง 1. ฟานไดจ์ก็คนธรรมดาคนหนึ่ง เขาก็พลาดเป็นเหมือนกันบอลจังหวะนี้ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า ฟานไดจ์เซ็นเตอร์ฮาร์ฟตัวเก่งของลิเวอร์พูลออกลูกประมาทเกินไป แกกะจังหวะบอลพลาดหรือยังไงก็ไม่รู้ ถึงได้โหม่งบอลกระเด้งไปเข้าทางเปเรร่า อดีตตัวรุกแมนยูส่งบอลต่อให้วิลเลี่ยนส์ก่อนจะใช้ความเร็วในวัยใกล้ฝั่ง กระชากเข้าไปตะบันประตู ผมไม่แน่ใจว่าคนที่หุบเข้ามาซ้อนใช่เจ้าหนูแบรดลีย์รึเปล่า แต่ต่อให้ตรงนี้เป็นเทรนด์ อาโนลด์ ลูกนี้ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน คือ "ไม่รอด!" ฟูแล่มพลิกขึ้นนำ 1 - 0 ด้วยโอกาสแรกและโอกาสเดียวของพวกเขา 2. ฮาวีย์ เอลเลียต โดนโห่จนเล่นไม่ออก!ด้วยความสัตย์จริงครับคุณผู้อ่าน ว่าในขณะที่ดูถ่ายทอดสดผ่านจอโทรทัศน์อยู่นั้น ทุกครั้งที่เอเลียตได้บอลเขาจะโดนโห่ทันที ตอนแรกผมก็พยายามดูว่าบอลแมทซ์นี้เตะที่แอนด์ฟิลด์รึเปล่า ซึ่งถ้าใช่ทำไมเอลเลียตถึงโดนโห่ เป็นไปได้ไหมว่าผมอาจจะฟังเสียงกองเชียร์ผิดเพี้ยนไป พวกเขาอาจจะไม่ได้ "โห่" แต่กำลังเปล่งเสียงดังๆว่า "ชู๊ต" เพื่อเร่งเร้าให้เอเลียตตะบันยิงไกลเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้ประตู แต่แท้จริงแล้วสาเหตุที่โดนแฟนฟูแล่มโห่ก็เพราะ เจ้าตัวเคยเป็นนักเตะเยาวชนของฟูแล่มมาก่อน และอีกเรื่องก็คือบอลถ้วยคาราบาวคัพเนี่ย กองเชียร์ฝั่งทีมเยือนเขาจะได้ตั๋วเยอะกว่าบอลพรีเมียร์ลีก เราจะสังเกตเห็นเลยว่าอัฒจรรย์ฝั่งทีมเยือนแทบจะกินพื้นที่ด้านหลังประตูแทบทั้งหมด ต่างจากบอลพรีเมียร์ที่จะมีแฟนทีมเยือนอยู่แค่กระจึ๋งหนึ่งตรงมุมธงเท่านั้น พลังของเสียงโห่เลยดังกระหึ่มกลบแอนฟิลด์ไปเลย และนั่นอาจจะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของเอลเลียตโดยตรง 3. โม ซาล่าห์ ไม่อยู่ ลูกวางบอลแทยงมุมข้ามโซนรับหายไปคุณผู้อ่านท่านใดดูลิเวอร์พูลเล่นบ่อย จะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อครับ คือเพลย์การเล่นแบบนี้จะใช้ตอนที่ลิเวอร์พูลเซตบอลจากแดนหลัง ฟานไดจ์จะครองบอลไว้ตรงพื้นที่ด้านหลังฝั่งซ้าย เพื่อดึงให้โซนเกมรับขยับเข้ามาเพลสซิ่งสูง แล้วพอเชพเกมของคู่แข่งเกิดการเอียงกระเท่เร่ขึ้น พื้นที่ของโม ซาล่าห์ด้านบนก็จะเกิด ฟานไดจ์จะทำการวางบอลยาวเยี่ยงซาบี้ อลอนโซ่ ครอสข้ามหัวผู้เล่นทุกคนไปตกใส่เท้าของซาล่าห์ที่ยืนโล่งอยู่แดนบน หลังจากนั้นก็เป็นความคุ้มค่าของนักเตะค่าเหนื่อย 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์แล้วล่ะครับ คือทั้งกระชากลากเลื้อย , เลี้ยงตัดใน , เลี้ยงกินตัว สารพัดรูปแบบสุดแต่โมจะครีเอท แล้วประตูหลายลูกของลิเวอร์พูลก็มักจะมาจากการเล่นลักษณะนี้ คือต้องมีฟานไดจ์กับซาล่าห์เล่นร่วมกัน แต่ทว่าวันนี้โมไม่อยู่! คนที่ยืนอยู่ประจำตำแหน่งแทนคือฮาวีย์ เอลเลียต สาบานได้ครับคุณผู้อ่านว่าผมไม่เห็นฟานไดจ์เปิดบอลแทยงมุมลักษณะดังกล่าวเลยสักครั้ง นั่นทำให้เกมรุกในช่วงแรกตีบตัน จังหวะที่คุ้นเคย ลูกที่เคยทำได้หายไปหมดสิ้น มิหนำซ้ำวันนี้คนที่เล่นแบ็คซ้ายของฟูแล่มดันเป็นพ่อหนุ่มหัวทองอย่างโรบินสัน ผู้เป็นถึงผู้เล่นแบ็คซ้ายประจำสัปดาห์ของพรีเมียร์ลีก เอลเลียตก็ตายสิครับ! ยิ่งต้องพะวงหมุนลงมาเชื่อมบอลตรงกลางด้วย วันนี้จึงไม่ใช่วันของเจ้าตัวเลย 