เป็นอย่างไรกันบ้างครับเหล่า "เดอะ ค็อป" ทั้งหลาย ดื่มด่ำกับความสำเร็จของแชมป์แรกในฤดูกาลนี้เต็มที่หรือยังครับ? หลังจากที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลทุบ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซีในรอบชิงคาราบาว คัพ 2024 จากประตูชัยของ "บิ๊กเวิร์จ" เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก กัปตันทีมของพวกเรา เรียกได้ว่าในค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่สุดเหวี่ยงจริงๆ มีครบทุกรสชาติในเกมเดียว มีทั้งตัวผู้เล่นบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหว มีเซฟปาฏิหาริย์ มียิงเข้าไปแล้วโดนริบคืนและที่สุดของที่สุดก็คือการยิงในช่วงท้ายเกมทำให้ทีมกลายเป็นแชมป์จากฟาน ไดจ์ก และนี่แหละครับคือคนที่เราจะมาพูดถึงในวันนี้สำหรับบทความนี้ผมจะพาทุกย้อนกลับไปถึงปฏิบัติการล่าตัวเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กของลิเวอร์พูล กว่าจะได้ตัวฟาน ไดจ์กมานั้นลิเวอร์พูลต้องเจอความยากลำบากอย่างไรบ้าง พร้อมกับจะมีสถิติของฟาน ไดจ์กในฤดูกาลนี้มาฝากครับย้อนกลับไปในช่วงซัมเมอร์ฤดูกาล 2017/2018 เยอร์เกน คล็อปป์และทีมงานได้มองเซนเตอร์แบ็คคนใหม่ เพราะกองหลังตัวกลางที่มีนั้นไม่สามารถไว้ใจได้ซักคน ไม่ว่าจะเป็นโฌเอล มาติป, เดยัน ลอฟเรนและมามาดู ซาโก ซึ่งคล็อปป์ให้ความสำคัญในเรื่องของเกมรับเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากใครยังจำได้ คล็อปป์เคยเซ็นสัญญายืมตัวสตีเวน คอลเกอร์จากควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์สในช่วงแรกที่เขาเข้ามาคุม เพื่อเป็นการแก้ขัดในเรื่องของเกมรับ โดยทีมงานแมวมองนั้นได้ส่งรายชื่อของกองหลังที่น่าสนใจให้กับคล็อปป์พิจารณาซึ่งมันก็มีชื่อนึงสะดุดตาและหัวใจของคล็อปป์ ชื่อนั้นก็คือ "เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก" กองหลังชาวดัตช์จากเซาแธมป์ตันที่เคยได้ปะทะกันในสนามมาแล้ว และฟาน ไดจ์กก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการเจอกับลิเวอร์พูลและหลังจากนั้นการล่าตัวฟาน ไดจ์กจึงเริ่มต้นขึ้นแต่สิ่งที่ลิเวอร์พูลนั้นทำเป็นสิ่งที่ "ไม่ถูกต้อง" เอาซะเลย เพราะพวกเขาแอบติดต่อกับฟาน ไดจ์กและนัดเจอกันในเมืองแบล็คพูล เมืองที่อยู่ใกล้กับลิเวอร์พูลซึ่งเรื่องนี้ทางเซาแธมป์ตันนั้นไม่ได้รับรู้ รับทราบด้วยเลย (แต่ว่ากันตามจริงถึงแม้มันจะผิดกฎ แต่ดีลฟาน ไดจ์กไม่ใช่ดีลแรกที่สโมสรแอบคุยกับนักเตะหรือเอเยนต์ของนักเตะ แทบจะทุกดีลในโลกนี้ที่สโมสรที่ต้องการนักเตะจะแอบคุยลับหลังกับนักเตะก่อน ก่อนที่จะไปติดต่อสโมสรเจ้าของตัวนักเตะ เรียกได้ว่าทำกันเป็นปกติเลยเรื่องนี้) แต่เมื่อมันผิดกฎยังไงมันก็คือผิดครับ เรื่องการแอบคุยของลิเวอร์พูลและฟาน ไดจ์กเล็ดลอดไปถึงหูของทีมนักบุญแดนใต้ สร้างความไม่พอใจให้กับเซาแธมป์ตันเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อฟ้องต่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น ซึ่งเอฟเออังกฤษก็ได้เตือนมายังลิเวอร์พูล ทำให้ลิเวอร์พูลไม่มีทางเลือกครับ ต้องออกแถลงการณ์แบบเป็นทางการเพื่อขอโทษไปยังเซาแธมป์ตันและบอกอีกว่าจะยุติความสนใจฟาน ไดจ์กแต่ด้วยความที่ฟาน ไดจ์ก ณ ตอนนั้นกลายเป็นที่ต้องการของทีมอื่นๆ อีกเช่น ไม่ว่าเป็นเชลซีหรือแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ซิตีที่ต่างก็อยากได้ฟาน ไดจ์กเช่นกัน แต่ด้วยค่าตัวที่ทางเซาแธมป์ตันตั้งไว้ถึง 60 ล้านปอนด์ มันจึงทำให้ทีมอื่นๆ ต้องถอนตัวออกไป และในเมื่อคล็อปป์ต้องการ ยังไงลิเวอร์พูลก็ต้องเอามาให้ได้ ช่วงเวลาที่รอตลาดซื้อขายนักเตะช่วงฤดูหนาวเปิด ลิเวอร์พูลก็ได้ทำการติดต่อไปยังเซาแธมป์ตันแบบถูกที่ถูกทางถูกต้องและถูกวิธีเพื่อขอซื้อตัวฟาน ไดจ์กมาร่วมทีมอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ลิเวอร์พูลจะต้องจ่ายถึง 75 ล้านปอนด์ซึ่งก็เพิ่มจากค่าตัวที่เซาแธมป์ตันตั้งไว้ 15 ล้านปอนด์ ว่ากันว่าอีก 15 ล้านปอนด์ที่เพิ่มมานั้นเป็น "คำขอโทษ" ที่ในช่วงซัมเมอร์ทำตัวเสียมารยาทไปสุดท้ายในวันที่ 28 ธันวาคม 2017 ลิเวอร์พูลก็ได้ประกาศคว้าตัวเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กมาจากเซาแธมป์ตัน เป็นการประกาศและเปิดตัวก่อนตลาดช่วงหน้าหนาวเปิดขึ้น พร้อมกับภาพการเปิดตัวสุดคลาสสิคที่ถึงเวลาจะผ่านมาแล้ว 6 ปี แต่ภาพการเปิดตัวของฟาน ไดจ์กนั้นก็ยังถูกสโมสรลิเวอร์พูลหรือคนทำคอนเทนต์ฟุตบอลนำมารีรันเล่นซ้ำอยู่ทุกปี มันเป็นภาพที่ฟาน ไดจ์กยืนถือเสื้อลิเวอร์พูลอยู่ โดยฉากหลังของฟาน ไดจ์กคือต้นคริสต์มาสที่ถูกประดับไปด้วยไฟที่สวยงาม เหมือนเป็นการสื่อสารว่านี่คือ "ของขวัญวันคริสต์มาส" แด่เดอะ ค็อปทั่วโลกส่วนตัวของผมแล้ว ผมมองว่าการมาของฟาน ไดจ์กมันเหมือนเป็น "ปรากฎการณ์" ในตำแหน่งกองหลังเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่เชียร์ลิเวอร์พูลมาไม่เคยเห็นกองหลังคนที่เก่งได้ขนาดนี้มาก่อนเลย ใกล้เคียงสุดก็คือซามี ฮูเปีย แต่มันก็มันไม่มีใครที่ใกล้เคียงกับบิ๊กเวิร์จได้เลยฟาน ไดจ์กนั้นมีความครบเครื่อง มีทุกสิ่งทุกอย่างที่กองหลังควรจะมี ความเร็ว, ความแข็งแกร่งทั้งภาคพื้นดินและกลางอากาศ, การอ่านเกมและการสั่งการเกมรับ ฟาน ไดจ์กมีหมดเลยที่กล่าวมา แถมยังมีอีกสถิติที่ยอดเยี่ยมมากๆ นั่นคือการไม่โดนคู่แข่งเลี้ยงผ่านเลย 60 กว่าเกม มันเป็นสถิติที่บ้ามากๆ แถมกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ก็พาทีมชาติตัวเองเข้าไปถึงรอบชิงของยูฟา เนชั่นส์ ลีกในฤดูกาล 2018/2019 แต่สุดท้ายก็จบด้วยการเป็นรองแชมป์ หลังจากที่แพ้ให้กับทีมชาติโปรตุเกสในรอบชิงนอกจากนี้การที่ฟาน ไดจ์กมาพร้อมกับค่าตัวระดับ 75 ล้านปอนด์ ราคาแพงกว่ากองหน้าบางคนเสียอีก ทำให้เกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์มากมายว่าลิเวอร์พูลและเยอร์เกน คล็อปป์ทำอะไรลงไป บ้าหรือเปล่ากับการทุ่มเงินระดับนี้กับอีแค่กองหลังเพียงคนเดียว จนเกิดวลี "มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้อง....ด้วย" เอามาแซวลิเวอร์พูลกันเต็มโลกโซเชียล แต่เพียงแค่เกมแรกที่ฟาน ไดจ์กลงสนามให้ลิเวอร์พูลก็แทบจะกลบเสียงวิจารณ์เหล่านั้นได้แล้ว เพราะเกมแรกที่ฟาน ไดจ์กลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลเป็นเกมเอฟเอ คัพที่พบกับเอฟเวอร์ตันในวันที่ 5 มกราคม 2018 เกมนั้นเกือบจะจบที่ผลเสมอ 1-1 แล้วแต่ก็เป็นฟาน ไดจ์กนี่แหละที่มาโหม่งประตูชัยทำให้ลิเวอร์พูลชนะอริร่วมเมืองไปได้ 2-1 กลายเป็นการเปิดตัวในฝันไปโดยปริยาย เพราะนอกจากในเกมฟาน ไดจ์กจะคอยสั่งการเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วยังมาโหม่งประตูชัยให้กับทีมอีกซึ่งหลังจากนั้นคือตำนานและประวัติศาสตร์ครับ รวมไปถึงเสียงวิจารณ์เหล่านั้นก็หายไปกับผลงานที่ฟาน ไดจ์กได้แสดงให้ดูเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ฟาน ไดจ์กลงสนามให้กับลิเวอร์พูลในทุกรายการไปแล้ว 252 นัด ยิง 23 ประตูกับอีก 14 แอสซิสต์ พร้อมกับรางวัลความสำเร็จกับสโมสรอีก 8 รายการ ไล่เรียงจากฤดูกาล 2018/2019: ยูฟา แชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2019/2020: ยูฟา ซูเปอร์คัพ, สโมสรโลกและพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021/2022: ลีก คัพและเอฟเอ คัพฤดูกาล 2022/2023: คอมมูนิตี ชิลด์ฤดูกาล 2023/2024: ลีก คัพไม่เพียงแต่รางวัลที่ได้ร่วมกับเพื่อนร่วมทีม รางวัลส่วนตัวนั้นพี่ไดจ์กก็ฟาดมาเยอะเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นอันดับ 2 บัลลงดอร์: 2019นักเตะยอดเยี่ยม 1 สมัย: PFA 2018/2019ทีมยอดเยี่ยม PFA 3 สมัย: 2018/2019, 2019/2020 และ 2021/2022 (พรีเมียร์ลีก)นักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก 1 สมัย: 2018/2019นักเตะยอดเยี่ยมยูฟา 1 สมัย: 2018/2019กองหลังยอดเยี่ยมของยูฟา แชมเปียส์ลีก 1 สมัย: 2018/2019ทีมยอดเยี่ยมของยูฟา 3 สมัย: 2018, 2019 และ 2020ทีมยอดยเยี่ยม FIFA FIFPRO 3 สมัย: 2019, 2020 และ 2022นักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรประจำฤดูกาล 1 สมัย: 2018/2019จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคิดเสียดายไม่หายเลยกับอาการบาดเจ็บที่ฟาน ไดจ์กต้องเจอให้ฤดูกาล 2020/2021 ที่เขาถูกจอร์แดน พิคฟอร์ดเข้าปะทะบริเวณหัวเข่าจนเอ็นไขว้เข่าหรือ ACL ฉีกและต้องปิดเทอมตลอดทั้งฤดูกาล ทั้งๆ ซีซั่นนั้นเพิ่งเริ่มยังไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ หลังจากนั้นฟาน ไดจ์กก็ใช้เวลาถึง 2 ฤดูกาลกว่าจะกลับมาเล่นในระดับท็อปได้เหมือนเดิม ซึ่งในฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ฟาน ไดจ์กนอกจากจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "กัปตันทีม" ต่อจากจอร์แดน เฮนเดอร์สันที่อำลาทีมไปในช่วงซัมเมอร์แล้ว ฟาน ไดจ์กยังเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ใกล้เคียงกับช่วงที่ท็อปฟอร์มที่สุดแล้วสถิติจาก Squawka บอกว่าฟาน ไดจ์กลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกให้กับลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ เขาชนะการดวลกลางอากาศไป 109 ครั้งพร้อมกับอัตราการชนะการดวลกลางอากาศที่ 83.85% มากที่สุดในลีกทั้งสองสถิติ อัตราชนะในการดวลภาคพื้นดินก็มากที่สุดในลีกที่ 66.67% ผมและแฟนๆ ลิเวอร์พูลก็ได้แต่คิดว่าถ้าฟาน ไดจ์กไม่บาดเจ็บหนักขนาดนั้น ตอนนี้ทั้งเขาและลิเวอร์พูลจะเป็นอย่างไร จะดีกว่าตอนนี้อีกไหม เพราะต้องยอมรับว่าการบาดเจ็บของฟาน ไดจ์กนั้นก็ส่งผลต่อฟอร์มและรูปแบบการเล่นของลิเวอร์พูลเหมือนกัน ถ้าไม่บาดเจ็บหนักขนาดนั้น ฟาน ไดจ์กแลลิเวอร์พูลก็อาจจะดีกว่านี้ก็ได้หลังจากนี้ก็เดินหน้ากันต่อครับทั้งเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กและลิเวอร์พูล หวังว่าพี่ไดจ์กคงไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวนอีก รักษาเนื้อรักษาตัวพาทีมประสบความสำเร็จให้ได้มากที่สุดในฤดูกาลสุดท้ายของเยอร์เกน คล็อปป์กับลิเวอร์พูล และได้แต่หวังว่าฟาน ไดจ์กจะอยู่กับทีมไปอีกนาน คอยดูแลและประคองน้องๆ ในทีมไปอีกนานแสนนานนะกัปตันไดจ์กบทความที่เกี่ยวข้องเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก กับบทบาทกัปตันลิเวอร์พูล10 อันดับการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลในยุคเยอร์เกน คล็อปป์พี่ไดจ์กโขกชัย, พอชโค้ชใจป๊อด!!! 5 ประเด็นหลังเกมนัดชิงคาราบาวคัพฟานไดจ์กร่างทอง คู่หูโมหนูน!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ เบรนท์ฟอร์ดขอบคุณข้อมูและภาพประกอบจากWikipedia และ SquawkaOfficial Instagram ของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก (@virgilvandijk)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !