ชนะอีกแล้วโว้ยยยย!!! เฮ้อออ เราไปติดเก่งซะแล้วไงลิเวอร์พูล ทีนี้ก็ว้าวุ่นกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆๆๆ พอหอมปากหอมคอแล้วกันเนอะครับ นานๆ ทีจะได้กลับมารู้สึกสดชื่นกับผลการแข่งขันและผลงานโดยรวมของทีม แถมยิ่งผลงานของ "ไอ้เพื่อนรัก" อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ยังบู่ต่อเนื่อง ยังไม่กลับฝั่งเลย คราวนี้ก็ยิ่งแฮปปี้กันไปใหญ่เลยเหล่าเดอะ ค็อป กลับมาโฟกัสที่ลิเวอร์พูลกันดีกว่า ชัยชนะ 4 นัดติดต่อกันของหงส์แดงทำให้ ณ ตอนนี้รั้งอันดับ 3 ของตาราง มีคะแนนเท่ากับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์สที่ 13 คะแนน ผลต่างประตูได้เสียก็เท่ากันและตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมจ่าฝูงอยู่ 2 คะแนน และเพื่อเป็นการฉลองที่ทีมรักกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง ผมจึงได้เขียนบทความนี้มา เป็นการวิเคราะห์เหตุใดผลใดบ้างที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นผู้เป็นคน กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง จะมีเหตุผลอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับในบทความที่มีชื่อว่า "Liverpool Home Coming (5 เหตุผลพาลิเวอร์พูลกลับเข้าฝั่ง)"1. ความสดใหม่ของแดนกลางก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนว่าในตลอดระยะเวลา 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา กองกลางเซ็ตที่ประกอบไปด้วย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, อดัม ลัลลานา, เจมส์ มิลเนอร์, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิตา, ฟาบินโญและติอาโก อัลคันทารา นั้นล้วนแล้วแต่เป็นกำลังสำคัญที่นำพาความสำเร็จมาสู่สโมสรทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่แชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก, พรีเมียร์ลีก, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, สโมสรโลก, คาราบาว คัพและเอฟเอ คัพ ผมจะไม่แบ่งแยกว่าใครสำคัญกว่าใคร ใครสำคัญที่สุด ใครมาก่อนมาหลัง เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่มีความสำคัญกันทั้งนั้น แต่ต้องยอมรับว่า "งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา" ลัลลานาคือคนแรกที่จากทีมไปหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2019/2020 หลังจากที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ คนต่อมาก็คือไวจ์นัลดุมที่หมดสัญญาหลังจบฤดูกาล 2020/2021 และในฤดูกาลล่าสุดก็คือการ "รีโนเวท" กองกลางครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะกองกลางที่เหลืออีก 5 คนนั้นอำลาทีมไปทั้งเซ็ตเลย