4. การปรับหมากของเจอร์เก้น คล็อปป์ ผมมองว่าจุดแข่งหลักของลิเวอร์พูลซีซั่นนี้ ก็คือตัวสำรองเปลี่ยนเกมครับ เดาใจเจอร์เก้น คล็อปป์ผมคิดว่าแกน่าจะอ่านแล้วว่าฟูแล่มคงไม่บุกเอาประตูแล้ว คงจะตั้งรับอุดเอาประตูที่ฉกไปได้หนึ่งลูกนี่แหละ การครองบอลแบบที่เคยทำได้ในครึ่งแรกเลยไม่จำเป็นอีกต่อไป ลิเวอร์พูลที่ใช้เคอร์ติส โจนส์ , กวาเวนแบก , เอลเลียต หมุนวนตำแหน่งกันมาเล่นตรงกลาง ทำให้เกมสวยงามและครองบอลได้มากก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยากได้ลูกบอลนี่นา! คล็อปป์ต้องการประตู! เอลเลียตกับกวาเวนแบกเลยถูกถอดออก พลันส่งผู้เล่นที่มีทักษะในการทำประตูอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ และ กั๊กโป ลงไป หลุยส์ ดิแอช , ดาร์วิน นูนเญซ , โชวต้า , กั๊กโป สี่คนนี้ลงไปหมุนเวียนตำแหน่งเล่นตรงแดนบน จากครึ่งแรกที่หมุนแต่แดนกลางแล้วดิแอช กับ โชวต้า เน้นปักหลักตามตำแหน่ง คราวนี้เปลี่ยนใหม่เจอร์เก้น คล็อปป์ให้ขึ้นไปหมุนกันที่แดนบนแทน เราจะเห็นว่าบางครั้งนูนเญซก็ถ่างออกมาริมเส้นฝั่งซ้าย ในขณะที่ดิแอชย้ายไปเล่นเป็นตัวรุกฝั่งขวา หน้าเป้าก็เป็นโชวต้ากับกั๊กโปที่สลับกันขึ้นลง ไม่ยืนนิ่งตายตัว ส่วนผู้เล่นในแดนหลังก็ปรับให้โจ โกเมซเลิกเล่นเป็นแบ็คซ้าย แล้วหุบเข้ามายืนจ่ายบอลตรงกลางในบทบาทของอินเวิร์ส (แบบที่เทรนด์ อาโนลด์ทำ) แบ็คขวาดันเจ้าหนูแบลดลีย์ขึ้นไปยืนสูงคอยสนับสนุนการเปิดจากริมเส้น แล้วก็มีบางจังหวะครับที่ตัวรุกทั้งสี่ของลิเวอร์พูลแทบจะยืนทับตำแหน่งกันอยู่ตรงกลาง ปล่อยพื้นที่ด้านขวาให้เป็นท้องทุ่งรับผิดชอบของแบลดลีย์ไปเลย คือที่ผมจะสื่อคือรูปเกมของลิเวอร์พูลในช่วงครึ่งหลังนั้น แทบจะไม่เหลือความสมดุลสวยงามอะไรเลย! พวกเขามีเป้าหมายเดียวคือจะเอาประตูให้ได้! การยืนตำแหน่งเอียงกระเท่เร่ ทุกคนควบทะยานขึ้นหน้าคอยสอดประสานกัน และนั่นก็ส่งผลให้ฟูแล่มประกบตัวกันไม่ถูก พวกเขาไม่รู้ว่าใครจะเล่นอะไร ความสับสนบังเกิดใช้เวลาเพียงไม่นานทำนบน้ำจึงแตกกระจาย! ประตูไหลเป็นสายน้ำ! เผลอแป๊บเดียวลิเวอร์พูลเวอร์ชั่นบ้าระห่ำของคล็อปป์ก็พลิกกลับมาชนะได้ สรุปสุดท้าย เรียกได้ว่าแมทซ์นี้คุ้มค่ากับการอดนอนมากครับ เพราะเราได้เห็นเลยว่าแม้ไม่มีผู้เล่นสำคัญ แต่ตัวสำรองก็ยังเล่นตามแผนการเฉพาะกิจได้อยู่ แม้แต่เด็กดาวรุ่งอย่างแบลดลีย์ที่ลงมาเล่นแทนเทรนด์ก็ยังทำได้ดี โจ โกเมซที่ใครต่อใครเรียกเขาว่า "โจ โกเหม่อ" พอมาเล่นแบ็คซ้ายกลับทำได้ดีอย่างน่าใจหาย ฤดูกาลนี้ผ่านมาครึ่งทางแล้วครับ ทิศทางของทีมกำลังสดใส มีตัวเจ็บมีตัวที่จากไป แต่ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เด็กหงส์ได้คือการได้เห็น "อะไรใหม่ๆ" , "ไอเดียใหม่ๆ" และนั่นทำให้บอลของเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เคยน่าเบื่อเลยครับ เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก 1 จาก FB : Liverpool FC ภาพหน้าปก 2 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 1 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 2 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 3 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 4 จาก FB : Liverpool FC ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !