ถ้าหากคุณจะมองหาตัวรุกที่เป็นที่สุดคนนึงนอกเหนือจาก 2 มนุษย์ต่างดาวอย่างลีโอเนล เมสซีและคริสเตียโน โรนัลโดในช่วงทศวรรษที่ผ่าน คุณผู้อ่านคงมีหลายๆ ชื่อผุดขึ้นมาหัว เช่น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี, หลุยส์ ซัวเรส, เนย์มาร์หรือสองนักเตะยุคใหม่อย่างเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์และคีเลียน เอมบัปเป แต่ผมเชื่อว่าจะมีอีกหนึ่งคนที่ถูกหยิบยกขึ้นมา นักเตะคนนั้นก็คือ "เอเด็น อาซาร์" อดีตแนวรุกของเชลซีและเรอัล มาริด รวมไปถึงกัปตันทีมชาติเบลเยียมยุคทองที่ล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดไปเมื่อวานที่ผ่านด้วยวัยเพียง 32 ปีเท่านั้นเอง และด้วยถือโอกาสนี้เป็นการอำลาอาซาร์ ผมจึงรวบรวม 5 โมเมนต์สุดประทับใจของอาซาร์ในช่วงที่เขาค้าแข้งอยู่มาให้คุณผู้อ่านได้ชมกัน ไปดูกันเลยดีกว่าว่า 5 โมเมนต์จะมีโมเมนต์ไหนบ้าง1. ดาวรุ่งพุ่งแรงของลีกเอิงและลีลล์ลีกเอิง ฤดูกาล 2010/2011 ลีลล์สามารถกลับมาคว้าแชมป์ลีกได้ในรอบ 57 ปีพ่วงด้วยแชมป์บอลถ้วยในประเทศอีกถ้วย ซึ่งอาซาร์คือสตาร์เด่นในทีมชุดนั้น จบฤดูกาลเขาสามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีกเอิงในวัย 20 ปี เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้ แถมเขายังสามารถคว้ารางวัลนี้ได้อีกสมัยในฤดูกาล 2011/2012 เป็น 2 สมัยติดต่อกัน นอกจากนี้อาซาร์ยังได้รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของลีกเอิง 2 สมัยติดต่อกันอีกเช่นกันในฤดูกาล 2008/2009 และ 2009/2010สำหรับอาซาร์นั้น เขาย้ายจากเบลเยียมมาอยู่กับทีมเยาวชนของลีลล์ในปี 2005 ก่อนที่จะถูกโปรโมทขึ้นทีมชุด U-19 ในปี 2007 และพัฒนาฝีเท้าจนได้ขึ้นทีมชุดใหญ่ของลีลล์ในปี 20082. ย้ายมาเขย่าพรีเมียร์ลีกกับเชลซีหลังจากที่มีข่าวพัวผันกับทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล รวมไปถึงเชลซี สุดท้ายเขาก็ได้ย้ายมาซบอกเชลซีในฤดูกาล 2012/2013 ด้วยค่าตัว 35 ล้านยูโร และเพียงแค่เกมแรกในพรีเมียร์ลีก เขาก็สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กัแฟนๆ พรีเมียร์ลีกได้เลย เพราะเขาสามารถทำได้ 2 แอสซิสต์ให้กับทีมตั้งแต่เกมแรกที่ลงประเดิมที่พบกับวีแกนเลย ลูกนึงเป็นการจ่ายให้บรานิสลาฟ อิวาโนวิชหลุดเข้าไปยิง อีกลูกเป็นการเรียกจุดโทษให้กับทีม ก่อนที่จะจบฤดูกาลนี้ด้วยการเป็นแชมป์ยูโรปา ลีก (แต่ไม่ได้ลงเล่นในนัดชิงเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ)และถ้าจะถามว่าฤดูกาลไหนคือ "ที่สุด" ของอาซาร์ เชื่อว่าก็คงหนีไม่พ้นฤดูกาล 2014/2015 ภายใต้การคุมทีมของโชเซ มูรินโญที่เขาสามารถพาเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จพ่วงด้วยแชมป์ลีก คัพเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในฤดูกาลนั้น พร้อมกับจบฤดูกาลด้วยผลงาน 52 เกม ยิง 19 แอสซิสต์ 13 และถ้าหากนับเฉพาะเกมลีกเขายิงไป 14 ประตูพร้อมกับ 10 แอสซิสต์ แต่ถ้าคุณคิดว่านั่นคือฤดูกาลที่เขายิงเยอะที่สุดในช่วงที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกแล้ว ฤดูกาล 2016/2017 ยิงเยอะกว่าอีก เพราะภายใต้การคุมทีมของอันโตนิโอ คอนเต เขายิงในลีกไปได้ถึง 17 ประตู แถมอีก 7 แอสซิสต์ และสามารถจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยที่สองพร้อมกับแชมป์เอฟเอ คัพและแล้วฤดูกาลสุดท้ายในอังกฤษของเขาก็มาถึง หลังจากที่มีข่าวลือการย้ายทีมมาอย่างยาวนาน แต่ก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็ไม่จากไปด้วยมือเปล่า เขาจากไปพร้อมสร้างรอยยิ้มและคราบน้ำตาให้กับแฟนบอล เพราะในฤดูกาล 2018/2019 เขาสามารถพาเชลซีคว้าแชมป์ยูโรปา ลีกได้ในยุคของเมาริซาโอ ซาร์รี แถมในเกมนัดชิงที่พบกับอาร์เซนอล เขาก็ได้โชว์ฟอร์ม โชว์เพลงแข้งสั่งลาได้อย่างสุดยอด เขาทำ 2 ประตูและ 1 แอสซิสต์พาทีมถล่มคู่แข่งร่วมกรุงลอนดอนไปขาดลอย 4-1 คว้า Man of The Match ไปครอง พร้อมกับปิดฉากความยิ่งใหญ่ของเขากับเชลซีตลอด 7 ฤดูกาล3. กัปตันทีมชาติเบลเยียมยุค Golden Generationนี่คงเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ที่ดีที่สุดของเอเด็น อาซาร์เลยก็ว่าได้ เพราะว่า "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ทีมชาติเบลเยียมนั้นอุดมไปด้วยยอดนักเตะในทุกตำแหน่ง ธีโบต์ กูร์ตัวร์ส ในตำแหน่งผู้รักษาประตู, แวงซองต์ กอมปานีในตำแหน่งกองหลัง, เควิน เดอ บรอยน์ในตำแหน่งกองกลาง และตัวเขาที่ผนึกกำลังกับโรเมลู ลูกากูในแนวรุก เรียกได้ว่าแข็งแกร่งทุกตำแหน่ง ย้อนไปตอนเกมแรกกับทีมชาติเบลเยียมนิดหน่อย เขาประเดิมสนามกับทีมชาติเบลเยียมชุดใหญ่เกมแรกในวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น เขาลงสนามในเกมที่ทีมชาติเบลเยียมพบกับทีมชาติลักเซมเบิร์กในแมตช์อุ่นเครื่องในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2008 และหลังจากนั้นเขาก็คือมีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่มาตลอด แต่ความจริงแล้วตัวของเขานั้นเคยถูกทาบทามจากทีมชาติฝรั่งเศสด้วย เพราะเขานั้นเล่นในฝรั่งเศสมาหลายปีจนได้รับสัญชาติฝรั่งเศส แต่เจ้าตัวตอบปฏิเสธไป พร้อมให้เหตุผลว่าเขาอยู่ฝรั่งเศสมา 7 ปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงเป็นคนเบลเยียม 99% และเป็นคนฝรั่งเศส 1% แถมเรื่องสัญชาติฝรั่งเศสนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลยฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเขามีชื่อติดทีมชาติเบลเยียมไปลุยด้วยและเพียงเกมแรกในการเล่นฟุตบอลโลกเขาก็สามารถทำแอสซิสต์ให้กับดรีส