เหลือเพียงติอาโกคนเดียวที่ยังอยู่กับทีม เป็นซีเนียร์คนเดียวที่หลงเหลือในบรรดากองกลางทั้งหมด ผมขอบคุณมากๆ เลยที่พวกเขาทั้ง 8 คนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์มาทุกแชมป์ แต่อย่างที่บอกครับว่างานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกลา สังขารมนุษย์ก็เช่นกันย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา พวกเขาใช้ร่างการมาอย่างหนักหน่วง หนักจนในฤดูกาลที่แล้วมันส่งผลถึงฟอร์มของทีมเลย กองกลางอ่อนปวกเปียกไปหมด สุดท้ายแล้วเยอร์เกน คล็อปป์ก็จัดการโละยกแผงเลยและในเมื่อปล่อยไปเกือบยกแผงก็ต้องย่อมมีใหม่เข้ามาถึงจะมาแบบมีเสียงวิจารณ์ค่อนข้างเยอะว่ากว่าจะลงตัวก็ต้องรอถึงวันสุดท้ายของตลาด แต่สุดท้ายก็ได้มาครับ เป็นกองกลางใหม่ทั้ง 4 คนเลย ได้แก่ อเล็กซิส แมคอัลลิสเตอร์, โดมินิก โซโบซไล, วาตารุ เอนโด และไรอัน กราเฟนแบร์ค โดย 4 คนนี้คือนักเตะที่เป็นการเสริมทัพทั้งหมดในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมานี้ เสียดายเพียงไม่มีกองหลังเข้ามาเพิ่มเติม แต่ก็เข้าใจได้ว่าซ่อมไปทีละจุด ฤดูกาลที่แล้วซ่อมแนวรุกไปแล้ว ฤดูกาลนี้ซ่อมกองกลาง ปีหน้าหวังว่าจะซ่อมและเติมกองหลังนะที่ผมยกให้เป็นเหตุผลแรกที่ลิเวอร์พูลกลับมาฟอร์มดีก็เพราะว่ามันเด่นชัดที่สุดเลย ผลงานมันประจักษ์กับสายตามากๆ โดยเฉพาะกองกลาง 2 คนแรกที่ได้มาอย่างแมคอัลลิสเตอร์และโซโบซไล 2 คนนี้ค่าตัวรวมกันเพียง 112 ล้านยูโร แต่ประสิทธิภาพที่ได้กลับมานั้นมันสุดยอดมากๆ มันคือสิ่งที่ขาดหายไปในช่วงหลังของลิเวอร์พูล คนที่จ่ายบอลได้อย่างแม่นยำ รับก็ได้รุกก็ดี พลิกบอลครองบอลได้อย่างดีเยี่ยมอย่างของแมคอัลลิสเตอร์ ส่วนโซโบก็เหมือนเป็นเฮนโด้สมัยที่ยังพีคๆ วิ่งขึ้นวิ่งลง พลังงานเหลือล้น เพิ่มเติมคือเป็นเฮนโด้เวอร์ชั่นที่เล่นเกมรุกได้สนุกมาก แถมยังมีทีเด็ดในลูกยิงไกลอย่างที่ได้เห็นในเกมที่ชนะแอสตัน วิลลา หรืออย่างเกมที่พลิกกลับมาชนะวูล์ฟแฮมป์ตันได้ 1-3 ก็โดนจับไปเล่นในตำแหน่งของแมคอัลลิสเตอร์หรือกองกลางเบอร์ 6 แต่ก็ยังสามารถทำผลงานได้ดี ค่าตัว 70 ล้านยูโรนั้นดูคุ้มค่าสุดๆ ไปเลย ส่วนเอนโดนั้นถึงอาจจะยังไม่ได้มีบทบาทเยอะเท่าสองคนแรกแต่ผมเชื่อว่ายังไงก็มีส่วนกับทีมแน่ๆ เพราะตอนนี้เขาคือกองกลางตัวรับซีเนียร์คนเดียวของทีม เพราะสเตฟาน บายเซติชก็น่าจะยังไม่ฟิตเต็มถังเท่าไหร่ ยังไงก็น่าจะได้ลงแน่ๆ แต่เอนโดน่าจะคล้ายๆ กับฟาบินโญที่จะค่อยๆ ได้ลง ให้เวลาปรับตัวหน่อย หรือไม่เขาก็อาจจะเป็นแบ็คอัพชั้นดีเลยของน้องบาย เพราะเขาถูกเซ็นเข้ามาในฐานะซีเนียร์ของทีม น่าจะช่วยประคับประคองน้องๆ ได้เหมือนกัน สุดท้ายกราเฟนแบร์คที่เซ็นมาวันสุดท้ายเลย