ดูไปดูมาดูไปเรื่อยๆแป๊บเดียวก็เข้าสู่สัปดาห์ที่ 27 ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2023/2024 แล้ว สามทีมนำบนหัวตารางยังคงขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น และเมื่อน้ำเริ่มเหือดแห้งการต่อสู่เก็บคะแนนก็ยิ่งทวีความหืดจับ เช่นกันกับเคสของลิเวอร์พูลในสัปดาห์นี้ พวกเขาต้องออกไปเยือนน็อตติ้งแฮมฟอร์เรสต์ ทีมที่ได้ชื่อว่าอู๊ดดี้เป็นขนมกรุบ เป็นทีมดาดๆหนีตกชั้นจะรอดไม่รอดแหล่ และไม่มีวี่แววว่าจะทำอะไรลิเวอร์พูลได้ แต่เห็นทีจะไม่ใช่อย่างนั้น! เพราะอย่าลืมนะครับว่ายิ่งแมทซ์แข่งเหลือน้อย โอกาสจะตกชั้นของพวกเขาก็ยิ่งมีสูง พวกเขาจะเสียแต้มไม่ได้อีกแล้ว แล้วแมทซ์นี่ยิ่งได้เตะในบ้าน รูปเกมที่ออกมาจึงไม่ใช่การตั้งรับอุดประตูแบบขันชะเนาะแต่อย่างใด ฟอเรสต์คิดที่จะสู้กับลิเวอร์พูลแบบจริงๆจังๆ กล้าบุกกล้าแลกและหาโอกาสโจมตีปล่อยหมัดที่เด็ดได้หนักหน่วง สำหรับแฟนหงส์ผมว่าคงดูไปลุ้นไป เพราะนอกจากจะยิงฟอเรสต์ไม่ได้สักทีแล้ว เผินๆด้วยอิทธิฤทธิ์ของเด็กเก่าอย่าง ดิว็อค โอริกี้ กับ นิโก้ วิลเลียมส์ พวกเขาอาจจะหงายเงิบเอาได้ แมทซ์นี้มีอะไรให้น่าจดจำบ้าง เรามาคุยหลังเกมย้อนความหลังกันดีกว่าครับ! 1. วันนี้เป็นวันอะไร? ทำไมพรีเมียร์ลีกถึงเตะพร้อมกันถึง 6 คู่!?เริ่มข้อแรกมาขออนุญาตนอกเรื่องหน่อยนึงครับ เพราะผมไม่เคยเห็นเคสแบบนี้มาก่อน จะว่าทีมใหญ่มีคิวเตะบอลยุโรปอย่างงั้นเหรอ แต่ก็ไม่น่าจะจัดโปรแกรมเบียดกันแบบนี้ เพราะมันไม่เอื้อต่อการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเอาซะเลย ประกอบกับด้วยความที่ผมดูถ่ายทอดสดแมทซ์นี้ผ่านช่องต่างประเทศ ตัวช่องเขาคงอยากจะอัพเดทผลคู่อื่นแบบเรียลไทม์ไปด้วย ผลกรรมก็เลยมาตกที่ผม เพราะด้วยความที่แข่งพร้อมกันหลายคู่ และแต่ละคู่ก็ยิงประตูกันแบบถล่มทลาย (3 ประตูขึ้น) ไฮไลท์แบบเรียลไทม์ของคู่อื่นๆ ทั้งที่ยิงเข้าและยิงไม่เข้า ก็เลยถูกตัดออกอากาศแทรกทับคู่หลักที่ผมดูอยู่ หน้าจอคู่ฟอเรสต์กับลิเวอร์พูลจะถูกย่อขนาดลงเหลือนิดเดียว! ในขณะที่ไฮไลท์ของคู่อื่นจะเด้งขึ้นมาทับเกือบจะทุกๆ 5 นาที คำถามคือแล้วผมจะดูบอลคู่นี้รู้เรื่องได้ยังไงครับคุณผู้อ่าน?! อารมณ์กระโดดไปกระโดดมา! จังหวะลิเวอร์พูลจะได้เล่นลูกโต้กลับไฮไลท์จากสนามอื่นก็เด้งขึ้นมาคั่น! บอกตรงๆครับว่าเป็นอะไรที่หงุดหงิดมาก 2. สายตาเด็กหงส์น่าจะจับจ้องไปที่โอริกี้ กับ เนโก้ วิลเลียมส์ เป็นอย่างแรกด้วยความที่เป็นนักเตะเก่าลิเวอร์พูล