ย้อนดูเส้นทางชีวิตของ เทรนท์ ก่อนย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล ไปสู่ มาดริด

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพิ่งจะออกมาประกาศด้วยตนเองว่า เขาได้ตัดสินใจที่จะอำลาทีม ลิเวอร์พูล หลังจากที่ฤดูกาลนี้จบลง เนื่องจากหมดสัญญากับทีม
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่หลายคนไม่รู้ ทุกคนต่างพอจะคาดเดากันออกอยู่แล้วว่ามันจะจบลงแบบนี้ เพียงแต่ เทรนท์ จะออกมาพูดเองเมื่อไหร่เท่านั้น
สถานการณ์ก่อนหน้านี้มีนักเตะในทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล 3 ราย ที่ยังไม่ได้รับการต่อสัญญา นั่นก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่สัญญาจะหมดลงหลังจบฤดูกาลนี้
ในรายของ ซาลาห์ และ ฟาน ไดค์ นั้น หลายฝ่ายเชื่อว่ามีโอกาสที่จะต่อสัญญาใหม่มากกว่าที่จะไม่ต่อออกไป แต่คนที่แฟนๆ ไม่แน่ใจมากที่สุดก็คือในรายของ เทรนท์ นั่นเอง เพราะเป็นที่รู้กันว่าถ้าเจ้าตัวย้ายออกไปแบบฟรีๆ จุดหมายปลายทางคือ เรอัล มาดริด ซึ่งมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้าปฏิเสธข้อเสนอจากทีมราชันชุดขาว
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น ซาลาห์ กับ ฟาน ไดค์ ประกาศต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี ขณะที่ เทรนท์ นั้นเงียบกริบ จนกระทั่งเจ้าตัวได้ออกมาประกาศด้วยตนเองเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่าได้ตัดสินใจแล้วที่จะแยกทางกับทีม
เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ลิเวอร์พูล เอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ อย่างขาดลอย 5-1 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้โดยที่ไม่ต้องไปลุ้นจนถึงนัดสุดท้าย บรรยากาศการฉลองต่อหน้าแฟนๆ ที่แอนฟิลด์นั้นชื่นมื่นเสียจนหลายๆ คนคิดว่า เทรนท์ อาจจะเปลี่ยนใจต่อสัญญาใหม่กับทีมเพื่อค้าแข้งต่อไปแบบยาวๆ เพราะคงจะไม่มีที่ไหนอบอุ่นเท่ากับที่ ลิเวอร์พูล อีกแล้ว
แต่สุดท้ายปาฏิหาริย์ก็ไม่ได้เกิดขึ้น แบ็กขวาวัย 26 ปี ที่อยู่กับทีมหงส์แดงมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เลือกที่จะย้ายออกไปอยู่ดี โดยเน้นย้ำว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในโลก แต่เขาเลือกที่จะไปเพราะต้องการเจอกับความท้าทายใหม่ๆ
วันนี้เราจะมาส่องดูช่วงชีวิตที่ผ่านมาของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กันว่า เริ่มต้นอย่างไรจนกลายมาเป็นแบ็กขวาที่แฟนหงส์แดงรักมากที่สุด และกำลังจะกลายเป็นว่าที่นักเตะใหม่ของ เรอัล มาดริด ในฤดูกาลหน้า
เทรนท์ มีชื่อเต็มๆ ว่า เทรนท์ จอห์น อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1998 ปัจจุบันมีอายุ 26 ปี เขาเกิดที่ เวสต์ ดาร์บี้ ซึ่งเป็นย่านชานเมืองลิเวอร์พูล จึงเรียกได้ว่าเป็นสเกาเซอร์โดยกำเนิด
พออายุได้ 6 ขวบ เทรนท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเรียนชั้นประถมของ เซนต์ แมรี่ส์ คอลเลจ ได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมแคมป์ฝึกซ้อมของสโมสรลิเวอร์พูล ก่อนจะโดนจับตาโดย เอียน บาร์ริแกน ซึ่งเป็นโค้ชทีมเยาวชนหงส์แดงในเวลานั้น และได้ยื่นข้อเสนอให้ เทรนท์ ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นเด็กฝึกหัดของอะเคเดมี่
เทรนท์ เริ่มต้นฝึกซ้อมกับทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูล 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และลงเล่นในหลากหลายตำแหน่ง ก่อนจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลในชุดยู 16 และยู 18 ภายใต้โค้ชของทีมที่มีชื่อว่า เป๊ป ไลน์เดอร์ส ซึ่งก็คือมือขวาของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเวลาต่อมานั่นเอง
ในช่วงของการเป็นนักเตะเยาวชนนั้น เทรนท์ เปลี่ยนบทบาทของตัวเองจากตำแหน่งกองกลางตัวริมเส้น กลายมาเป็นแบ็กขวา ซึ่งนั่นคือใบเบิกทางที่ให้เขาได้ขึ้นสู่ชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว คล้ายกับที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เคยเริ่มต้นด้วยการเล่นแบ็กขวามาก่อนตอนที่ได้ขึ้นสู่ชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ก่อนจะกลายเป็นยอดกองกลางในเวลาต่อมา
ด้วยฝีเท้าที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้ในช่วงของการเตรียมทีมก่อนเริ่มต้นฤดูกาล 2015-16 เทรนท์ ก็ถูกเลือกจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือของ ลิเวอร์พูล ในเวลานั้น ให้มีชื่ออยู่ทีมชุดใหญ่ที่จะลงเล่นช่วงปรีซีซั่นนัดสุดท้าย ในเกมเจอกับ สวินดอน ทาวน์ ซึ่งนั่นคือเกมแรกที่ เทรนท์ ได้เล่นให้กับทีมหงส์แดงชุดใหญ่แบบไม่เป็นทางการ ซึ่งเกมนั้นจบลงด้วยชัยชนะ 2-1 ของ ลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ตาม กว่าที่ เทรนท์ จะได้ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ก็ต้องจนถึงฤดูกาล 2016-17 ในวันที่ 25 ตุลาคม 2016 หรือหลังวันเกิดอายุครบ 18 ปีได้ไม่นาน ในเกม ลีก คัพ รอบที่ 4 ที่พบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ซึ่ง ลิเวอร์พูล เอาชนะไป 2-1
หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้ลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก ในวันที่ 14 ธันวาคม เป็นเกมที่ถูกส่งลงไปเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ มิดเดิ้ลสโบรซ์ ไป 3-0 ส่วนเกมแรกที่ได้เป็นตัวจริงในระดับพรีเมียร์ลีกนั้น เกิดขึ้นในเกมแดงเดือดที่เสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ในวันที่ 15 มกราคม 2017
หลังจบฤดูกาลแรกที่ เทรนท์ ได้ก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่แบบเต็มตัว เขาได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสร และยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของศึกพรีเมียร์ลีก 2 ในฤดูกาลนั้นอีกด้วย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เทรนท์ ก็กลายเป็นกำลังสำคัญของทีม ในฤดูกาล 2017-18 เทรนท์ ซึ่งอายุได้ 20 ปีพอดี มีโอกาสลงสนามในพรีเมียร์ลีกไปถึง 19 นัด และลงเล่นรวม 33 เกมในทุกรายการ ประสบการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในฤดูกาลนี้ก็คือการมีส่วนร่วมในรอบชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรก หลัง ลิเวอร์พูล ผ่านเข้าไปเจอกับ เรอัล มาดริด แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายแพ้ไปอย่างน่าเจ็บใจ 3-1
แต่กระนั้นจากผลงานที่โดดเด่นทำให้ เทรนท์ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล โกลเด้น บอย อวอร์ด ก่อนจะได้รับการโหวตเป็นอันดับที่ 2 เป็นรองแค่ มาไตส์ เดอ ลิกท์ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ที่อยู่กับ อาแจ็กซ์ ในเวลานั้น
ในช่วงเวลาที่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือ เทรนท์ คือแบ็กขวาตัวจริงของทีม ด้วยลีลาการเล่นเกมรุกที่โดดเด่น โดยเฉพาะทีเด็ดจากลูกครอสอันแม่นยำ ทำให้ เทรนท์ ทำแอสซิสต์ให้กับทีมได้อย่างถล่มทลาย โดยตัวเขาและ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทางฝั่งซ้าย กลายเป็นคำนิยามของตำแหน่ง "ฟูลแบ็ก เพลย์เมคเกอร์" จากการที่สามารถสร้างโอกาสทำประตูให้กับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำนั่นเอง
และเพียงปีเดียวหลังจากนั้น ในฤดูกาล 2018-19 ลิเวอร์พูล ก็ไปถึงรอบชิงชนะเลิศของศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะไม่พลาด เอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปได้ 2-0 คว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นแชมป์เมเจอร์แรกที่ เทรนท์ ทำได้กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งตามมาด้วยวลีคลาสสิกที่เจ้าตัวหล่นไว้ในการให้สัมภาษณ์หลังคว้าแชมป์ยุโรปว่า "ผมก็เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มาจาก ลิเวอร์พูล ที่ฝันเป็นจริง"
หลังคว้าโทรฟี่แรกกับ ลิเวอร์พูล ได้แล้ว แชมป์รายการใหญ่ๆ ก็ตามมาอีกหลายรายการหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ในปี 2019 รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในฤดูกาล 2019-20 และตามมาด้วยแชมป์ฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ ในฤดูกาล 2021-22
หลังจากดับเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลถ้วยในฤดูกาล 2021-22 ลิเวอร์พูล ยังคงเป็นทีมที่อยู่ในระดับลุ้นแชมป์อยู่เหมือนเดิม แต่กระนั้นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้อีกครั้งดูจะยังเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีก้างขวางคอชิ้นโตอย่าง แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขวางทางอยู่
จนกระทั่งในดือนมกราคมปี 2024 แฟนๆ ลิเวอร์พูล ทั่วโลกก็ต้องเจอกับข่าวที่พวกเขาไม่อยากได้ยินที่สุด เมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ประกาศว่าจะวางมือจากการคุมทีมหงส์แดง หลังจากที่ฤดูกาล 2023-24 จบลง เนื่องจากเขาหมดพลังงานที่จะทำต่อไปแล้ว ก่อนที่ซีซั่นดังกล่าว คล็อปป์ จะพาทีมคว้าโทรฟี่สุดท้ายในยุคของเขา นั่นคือแชมป์ ลีก คัพ ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกนั้นจบอันดับที่ 3 ของตาราง
การจากไปของ คล็อปป์ น่าจะเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ เทรนท์ เลือกที่จะไม่อยู่กับทีมต่อก็เป็นได้ เพราะนี่คือกุนซือผู้ปลุกปั้นเขาขึ้นมา และการมาของ อาร์เน่อ ชล็อต นั้น ก็ยังไม่อาจจะบอกได้ว่าทิศทางของทีมจะเป็นอย่างไรต่อไป
ขณะที่สัญญากำลังจะหมดลงเรื่อยๆ ก็เริ่มมีข่าวลือออกมาเป็นระยะว่า เทรนท์ อาจจะไม่ต่อสัญญา เช่นเดียวกับทางฝั่ง มาร์ก้า สื่อดังของสเปนที่รายงานข่าวไม่หยุดว่า เรอัล มาดริด จะล่าตัว เทรนท์ มาร่วมทีมแบบฟรีๆ เมื่อสัญญาหมดลง
ยิ่งเมื่อดูจากสิ่งที่เจ้าตัวทำมากับทีมมาตลอด ก็ถือว่า เทรนท์ พาทีมคว้าแชมป์ทุกอย่างมาครองหมดแล้ว มันคงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วในการย้ายไปอยู่กับทีมในฝันของนักเตะแทบทุกรายอย่าง เรอัล มาดริด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ และสัญญาที่เขาจะได้รับ หากว่าเขาเลือกต่อสัญญากับหงส์แดงต่อไป โอกาสที่จะได้ค้าแข้งกับทีมราชันชุดขาวคงไม่วนกลับมาอีก
แน่นอนว่า เทรนท์ ต้องเลือก และเจ้าตัวก็เลือกแล้วว่าจะขอย้ายออกไปหลังจบฤดูกาลนี้ หลัง ลิเวอร์พูล เดินหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่สองของ เทรนท์ และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของสโมสร เทียบเท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลที่ครองสถิตินี้มาตั้งแต่ปี 2013
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ยืนยันว่าจะเป็นที่ไหน แต่แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางของ เทรนท์ ย่อมต้องเป็น เรอัล มาดริด อย่างไม่ต้องสงสัย เหลือแค่รอประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้น
การตัดสินใจครั้งนี้ของ เทรนท์ นำมาซึ่งความรู้สึกมากมายของแฟนบอล ทั้งที่เข้าใจก็มาก และที่สาปส่งก็มีไม่น้อย ซึ่งนั่นเป็นราคาที่ เทรนท์ ต้องจ่าย เมื่อตัดสินใจย้ายออกจากทีมบ้านเกิดอันเป็นที่รัก
หลังจากนี้คงต้องติดตามดูบทบาทใหม่ในชีวิตของแบ็กขวาวัย 26 ปีว่าจะไปได้สวยในสถานที่แห่งใหม่และสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรือไม่ และเมื่อต้องโคจรกลับมาเจอกับทีมเก่าอีกครั้ง เขาจะได้รับการต้อนรับแบบไหน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากสถิติของ เทรนท์ ที่ลงเล่นไปแล้ว 352 นัด ทำไป 23 ประตูกับอีก 92 แอสซิสต์ รวมถึงแชมป์ทั้งหมดที่เจ้าตัวคว้าได้กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งครบถ้วนหมดแล้ว มันคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาย่อมเป็นหนึ่งในตำนานของสโมสรอีกคนอย่างแน่นอน เพียงแต่อาจจะไม่ได้รับความรักจากเหล่า เดอะ ค็อป เท่าเดิมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ก็เท่านั้น...