พูดถึงไม่ได้มากเพราะเพิ่งได้ลงไปในเกมล่าสุดไม่กี่นาทีซึ่งเป็นการลงเล่นเกมแรกด้วย ยังไม่มีอะไรให้พูดถึงเท่าไหร่นี่แหละครับคือเหตุผลข้อแรกที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง ข้อนี้อาจจะยาวหน่อยแต่เพราะว่ามันสำคัญมากๆ ผมเลยยกให้เป็นเหตุผลหลักข้อใหญ่เลย ความสดใหม่ของกองกลาง พลังงานล้นเหลือที่มันห่างหายไปนานทำให้อะไรๆ มันก็ดีไปหมด ตอนนี้กองกลางที่ผมอยากเห็นก็คือ โซโบ-เอนโด/บายเซติช-แมคก้า ผมอยากให้มีกลางรับธรรมชาติยืนปักหลักมากกว่าให้แมคอัลลิสเตอร์ไปยืนต่ำ อยากให้เจ้าตัวมีส่วนกับเกมรุกเยอะๆ แต่ก็เคารพในการจัดตัวของคล็อปป์และทีมงานนะ2. พ่อหมีอลิซอน เบคเกอร์ เดอะแบก เดอะเซฟแต้ม เดอะผมยุ่งผมก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันนะว่าถ้าตอนนี้ลิเวอร์พูลไม่ได้มีผู้รักษาประตูที่มีชื่อว่า "อลิซอน เบคเกอร์" ตอนนี้ทีมจะอยู่ในสภาพไหน ผลงานทีมจะเป็นอย่างไร เพราะในช่วงที่ผ่านมาถึงเกมรุกจะยิงยังไงก็ตาม เกมรับก็มีความพร้อมเสมอ ไม่ได้พร้อมที่จะป้องกันเกมรุกนะ แต่พร้อมที่จะทำเสียประตูตลอด แต่ก็เพราะมีอลิซอนนี่แหละที่ช่วยชีวิตและเซฟแต้มมานักต่อนักแล้ว หลายต่อหลายครั้งที่คู่ต่อสู่หลุดกับดักล้ำหน้าของกองหลังมาดวล 1 ต่อ 1 ก็เป็นอลิซอนนี่แหละที่ช่วยเซฟได้ตลอด ผมกล้าพูดเลยว่านี่คือผู้รักษาประตูที่กินยากที่สุดในโลกเวลาดวล 1 ต่อ 1 ณ ตอนนี้ พ่อหมีคือ "No.1" ในเรื่องดวลตัวต่อตัวในตอนนี้เลย กินยากมากๆ ในเวลาที่ต้องดวลเดี่ยวกัน ความจริงจะบอกอลิซอนเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาฟอร์มดีก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเขาก็คอยช่วยเหลือทีม เซฟแต้มให้ทีมมาตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการมีอยู่ของพ่อหมีนั้นมันช่วยให้ทีมรอดตายมาหลายครั้ง คิดดูว่าถ้าไม่มีการเซฟของอลิซอนแล้วทีมแพ้ ทำแต้มหล่นเรื่อยๆ โมเมนตัมทีมก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบก็ได้ ฟอร์มก็อาจจะบู่อีกต่อเนื่องก็ได้นอกจากเรื่องเซฟประตูแล้วการเปิดบอล การผ่านบอลก็เชื่อขนมกินได้เลยว่ามีความแม่นยำแน่นอน อาจจะมีเสียวๆ เวลาเจอคู่แข่งวิ่งเข้ามาบีบก็เถอะ แต่ถ้าบอลออกจากเท้าแล้วมีความแม่นยำสุดๆ โกลคนล่าสุดของทีมที่ค่อนข้างครบเครื่องขนาดนี้คนล่าสุดคงต้องย้อนไปสมัยที่เปเป เรนายังอยู่กับทีมเลยอะสำหรับผม แต่ต้องเป็นช่วงที่ย้ายมาแรกๆ นะ ช่วงหลังเหวอเยอะเหมือนกันพี่เหม่งของเรา อลิซอนเหมือนเป็นเรนาเวอร์ชันอัพเกรดขึ้นมา จังหวะเซฟ จังหวะเปิดบอลดีเหมือนกัน แต่ก็เหมือนเดิมครับ การดวลตัวต่อตัวกินขาดและสิ่งที่ยืนยันได้ถึงความสุดยอดของพ่อหมีก็คือการคว้ารางวัลเซฟยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยเป็นจังหวะในเกมที่พบกับนิวคาสเซิล