อย่าว่าแต่คนดูเลยครับแม้แต่ตากล้องก็ยังหมุนโฟกัสเลนส์ไปที่พวกเขา รายหลังอาจจะยังไม่ค่อยเท่าไหร่เพราะช็อตเดียวในแมทซ์นี้ที่ผมจำเขาได้ ก็คือตอนที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กระโดดใช้ส่วนหนาพุ่งเขาชนเขาอย่างจังในช่วงครึ่งหลัง! เป็นการชนที่รุนแรงหนักหน่วงมาก! ขนาดดูภาพช้ายังเหมือนกันเนโก้ วิลเลียมส์ โดนรถชนก็มิปาน! น่าจะเจ็บหนักเอาการอยู่ครับ ส่วนอีกคนก็คือมหาเทพ ดิว็อค โอริกี้ ผมว่าแมทซ์นี้เขาเล่นได้เป็นประโยชน์ต่อฟอเรสต์มาก มีจังหวะแทงบอลให้อีรันก้าหลุดเดี่ยวเข้าไปล่อเป้าใส่เคลเลอร์เฮอร์ แม้มุมที่ผมดูอาจจะเหมือนล้ำหน้าอยู่หน่อยๆ แต่ในเมื่อไลน์แมนไม่ยกธงและ VAR ไม่ถูกเรียกใช้ เครดิตก็ต้องตกเป็นของนายประตูลูกหมี เคลวิน เคลเลอร์เฮอร์ไป ไม่ได้ช็อตเซฟลูกยากลูกนี้ลิเวอร์พูลอาจจะโดนขึ้นนำไปแล้ว และโอริกี้ยังใช้ความเร็วและลูกแข็งแกร่งของเขาได้อีกหลายครัง ช็อตตอกส้นส่งบอลไปยังพื้นที่ว่างก็มี ช็อตกระชากหนีโรเบิร์ตสันแล้วตะบันบอลอย่างแรงบอลพุ่งเป็นจรวดถากเสาก็มีให้เห็น เรียกได้ว่าเป็นวันที่ฟอร์มการเล่นของนักเตะเก่ารายนี้ดูดีอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกเปลี่ยนออกไปด้วยเหตุผลของแท็คติกในช่วงครึ่งหลัง 3. แม็คอลิสเตอร์เนียนกริบ นิ่ง และเป็นกุญแจสำคัญ!โดยส่วนตัวผมคิดว่ามิดฟิลด์รายนี้เริ่มจะฉายแสงออกมาให้เห็นแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ต้องถอยต่ำไปเล่นเป็นตัวรับในตำแหน่งหมายเลข 6 แทบจะตลอด พอทีมเริ่มมีตัวเจ็บและโจ โกเมสเพิ่งค้นพบตัวเองว่าตัวเองเล่นมิดฟิลด์ตัวรับได้ แม็คอลิสเตอร์เลยได้ขยับขึ้นบนมาทำเกม ในแมทซ์นี้เขาออกบอลจังหวะสำคัญได้แทบจะตลอด ผมมองไม่เห็นบอลที่จ่ายเสียจากตัวเขาเลย และในโมเมนต์หนึ่ง ผมกลับเห็นว่านักเตะรายนี้ช่างเหมือนกับ "ธิอาโก้ อาคันทาร่า" ซะเหลือเกิน! แต่เป็นเวอร์ชั่นที่หนุ่มกว่าและไม่เจ็บออดๆแอดๆ ลองคิดดูสิครับว่าจะมีสักกี่คนที่กลับตัวตวัดบอล แล้วยกบอลข้ามหัวกองหลังในวินาทีสุดท้ายไปลงหัวดาวิน นูนเญซได้พอดีเป๊ะขนาดนั้น มันต้องเป็นคนที่มีสกิลระดับโลก แม็คอลิสเตอร์ทำสิ่งนี้ได้เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แถมยังตวัดบอลยกข้ามหัวให้เพื่อนแบบนี้ได้เกือบจะตลอดทั้งเกม สำหรับผมเขาคือ man of the match ของเกมนี้ครับ ถึงใครต่อใครจะให้นูนเญซ ที่ยิงประตูสำคัญได้ก็เถอะ 4. การยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ดูจะไม่ขลังเหมือนเดิม!