เมอร์เทน เกมต่อมาเขาก็ยังสามารถแอสซิสต์ให้กับดิว็อก โอริกีอีกด้วย ก่อนที่สุดท้ายเขาจะพาเบลเยียมสิ้นสุดเส้นทางในฟุตบอลโลกหนนี้เพียงรอบ 8 ทีมสุดท้ายหลังจากพ่ายให้กับทีมชาติอาร์เจนตินาและแล้วโมเมนต์ที่สำคัญที่สุดโมเนต์นึงของเขาก็มากับการได้รับบทบาทในการเป็น "กัปตัน" ทีมชาติเบลเยียม ชุดใหญ่ เป็นเกมอุ่นเครื่องที่เบลเยียมพบกับฝรั่งเศส หลังจากที่กอมปานีในฐานะกัปตันทีมเบอร์ 1 ไม่สามารถลงเล่นได้ในวันที่ 7 มิถุนายน 2015 และในยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศสอาซาร์ก็ได้ขึ้นมาเป็นกัปตันทีมชาติอย่างเต็มตัว เนื่องจากกอมปานีนั้นมีอาการบาดเจ็บจนไม่สามารถลงเล่นได้ เขาสามารถพาทีมชาติเบลเยียมนั้นทำผลงานไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายอีกครั้งก่อนที่จะแพ้ให้กับทีมชาติเวลส์ และมาถึงทัวร์นาเมนต์ที่อาซาร์นำลูกทีมทีมชาติเบลเยียมทำผลงานได้ดีที่สุดนั่นก็คือ "ฟุตบอลโลก 2018" ที่รัสเซีย ทีมชาติเบลเยียมครั้งนี้ยังมีสุดยอดนักเตะในทุกๆ ตำแหน่งอยู่เช่นเดิม สุดท้ายเขาสามารถพาเบลเยียมเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศก่อนที่จะแพ้ให้กับทีมชาติฝรั่งเศสที่สุดท้ายทะลุไปคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ แต่จบทัวร์นาเมนต์บอลโลกครั้งนั้นเบลเยียมก็ไม่ได้จบด้วยมือเปล่า อาซาร์และเพื่อนร่วมทีมนั้นยังสามารถคว้าอันดับ 3 มาเป็นรางวัลปลอบใจส่วนเกมสุดท้ายของเขากับทีมชาติเบลเยียมก็มาถึง โดยเป็นเกมฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่เบลเยียมพบกับทีมชาติโครเอเชีย เกมนี้เขาลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายเกมและที่แย่ไปกว่านั้นเขาไม่สามารถช่วยให้เบลเยียมผ่านเข้ารอบต่อไปได้ เบลเยียมตกรอบแรกของฟุตบอลโลก 2022 และถือเป็นการปิดฉากการรับใช้ทีมชาติของเอเด็น อาซาร์ไปในตัว4. ย้ายซบ "ทีมในฝัน" เรอัล มาดริดหลังจากที่มีข่าวในการย้ายทีมหลายปี สุดท้ายในฤดูกาล 2019/2020 อาซาร์ก็ได้ย้ายไป "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริดด้วยค่าตัวเมื่อรวมแอดออนแล้วที่ 150 ล้านยูโร พร้อมกับสวมเสื้อ "หมายเลข 7" หมายเลขระดับตำนานของสโมสร เขาย้ายมาด้วยความคาดหวังอย่างสูง สูงมากๆ เพราะเขามาแทนที่ของคริสเตียโน โรนัลโดที่ย้ายไปยูเวนตุสเมื่อฤดูกาลก่อนหน้า แถมฟอร์มในข่วงที่เขาอยู่กับเชลซีนั้นต้องบอกว่าเขาไม่เป็นสองรองใครในโลกลูกหนังในเวลานั้นและครั้งนึงมูรินโญเคยบอกไว้ว่าขาข้างนึงของอาซาร์นั้นมีมูลค่า 100 ล้านปอนด์ ไม่แปลกเลยที่เขาจะถูกคาดหวัง นอกจากนี้อาซาร์ยังเคยบอกว่าราชันชุดขาวนั้นคือ "ทีมในฝัน" ของเขาอีกด้วยแต่อย่างที่ทุกคนทราบกันครับ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของอาซาร์นั้นคือช่วงที่เขาอยู่กับเชลซีและช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเขาก็คือช่วงที่เขาอยู่กับมาดริด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาโชคร้ายมากๆ ที่เขาไม่ได้ลงเล่นและโชว์ฟอร์มให้กับมาดริดได้อย่างเต็มที่และสุดยอดเหมือนตอนอยู่กับเชลซี เพราะเจ้าตัวนั้นมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดระยะเวลา 4 ฤดูกาลที่อยู่กับเรอัล มาดริด โดยทาง The Athlectic ได้วิเคราะห์ว่าอาการบาดเจ็บที่พรากชีวิตการค้าแข้งของอาซาร์ไปตลอดกาลนั้นเกิดจากจังหวะที่เขาถูกปะทะจากโธมัส มูนิเยร์ในเกมที่เรอัล มาดริดพบกับเปเอสเชในศึกยูฟา แชมเปียนส์ลีก 2019 ซึ่งหลังจากจังหวะปะทะนั้นเราก็ไม่ได้เห็นอาซาร์ในแบบที่เราเคยได้เห็นอีกเลย สุดท้ายเขาและเรอัล มาดริดได้ตกลงที่ยกเลิกสัญญาเมื่อจบฤดูกาลที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 4 ฤดูกาลที่เรอัล มาดริด อาซาร์ลงเล่นไปเพียง 76 เกม ยิงได้ 7 ประตู 12 แอสซิสต์ เทียบกับเงินที่ราชันชุดขาวจ่ายไปแล้ว ไม่มีคำว่า "คุ้ม" เลยแม้แต่ยูโรเดียว ถือว่าเป็นหนึ่งในดีลที่ล้มเหลวที่สุดดีลนึงของเรอัล มาดริดเลย มันเสียดายมากจริงๆ ที่อาการบาดเจ็บทำให้เราไม่ได้เห็นอาซาร์โชว์ฟอร์มให้กับมาดริดได้สุดยอดเหมือนตอนอยู่กับเชลซี แต่ถ้าถามถึงความสำเร็จกับมาดริดนั้น เขาก็ยังมีเหมือนกัน เขาได้แชมป์ยูซีแอล, ยูฟา ซูเปอร์คัพและแชมป์สโมสรโลกอย่างละ 1 สมัย และลา ลีกา สเปน 2 สมัย5. ประกาศแขวนสตั๊ดพร้อมความทรงจำมากมายhttps://x.com/premierleague/status/1711678960138956981?s=2010 ตุลาคม 2023 คือวันที่เขาประกาศต่อโลกฟุตบอลอย่างเป็นทางการว่าเขาถึงเวลาที่จะพักผ่อนจากการลงเล่นฟุตบอลแล้ว เขาได้โพสต์ในอินสตาแกรมว่า"คุณต้องฟังเสียงของตัวเองและมันได้บอกผมว่าต้องหยุดในเวลาที่ถูกต้อง หลังจาก 16 ปีที่ผ่านมา มากกว่า 700 เกมที่ลงเล่น ผมได้ตัดสินใจที่จะยุติการค้าแข้ง""ผมได้ทำตามความฝันแล้ว ผมได้เล่นและสนุกสุดๆ ในการลงเล่นบนสนามทั่วโลก ตลอดการอาชีพของเขา ผมโชคดีมากๆ ที่ได้พบกับสุดยอดผู้จัดการ, โค้ช และเพื่อนร่วมทีม ผมขอขอบคุณพวกเขาทุกคนสำหรับช่วงเวลาที่สุดยอด ผมจะคิดถึงพวกคุณทุกคน""ผมอยากขอบคุณไปถึงสโมสรที่ผมได้เคยเล่นให้ สำหรับลีลล์, เชลซีและเรอัล มาดริด และขอบคุณสมาคมฟุตบอลเบลเยียม""คำขอบคุณสุดพิเศษเลยสำหรับครอบครัวของผม, เพื่อนของผม, ที่ปรึกษาของผมและทุกคนที่อยู่กับผมในช่วงเวลาที่ดีและร้าย""สุดท้ายนี้ขอขอบคุณพวกคุณแฟนบอลทุกคนด้วยคำโตๆ เลย คนที่ติดตามผมในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้สำหรับกำลังใจจากทุกๆ ที่ที่ผมได้ลงเล่น""ตอนนี้ถึงเวลาแล้วแหละที่ผมจะเอนจอยกับคนที่ผมรักและประสบการณ์ใหม่ๆ ไว้เจอกันนอกสนามเร็วๆ นี้นะเพื่อนๆ"สถิติและเกียรติประวัติของเอเด็น อาซาร์ตลอด 16 ปีที่ผ่านมาสถิติการลงสนามลีลล์: 194 นัด (50 ประตูและ 53 แอสซิสต์)เชลซี: 352 นัด (110 ประตูและ 92 แอสซิสต์)เรอัล มาริด: 76 นัด (7 ประตูและ 12 แอสซิสต์)ทีมชาติเบลเยียม: 126 นัด (33 ประตูและ 36 แอสซิสต์)รางวัลกับสโมสรและทีมชาติลีลล์: แชมป์ลีกเอิงและเฟรนช์ คัพอย่างละ 1 สมัย (10/11)เชลซี: แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย (14/15 และ 16/17), ยูโรปา ลีก 2 สมัย (12/13 และ 18/19), แชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย (17/18) และแชมป์ลีก คัพ 1 สมัย (14/15)เรอัล มาดริด: แชมป์ลา ลีกา 2 สมัย (19/20 และ 21/22), ยูฟา แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย (21/22), ยูฟา ซูเปอร์คัพ (21/22), ยูฟา ซูเปอร์คัพ (2022), แชมป์สโมสรโลก (2022), โคปา เดล เรย์ (22/23) และซูเปอร์โคปา (21/22)ทีมชาติเบลเยียม: อันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2018รางวัลส่วนตัวลีลล์: นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2 สมัย (10/11 และ 11/12)เชลซี: นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 1 สมัย (14/15), นักเตะยอดเยี่ยมและดาวรุ่งยอดเยี่ยม PFA อย่างละ 1 สมัย (14/15) และนักเตะยอดเยี่ยมยูโรปา ลีกประจำฤดูกาล 2018/2018นี่เป็นเพียงความสำเร็จส่วนหนึ่งของอาซาร์เพียงเท่านั้น มีอีกมากมายที่เขาคว้ามาได้บอกตรงๆ ในฐานะคอบอลคนนึง ผมใจหายมากๆ ที่เห็นอาซาร์ประกาศแขวนสตั๊ดในวัยเพียง 32 ปี ผมเชื่อว่าแฟนบอลคนอื่นๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะแฟนบอลพรีเมียร์ลีก พวกเราทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่เขาลงสนาม เขาคือสุดยอดนักเตะคนนึงในพรีเมียร์ลีก เขาลงเล่นด้วยการเล่นที่พริ้วไหว เลี้ยงบอลติดเท้า พาคู่แข่งทัวร์นับไม่ถ้วน ในฐานะแฟนบอลคู่แข่งผม Respect ในความเก่งของอาซาร์มากๆ เลยนะ ผมเสียดายความสามารถของอาซาร์มากๆ เสียดายที่อาการบาดเจ็บพรากความเก่งกาจของเขาไป มันทำให้เราไม่ได้เห็นการเล่นที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจอีกแล้วขอให้นายโชคดีกับชีวิตหลังการค้าแข้งนะอาซาร์ ขอให้นายเอนจอยกับทุกอย่างหลังจากนี้ พวกเราแฟนบอลทุกคนจะจดจำนายในฐานะสุดยอดนักเตะแห่งยุคคนนึงเลย ขอบคุณที่สร้างความสุข ความตื่นเต้น เร้าใจให้กับแฟนบอลทุกคน โชคดีนะเอเด็น อาซาร์ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากTransfermarkOfficial Instagram ของเอเด็น อาซาร์ (@hazardeden_10)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1-4 Community ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์