เป็นการเซฟลูกยิงของมิเกล อัลมิรอนที่วอลเลย์จ่อๆ ในกรอบเขตโทษที่สามารถเซฟได้แล้วไม่พอ บอลเด้งไปชนคานก็ยังมีปฏิกิริยาที่เร็วพอจะลุกขึ้นมาปัดลูกบอลที่กระเด้งลงมาออกหลังไปได้อีก ผมเชื่อว่าถ้าลูกนี้กลายเป็น 2-0 เกมนั้นก็คงไม่สามารถกลับมาชนะได้แน่นอนแต่ยังไงก็เถอะ ขออลิซอนอย่างเดียวคืออย่าแต่งหล่อเซ็ตผมลงสนาม เพราะเซ็ตผมทีไรต้องมีลูกเหวอตลอด ต้องผมยุ่งๆ กระเซอะกระเซิง ไม่เซ็ตผม ตอนนี้ดีหน่อยที่ตัดผมสั้นแล้ว ไม่ต้องเซ็ตผมไปอีกซักพัก 555555555555555555553. ดาร์วิน นูนเญซ เริ่มเข้าที่เข้าทางด้วยค่าตัวระดับ 80 ล้านยูโรมันจึงไม่แปลกเลยที่ดาร์วิน นูนเญซจะโดนตั้งความหวังสูงแล้วยิ่งมีเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์มาเป็นตัวเปรียบเทียบในฤดูกาลที่แล้วด้วย ยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่ ไหนจะเรื่องภาษาอีก สปีคอิงลิชไม่ได้เลยตอนที่มาในช่วงแรก มีเรื่องควบคุมอารมณ์อีก ฟอร์มกำลังดีก็เจอเบรคจากใบแดงบ้าง บอลโลกบ้าง อาการบาดเจ็บบ้าง สารพัดปัญหาถาโถม แต่ถ้าดูผลงานโดยรวมแล้วก็ไม่แย่เลย 42 เกม ยิง 15 แอสซิสต์ 4 แต่อย่างที่บอกแหละครับค่าตัวระดับนั้น คนก็ต้องคาดหวังเยอะกว่านั้น แต่สำหรับผมแล้วก็ไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่พอมาฤดูกาลนี้ดูเหมือนว่าน้องหนูนนั้นดูดีขึ้นพอสมควร ภาษาอังกฤษก็ดูดี แข็งแรงขึ้น แพสชันต่อทีมก็ยังแรงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเหมือนโดนจับมาเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า กองหน้าตัวกลางที่ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งที่ถนัดมากกว่ากองหน้าริมเส้นฝั่งซ้ายเหมือนตอนที่โดนจับไปเล่นในฤดูกาลที่แล้วที่ดูแล้วเหมือนไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัดซักเท่าไหร่ โดยตอนนี้นูนเญซลงสนามในฤดูกาลใหม่ไปแล้ว 5 เกม ยิงได้ 2 ประตูแถมอีกหนึ่งแอสซิสต์ โดยสองประตูมาจากเกมที่พลิกนรกชนะนิวคาสเซิลที่บอกได้เลยว่าคมสุดๆ คมเหมือนพกใบมีดลงสนามไปด้วย ส่วนแอสซิสต์นั้นก็มาจากในเกมที่โหม่งต่อให้โม ซาลาห์ยิงในเกมที่เปิดแอนฟิลด์ชนะแอสตัน วิลลา 3-0หรือว่านี่จะเป็นปกติของนูนเญซที่ฤดูกาลแรกนั้นฟอร์มยังไม่เข้าที่ แต่พอฤดูกาลที่สองนั้นจะฟอร์มดีจนถึงขั้นระเบิดฟอร์มเลย เหมือนที่ได้เห็นสมัยที่เล่นกับอัลเมเรียในสเปนและเบนฟิกาในโปรตุเกส ส่วนตัวผมยังเชื่อมั่นใจตัวเขานะว่าจะเก่งได้กว่านี้ สังเกตได้จากสิ่งแรกคือภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น สื่อสารได้ดีขึ้น อาจจะไม่ได้แข็งแรงแต่ก็สื่อสารดีขึ้นจริงๆ ต่อมาก็คือได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัด ได้เล่นกองหน้าตัวเป้าแล้วดีขึ้นกว่าตอนเล่นริมเส้น สุดท้ายคือความมั่นใจในการตะบันยิง ฤดูกาลที่แล้วเหมือนคนที่ไม่มั่นใจในการยิงประตู ยิงหลุดกรอบเป็นว่าเล่น หมูหกไปเยอะ แต่ในฤดูกาลนี้ดูได้จากเกมที่ยิงใส่นิวคาสเซิล โอกาสยิงประตูสองครั้ง สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้หมดเลย คมกว่านี้ไม่มีแล้ว เหมือนได้เห็นนูนเญซตอนที่อยู่เบนฟิกาแล้วมายิงลิเวอร์พูลในเกม UCL ร่างนั้นเลย ลิงก์กับข้อ 2 ที่เรื่องการดวลตัวต่อตัวของอลิซอนที่หาตัวยิงผ่านได้ยาก แต่นูนเญซคือหนึ่งคนที่สามารถยิงผ่านอลิซอนไปได้อีกปัจจัยนึงที่ทำให้เจ้าตัวทำผลงานได้ดีก็คือการเล่นโซเชียลน้อยลง เลิกอ่านคอมเมนท์ต่างๆ โลกโซเชียลซึ่งเรื่องนี้นูนเญซให้สัมภาษณ์เองเลยว่าเขานั้นเลิกอ่านคอมเมนท์ในโซเชียลมีเดีย เพื่อลดความกดดันตัวเองแถมยังทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นด้วย และยังหันมาโฟกัสแค่ความเห็นของคล็อปป์แค่นั้น ผมหวังว่าในฤดูกาลนี้นูนเญซจะสามารถทำผลงานได้ดีขึ้นและที่สำคัญคือเลิกกดดันตัวเองเถอะ ผมมั่นใจว่าเขามีศักยภาพพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคนที่แฟนๆ สามารถฝากความหวังของเขาได้ในอนาคตในยามที่ทีมไม่มีโม ซาลาห์แล้วหรือถ้าบ้าๆ เลย สายมูเลย ฟอร์มไม่ได้เป็นแบบที่หวังในฤดูกาลที่แล้วเป็นเพราะสวมเสื้อหมายเลข 27 ซึ่งเป็นเบอร์เดียวกับ "เทพกี้" ดิว็อก โอริกี ในช่วงที่เทพกี้อยู่กับทีม อาจจะเพราะเบอร์นี้ต้องโอริกีคนเดียวเท่านั้นที่ใส่แล้วจะดี คนธรรมดาใส่แล้วไม่ปัง พอหนูนเปลี่ยนมาใส่เบอร์ 9 แล้วฟอร์มดีเลย ตลก ขำๆ ไปละกันนะครับ4. Squad Depth มีให้ใช้หลากหลายมากขึ้นนี่แหละครับคือประโยชน์ของการมี Squad Depth หรือคุณภาพผู้เล่นในเชิงลึกที่ดี กล่าวคือคุณสามารถเลือกใช้นักเตะได้อย่างสบายใจ ใครลงมาก็สามารถช่วยเหลือทีมได้ในสไตล์ที่แตกต่างกันไปหรือสามารถทำได้ตามแทคติกที่โค้ชต้องการ ถ้าอยากเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือแมนซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอลาครับ โอเคแหละ เขาเป็นทีมเงินถุงเงินถังสามารถซื้อผู้เล่นคุณภาพได้เรื่อยๆ แต่บางคนคนที่เป๊ปเลือกมาก็ไม่ได้เป็นคนที่มีค่าตัวแพงเสมอไป เช่น เซอร์คิโอ โกเมซที่ซื้อมาจากอันเดอร์เลชเพียง 15 ล้านยูโร หรือมานูเอล อาคานจีก็ซื้อมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์เพียง 30 ล้านยูโร (รวมแอดออน) หรือจะเป็นการให้โอกาสดาวรุ่งอย่างฟิล โฟเดน, ริโก ลูอิส หรือคนที่เพิ่งย้ายออกไปอย่างโคล พาลเมอร์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเยาวชนของสโมสรที่เป๊ปดันขึ้นชุดใหญ่ ไม่เสียเงินซักเพนนีนั่นคือตัวอย่างของการมีคุณภาพผู้เล่นเชิงลึกที่ดีที่สามารถทดแทนกันได้ และตอนนี้ลิเวอร์พูลก็กำลังเริ่มดีขึ้นในจุดนั้น เริ่มกันที่เกมรักจากผู้รักษาประตูกันก่อน อลิซอนนั้นยืนหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนมือ 2 ก็มีน้องลูกหมีอย่างควิวีน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูชาวฟินแลนด์ที่ไม่ได้เห็นผู้รักษาประตูมือ 2 ของลิเวอร์พูลที่สามารถไว้ใจได้มานานแล้ว ตอนที่มีซิมน มิโยเลต์หรือลอริส คาริอุสนั้นก็ไม่ได้ไว้ใจได้เท่ากับเคลเลเฮอร์ ถ้าใครยังจำกันได้ในฤดูกาล 2021/2022 เป็นฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลนั้นมีลุ้นถึง 4 แชมป์ยันช่วงท้ายซีซั่น เคลเลเฮอร์นั้นได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในเกมฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ เขาคือฮีโร่ที่ทำให้ทีมสามารถคว้าแชมป์คาราบาว คัพเขาเป็นคนที่เซฟจุดโทษในเกมที่ต้องชนะเลสเตอร์ ซิตีที่ต้องดวลกันถึงฎีกาก่อนจะกรุยทางเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศและได้ลงเล่นในเกมนัดชิงด้วย ต่อกันที่แผงหลัง จุดนี้น่าจะเป็นที่ Squad Depth ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าจุดอื่น เริ่มที่แบ็คขวาที่มีเพียงเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์เพียงคนเดียวที่สามารถไว้ใจได้ ส่วนดาวรุ่งคนอื่นไม่เจ็บก็ปล่อยยืม โยกโจ โกเมซมาก็ผีเข้าผีออก เล่นไม่ได้ดีเท่ากับเทรนท์ แบ็คซ้ายโอเคขึ้นมาหน่อย พอถูไถแต่คอสตาส ซิมิคาสนั้นก็ไม่ได้เล่นในระดับที่แอนดรูว โรเบิร์ตสันนั้นทำไว้ได้ แต่ถือว่าไม่ขี้เหร่เลย ส่วนเซนเตอร์แบคนั้นก็พออิบราฮิมา โกนาเตและเวอร์จิล ฟาน ไดจ์คนั้นไม่ได้ลงพร้อมก็ต้องมาลุ้นว่าจะเป็น "โจ" ไหน ระหว่างโจ โกเมซหรือโจเอล มาติป คนนึงฟอร์มผีเข้าผีออก อีกคนก็โรยราแล้วแถมเจ็บบ่อย แต่อย่างน้อย ณ ตอนนี้ก็ยังมีร่างทรงของฟาน ไดจ์คอย่าง "น้องขวัญซ่า" จาเรลล์ ควอนซาห์ กองหลังจากอคาเดมีขึ้นมาซึ่งได้ลงสนามเป็นตัวจริงเกมแรกในเกมล่าสุดด้วย ทรงดีมาก เหมือนเห็นฟาน ไดจ์คตอนเป็นเด็กเลย รูปร่างคล้ายกันมาก หวังว่าจะทีมจะปั้นน้องให้ถูกที่ถูกทางนะมาถึงแดนกลางและแนวรุก กองกลางที่ถ่ายเลือดเกือบยกเซ็ตนั้นถือว่าดูดีเลย กลางรับมีทั้งเอนโดและบายเซติช ขยับขึ้นมาก็มีให้จับจ่ายใช้สอยเยอะมาก แมคอัลลิสเตอร์, โซโบ, กราเฟนแบร์ค, เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ นอกจากนี้ยังมีติอาโก อัลคันทาราที่รอกลับมาจากอาการบาดเจ็บอีก แต่ปกติแล้วคล็อปป์จะใช้กองกลางในการหมุนเวียนตำแหน่งอยู่แล้ว บางเกมก็ถอยแมคก้าไปเล่นกลางรับ เกมล่าสุดตอนเปลี่ยนแมคก้าออกก็ถอยโซโบไปเล่นแทน แสดงให้เห็นว่ากองกลางของลิเวอ์พูลนั้นมีฟังก์ชันในการใช้งานที่ยืดหยุ่น สามารถเล่นในตำแหน่งที่คล็อปป์และทีมงานต้องการ กองกลางสบายใจเช่นเดียวกับแนวรุกเลยครับ มีให้ใช้เยอะเหมือนกันไล่ตั้งแต่ซาลาห์ที่ยืนหนึ่งอยู่แล้ว โคดี กัคโป, หลุยส์ ดิอาซ, ดิโอโก โจตา, นูนเญซ นอกจากนี้ก็ยังมีเบน โด๊คที่รอปั้นอีก ถ้าตัดซาลาห์ที่จองสัมปทานฝั่งขวา ไม่มีใครมาสู้ด้วยแล้ว หน้าเป้ากับฝั่งซ้ายนั้นก็มีการแข่งขันกันสูงมาก แถมทั้ง 4 คนที่ไม่รวมกับน้องโดคแล้วนั้นก็สามารถเล่นได้หมด ทั้งดิอาซ, โจตา, กัคโปและนูนเญซนั้นสามารถทดแทนกันได้หมดเลย หมุนเวียนในการเล่นทั้งหน้าเป้าหรือปีกซ้ายได้ทั้งสิ้น ยืดหยุ่นพอๆ กับกองกลางเลยการมีคุณภาพของตัวสำรองที่ดีขนาดนี้มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงฤดูกาล 2018/2019 - 2019/2020 ในช่วงที่ได้แชมป์ UCL และต่อด้วยพรีเมียร์ลีกในช่วงนั้นคุณภาพตัวสำรองทดแทนตัวจริงได้อยู่ในระดับที่โอเคเลย กองหลังนอกจากฟาน ไดจ์คและโกเมซแล้วก็ยังมีเดยัน ลอฟเรนและมาติปที่ทดแทนอยู่ กองกลางก็ยังมีมิลเนอร์, ลัลลานา, อ็อกซ์เลด และเกอิตา หรือแม้กระทั่งถอยเซอร์ดาน ชากิรีลงมาเล่นก็ทำได้ กองหน้าก็ยังมีดิว็อก โอริกีและชากิรีคอยทดแทนอยู่ มันทำให้ผมตกผลึกได้ว่าไม่ใช่เพียงตัวจริงเท่านั้นที่จะพาทีมประสบความสำเร็จ ตัวสำรองและผู้เล่นคนอื่นๆ ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน5. โม ซาลาห์ในร่างใหม่มาถึงข้อสุดท้าย ต้องเก็บไว้มาปิดท้ายจริงๆ กับ "คิงโม ซาลาห์" ภาพที่เราเคยเห็นว่าโม ซาลาห์นั้นชอบยิง บ้ายิง บ้าเลี้ยง มุ่งแต่จะยิง ตอนนี้มันแทบจะหายไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นคนสร้างสรรค์เกมไปแทบจะเต็มตัวแล้ว ณ ตอนนี้เขาคือเจ้าของสถิตินักเตะแอฟริกันที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกแล้วที่ 68 แอสซิสต์ แบ่งเป็นทำตอนอยู่กับเชลซี 2 แอสซิสต์และที่เหลือ 66 แอสซิสต์คือทำตอนเป็นคิงโมที่ลิเวอร์พูล นอกจากนี้เขามีส่วนร่วมกับประตู (ไม่ยิงก็แอสซิสต์) ไปแล้ว 11 เกมติดต่อกัน และสุดยอดขึ้นไปอีกเขามีส่วนร่วมกับการทำประตูในลีกรวมกันแล้ว 200 ประตู รวมสถิติที่เขาลงเล่นให้ลิเวอร์พูลแล้ว ลงเล่น 310 เกม ยิง 188 ประตูและ 78 แอสซิสต์ หนึ่งในการซื้อตัวที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสรเลยบอกตรงๆ ว่าผมรักโมในร่างนี้มากๆ ร่างที่ไม่บ้ายิง ไม่ฝืนจะยิงเอง เขาปรับและกลายร่างมาเป็นคนที่ถ้าหากเห็นเพื่อนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าก็จะจ่ายให้เพื่อนลุ้นทำประตู นอกจากนี้เขาก็ยังมีเซนส์และสกิลการจ่ายบอลที่สุดยอดมากๆ อย่างเช่นในจังหวะที่แอสซิสต์ให้นูนเญซหลุดเข้าไปยิงประตูชัยในเกมที่ชนะนิวคาสเซิลนั่นก็เป็นการจ่ายแบบคิลเลอร์พาส ทั้งน้ำหนักและทิศทางเหมือนชั่งมาก่อนแข่งเลย