หัวข้อนี้คุณผู้อ่านหลายคนน่าจะคิดต่างจากผม แต่ผมขออนุญาตคิดแบบนี้ครับ ว่าด้วยความที่ฟุตบอลในปัจจุบันเนี่ยมันมี VAR เข้ามาเกี่ยวข้อง จากแต่ก่อนทดเวลาบาดเจ็บคือ 3 - 5 นาที 3 นาทีคือทั่วไป ส่วน 5 นาทีนี่คือเยอะมากๆแล้ว! ไอ้ครั้นจะลามไปถึง 7 นาทีหรือ 10 นาที นี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย! การยิงประตูได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจึงเป็นอะไรที่ทรงพลังควรค่าแกการกรีดร้องดีใจมาก เราจึงมักได้ยินคำว่า "นาทีบาป" , "เฟอร์กี้ไทม์" ฯลฯ ซึ่งมันก็ดูเท่ห์และดูขลังแบบนั้นจริงๆ แต่ทว่าในฟุตบอลยุคปัจจุบันการทดเจ็บหลัก 10 นาทีนี่คือเบสิคมาก! การยิงได้ในช่วงทดเจ็บก็เกิดขึ้นได้กับทุกทีมและทุกสัปดาห์เพราะตัวเนื้อเวลามันเยอะ คุณผู้อ่านลองคิดดูนะครับว่าผู้เล่นฝ่ายรับเขาจะโหลดร่างกายขนาดไหน , กล้ามเนื้อที่อ่อนล้ามาตลอด 90 นาที , ดวงตาที่ถูกใช้งานจนการกะระยะกอาจจะผิดพลาด , การสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม , ระบบการหายใจ ฝ่ายรับมันเหนื่อยกว่าฝ่ายรุกมากนะครับ เพราะฉะนั้นการยิงได้ในช่วงทดเจ็บสำหรับผมเลยไม่ใช่เรื่องที่น่า "ว้าว!" เหมือนแต่ก่อน กลับกันผมกลับอยากจะตำหนิทีมรุก ว่าทำไมถึงไม่รีบยิงประตูตุนไว้แต่เนิ่นๆ ถ้าตัวรุกทำงานได้เฉียบคมอะไรๆก็จะไม่ยากแบบนี้ สรุปสุดท้าย ลิเวอร์พูลก็เป็นฝ่ายเฉือนหวิวเอาชนะทีมเจ้าป่าน็อตติงแฮมฟอเรสต์ไปได้ ดูทรงแล้วพอเอาเข้าจริงและเมื่อต้องสู้กับทีมในพรีเมียร์ลีกจริงๆ การใช้เด็กและผู้เล่นดาวรุ่งก็ยังดูไม่ค่อยจะเวิร์ค คำว่า "กระดูกคนละเบอร์" น่าจะเป็นของแท้ เพราะแมทซ์นี้ผมว่าที่ลิเวอร์พูลกลับมาได้ ก็เพราะคุณภาพของผู้เล่นตัวจริงที่ถูกทยอยเปลี่ยนลงไปมากกว่า ณ ตอนนี้ผมว่าลิเวอร์พูลก็พอๆกับแมนซิตี้ คือเป็นทีมที่ไม่น่าจะแพ้ใครในเกาะอังกฤษได้หรอก แต่ถ้าเอาแค่ "เสมอ" ล่ะก็.. ก็พอจะเป็นไปได้อยู่ เสมอติดกันสัก 2 แมทซ์ แค่นี้ก็มากพอที่จะยกแชมป์ให้อีกทีมแล้วนะครับ! เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก 1 จาก FB : Liverpool FC ภาพหน้าปก 2 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 1 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 2 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 3 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 4 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 5 จาก FB : Liverpool FC