ผมเป็นคนดูบอลแบบไม่สนสถิติครับ ผมว่าตัวเลขมันจุกจิกปวดกบาล แต่จะชอบใช้การนึกๆเอาแทน และกับกรณีนี้ที่ลิเวอร์พูลต้องโคจรมาพบกับไบรท์ตัน สมองก้อนเท่าฟองน้ำล้างจานของผมก็ process ออกมาได้ว่า ระยะหลังๆลิเวอร์พูลไม่เคยเอาชนะไบรท์ตันได้เลย หนักสุดก็ถึงกับแพ้แบบขาดลอยเลยก็มี ย้อนกลับไปหลายปีก่อนเมื่อพูดถึงไบรท์ตัน ทุกคนน่าจะคิดถึงทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา หรือไม่ก็ทีมในกลุ่มตกชั้นที่พร้อมจะสู้เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด ทีมในโหมดนี้คือหมูในอวยที่ทีมใหญ่เจอเมื่อไหร่ก็ได้แต่ลูบปาก แต้มจะไหลมาเทมาเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำตกที่ยกซดเมื่อไหร่ก็คล่องคอ แต่ทว่าไม่ใช่กับไบรท์ตันในปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว ทีมในเสื้อสีขาวสลับฟ้ามีนกนางนวลเป็นสัญลักษณ์ คือของแสลงของทีมหงส์แดงอย่างแท้จริง ลืมเรื่องชื่อชั้นของนักเตะไปก่อน ราคาค่าตัวก็เทียบมูลค่ากันไม่ได้ แต่จุดแข็งของพวกเขากลับเป็นสิ่งเดียวกันกับจุดอ่อนของลิเวอร์พูลนี่สิ! แมทซ์นี้จึงต้องมีอะไรให้พูดถึงอยู่สักหน่อย มาครับ! เรามาคุยหลังเกมกันดีกว่า! 1. ไบรท์ตันไม่เล่นเกมรับกับลิเวอร์พูล เหมือนทีมเล็กทีมอื่นๆขึ้นชื่อว่าทีมเล็ก จากประสบการณ์ที่เคยดูมาแท็คติกที่พวกเขาใช้ก็แทบจะเหมือนกันหมด นั่นก็คือการเน้นเกมรับ ให้ผู้เล่นยืนต่ำเพื่ออุดประตูเอาผลการแข่งจากทีมใหญ่ เรียกได้ว่าแค่เก็บได้หนึ่งคะแนนก็พอใจแล้ว แต่ถ้าเล่นโต้กลับแล้วพลิกยิงได้ก็ถือว่าเป็นโบนัสไป เป็นแบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย กระทั่งมีไบรท์ตันนี่แหละครับที่เป็นผู้ปฏิวัติวงการ! ฤดูกาลก่อนพวกเขาจบอันดับในวรรณนะเดียวกับลิเวอร์พูล นี่จึงเป็นการดวลกันของสองทีมเกรดยูโรป้าฯ ไอ้ครั้นจะให้มาอุดประตูในบ้านตัวเองก็กระไรอยู่! ด้วยเหตุนี้พลพรรคหงส์แดงที่เสียประตูเป็นเทน้ำเทท่าก็เลยไม่รอด! ไบรท์ตันเปิดช่องให้ลิเวอร์พูลทำเกมรุกใส่ก็จริง แต่พวกเขาก็บุกใส่ลิเวอร์พูลคืนกลับไปเช่นกัน รูปเกมเลยเหมือนการแลกหมัด คุณทีผมทีโดนเป็นโดนยุบเป็นยุบ ความเอ็นเตอร์เทนเลยมาเต็ม! ไบรท์ตันมี Kaoru Mitoma ในขณะที่เกมรับของลิเวอร์พูลคือ Trent Alexander-Arnold แล้วเมื่อจุดแข่งของอีกฝ่ายมาเจอกับจุดอ่อนของอีกทีม ผลมันจะเป็นยังไงล่ะครับ? คิดในมุมไหนก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ตลอดทั้งเกมเราจึงได้เห็นการลากเลื้อยเลี้ยงกินตัวของตัวรุกชาวญี่ปุ่นคนนี้ ถ้าผ่านได้มันก็คือโอกาสของทีม แต่ถ้าผ่านไม่ได้มันก็ยังเป็นฟรีคิกอยู่ดี แล้วก็เป็นลูกเซ็ตพลีสนี่แหละที่ใช้ยิงประตูตีเสมอลิเวอร์พูลจนสำเร็จ เปิดเกมมาด้วยการโถมผู้เล่นกระโจนเข้าหา ไล่บีบบดขยี้จนลิเวอร์พูลจ่ายบอลพลาดแล้วฉวยโอกาสยิงขึ้นนำ พอโดนลิเวอร์พูลพลิกขึ้นนำบ้าง ก็หันมาใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่เป็นจุดเด่น เรียกฟาล์วเรียกฟรีคิก แล้วก็ตีเสมอจากลูกฟรีคิกได้จริงๆ แท็คติกนี้ของกุนซือโรแบร์โต เด แซร์บี ปีที่แล้วก็เล่นแบบนี้ แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยังแก้ไม่ได้อยู่เหมือนเดิม 2. ไบรท์ตันเล่นบอลแบบเดียวกับที่ลิเวอร์พูลเล่นเลย!หัวข้อข้างบนเราพูดถึงวิธีการบุกเอาประตูของไบรท์ตันไปแล้ว ทีนี้เรามาวิเคราะห์จังหวะเสียประตูของทั้งสองทีมกันดีกว่า แล้วคุณผู้อ่านจะเห็นครับว่ามันคล้ายกันมากๆ! ลูกแรกที่ลิเวอร์พูลเสียนั้นเกิดจากการช่วยกันไล่บีบพื้นที่ของไบรท์ตัน จนทำให้ Alexis Mac Allister ถูกล้อมกรอบปิดหน้าปิดหลังอยู่ถึงสามคน พอรับบอลจาก Virgil van Dijk ปุ๊บเขาจึงโดนฉกทันที! และด้วยความหัวไวตาไวของ Simon Adingra ที่เห็น Alisson ออกมาไกล เจ้าตัวจึงรีบแปบอลเร็วยัดบอลเข้ามุมประตูเสาใกล้ กลายเป็นประตูขึ้นนำ 1 - 0 ในนาทีที่ 20 ทีนี้เรามาดูลูกที่ลิเวอร์พูลได้จุดโทษกันบ้างครับ จะเห็นว่าจังหวะนี้มันเกิดจากการวิ่งไล่บอลแบบซอยยิกๆ ของผู้เล่นแดนหน้าอย่าง Dominik Szoboszlai กับ Darwin Núñez ที่ไล่มาจนถึงเท้าของมือประตู ก่อนจะเป็น Núñez ที่ฉกบอลมาได้และเขี่ยต่อสั้นๆให้ Szoboszlai เขาเตรียมจะง้างเท้ายิงอยู่แล้วแต่ก็มิวายโดนดึงคอเสื้อจากด้านหลังจนหงายท้องหงายไส้ ก่อนจะกลายเป็นจุดโทษ แล้วก็เป็น Mohamed Salah ที่ปิดจ็อบของตัวเองเข้าไป จะเห็นว่าลักษณะการได้ประตูของทั้งสองทีมมีความคล้ายคลึงกันมาก จุดเริ่มต้นจะมาจากการวิ่งเข้าหาบอลเร็วของผู้เล่นในแดนบน และใช้ลูกฉาบฉวยช่วงชิงโอกาสในการทำประตู นกนางนวลดวลกับหงส์ สัตว์ปีกเหมือนกันเลยหากินด้วยวิธีเดียวกันล่ะมั้งครับ ผลการแข่งขันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น 3. กฎแฮนด์บอลคนดูต้องอัพเดทให้ทันนะ!เท่าที่พอจำได้กฎแฮนด์บอลน่าจะมีอยู่ว่า "ห้ามทำตัวให้ใหญ่ ถ้ามีแขนกางออกไปแบบผิดธรรมชาติ จะถือว่าเป็นลูกแฮนด์บอล" ซึ่งพอมาดู VAR ในจังหวะปัญหาในช่วงครึ่งหลัง ผมก็คิดว่าแขนของ Virgil van Dijk มันกางออกไปจริงๆครับ! ลูกนี้น่าจะแฮนด์บอลแบบไม่ต้องประท้วงเลย แต่ทว่ามันก็มีกฎอีกข้อหนึ่งที่บอกว่า "ถ้าบอลกระเด้งขึ้นมาโดนแขนอย่างกระชั้นชิด จะถือว่าไม่แฮนด์" เอาล่ะสิครับคุณผู้อ่าน! ดูบอลสมัยนี้จึงต้องใช้สติ บอล UCL มีกฎอย่างหนึ่ง , บอลลีคก็มีกฎอีกอย่างหนึ่ง , บอลต่างลีคก็มีกฎแบบของใครของมัน นี่คงเป็นความผิดของคนดูเอง ที่ดูบอลหลายทัวร์นาเมนต์เกินไปจนไม่รู้ว่ากฎไหนเป็นกฎไหน กฎกติกาฟุตบอลคงไม่เหมือนภาษาอังกฤษมั้งครับ มันคง (ยากเย็น) เกินไปหากจะใช้ให้เป็นแบบเดียวกันทั้งโลก! 4. ผลการแข่งที่ออกมาถือว่ารับได้ (ไม่ใช่เรื่องน่าอาย!)บอลคู่นี้ฉายภาพออกมาแทบจะทันกันทุกอย่าง ต่างคนต่างทำผลงานกันได้ดี ลิเวอร์พูลบุกหนักหลังลอยสูงจึงพร้อมจะเสียท่าให้ไบรท์ตัน ในขณะที่ไบรท์ตันก็ตั้งหลักแบกรับความหนักหน่วงของลิเวอร์พูลไม่อยู่ บอลแมทซ์นี้จึงไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครดีพอจะเป็นผู้ชนะ แล้วก็ไม่มีใครห่วยพอที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แบบนี้จึงถือว่าแฟร์ไม่มีความจำเป็นต้องเสียใจอะไรครับ ผมถือว่ายุติธรรมเหมาะสมทุกอย่าง สรุปสุดท้าย ถึงผลการแข่งจะออกมาไม่ค่อยถูกใจ แต่สาวกหงส์แดงก็ควรจะข่มใจยอมรับนะครับ สำหรับผมๆว่าผมรับได้ เพราะเมื่อเทียบกับนัดที่แข่งกับสเปอร์สเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มันเป็นคนละเรื่องกันเลย! อันนั้นถือว่าลิเวอร์พูลแพ้เพราะความห่วยแตกของกรรมการ ผ่านมา 7 วันแต่ภาพยังหลอกหลอนลูกตาอยู่เลยครับ! มันเป็นอะไรที่ติดค้างคาใจมากๆ แต่ไม่เกิดขึ้นเลยกับแมทซ์นี้! ไบรท์ตันเล่นดีส่วนลิเวอร์พูลก็ไม่ได้เล่นแย่อะไร นัดหน้าค่อยว่ากันใหม่ ติดใจอย่างเดียวครับคุณผู้อ่าน! คือผมอยากให้ Mohamed Salah แกยิ้มแย้มแจ่มใสกว่านี้สักนิดนึง เห็นแกหน้าบึ้งทมึงทึงบูดบึ้ง จังหวะยิงประตูได้ก็ไม่ดีใจอะไรเลย เห็นแล้วมันทำให้นึกถึง Torres ตอนอยากย้าย , นึกถึงคูติญโญ่ , นึกถึงหลุยส์ ซัวเรส ตอนขอย้ายไปบาเซโลน่าเหลือเกินครับ.. เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก (1) จาก FB : Liverpool FC ภาพหน้าปก (2) จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 1 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 2 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 3 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 4 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 5 จาก FB : Liverpool FC รูปที่ 6 จาก FB : Liverpool FC Community ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์