มันพอดีไม่ขาดไม่เกินเลย บอกตรงๆ ว่าเมื่อก่อนผมหงุดหงิดกับซาลาห์หลายๆ ครั้งมาก เขาชอบฝืนเลี้ยงไปเอง ฝืนยิงเอง ทั้งๆ ที่เพื่อนอยู่ในตำแหน่งและพื้นที่ที่ดีกว่าแต่เขาก็เลือกที่จะเก็บบอลและเลือกที่จะเล่นเอง แต่ตอนนี้เขาปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของตัวเอง เขาไม่ได้เลี้ยงเยอะเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้ยิงเยอะเหมือนเมื่อก่อนแต่เขายังมีพิษสงและอันตรายขู่คู่แข่งได้อยู่เสมอ สปีดความเร็วอาจจะตกลงไปตามอายุแต่ความอันตรายยังอยู่เสมอ เพิ่มเติมคือใช้เท้าขวา เท้าข้างที่ไม่ถนัดดีขึ้น นอกจากนี้ความอันตรายของเขาอีกอย่างนึงของโมก็คือเซนส์บอลของเขานั้นอยู่ในระดับสูง สูงมากๆ สถิติของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจนมากๆ แล้วว่าถึงเขาจะไม่ยิงแต่เขาก็ยังสามารถจ่ายให้เพื่อนทำประตูได้นะ แต่อย่าเผลอ อย่าคิดว่าเขาไม่ยิงก็แล้วกัน ถ้าคุณเผลอคุณก็อาจจะโดนโมส่งลูกบอลไปกองที่ก้นตาข่ายก็ได้ผมเป็นกังวลอยู่อย่างเดียวตอนนี้คือใครจะเป็น "ตัวแทน" ของซาลาห์ในวันที่เขาอำลาทีมไป หายไประยะสั้นไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2024 ต้องไปเล่นแอฟริกัน คัพ ออฟ เนชัน) แต่ถ้าหากวันนึงโมต้องย้ายออกไปแล้วทีมจะทำยังไง สำคัญที่สุดในเรื่องของเกมรุก สถิติมันชัดเจนมากๆ ว่าเขานั้นสำคัญแค่ไหน แบกเกมรุกของทีมแค่ไหน ต้องรอดูว่าในฤดูกาลหน้าแก๊งจากซาอุดิ โปรลีกจะบ้าคลั่งในการไล่ล่าตัวซาลาห์แค่ไหน ซึ่งถาโถมมาแห่ขันหมากสู่ขอกันเต็มแน่ซึ่งตอนนั้นโมก็เหลือสัญญาเพียงปีเดียวแล้ว มีโอกาสที่จะขายออกไปและเอาเงินเข้ามาสูงมากแน่ๆ หวังว่าถึงตอนนั้นคล็อปป์และทีมงานจะสามารถมีแผนรองรับปัญหานี้ได้นะและนี่ก็คือ 5 ปัจจัยที่ส่งให้ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง หลังจากที่ฤดูกาลที่แล้วชอกช้ำกันทั้งฤดูกาล ตอนนี้มันช่างดูดีและสดใสมากจริงๆ แต่นี่ยังเพิ่งเริ่มต้นครับ เชื่อว่าระหว่างมันจะต้องมีขรุขระแน่นอน มีปัญหาให้ปวดหัวอีกแน่ๆ หลักๆ คือต้นปี 2024 จะเสียทั้งซาลาห์และเอนโดในการรับใช้ทีมชาติแน่นอน (แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชันและเอเชียน คัพตามลำดับ) ถึงตอนนั้นภาวนาให้เยอร์เกน คล็อปป์และทีมงานหาทางออกและพาหงส์แดงตัวนี้บินได้ยังสง่างามอยู่เช่นเดิมนะ เอาใจช่วยเสมอ สู้ไปด้วยกันครับเหล่า The KopขอบคุณภาพประกอบจากOfficial Facebook ของ Liverpool FC ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1 และ 9, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6, ภาพประกอบ7, ภาพประกอบ 8, ภาพประกอบ 10 และภาพประกอบ 11 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !