จบลงไปแล้วอีกหนึ่งเกมสุดมันส์ที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ สำหรับเกมที่ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตีนั้นเปิดบอลไล่ตีเสมอ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี 1-1 ซึ่งทำให้การเจอกันของทั้งสองทีมในลีกฤดูกาลนี้จบลงด้วยผลเสมอทั้งสองเกม เพราะในเกมแรกที่ทั้งคู่เจอกันที่บ้านของเชลซีก็จบด้วยผล 4-4 ที่ในเกมนั้นสนุกและสู้กันแบบเลือดตาแทบกระเด็นกว่าเกมนี้อีก โดยในเกมนี้เป็นฝ่ายเชลซีขึ้นนำไปก่อนจากประตูของราฮีม สเตอร์ลิง อดีตนักเตะของแมนซิตี้ ก่อนที่พวกเขาจะมาไล่ตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกมจากโรดรี ผลเสมอเกมนี้ทำให้แมนซิตี้ตามหลังจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลที่ 4 คะแนนและมีคะแนนเท่ากับอาร์เซนอลที่ 55 คะแนนแต่แข่งน้อยกว่า 1 เกมในเกมนี้มีประเด็นให้พูดถึงมากมายครับและผมได้รวบรวมมาทั้งหมด 5 ประเด็นที่น่าพูดถึง จะมีประเด็นในเรื่องใดบ้าง ไปดูกันเลยครับพอชตั้งใจอุดมากเกินไปมาเริ่มที่หัวข้อที่ผมเชื่อว่าแฟนบอลของฝ่ายที่ขึ้นได้ก่อนอย่างเชลซีนั้นเสียดายกันเป็นแถวอย่างแน่นอน เพราะเป็นเกมที่มีโอกาสชนะเหมือนกัน เพราะในเกมนี้พวกเขาสามารถบุกไปยิงขึ้นนำเรือใบได้ก่อน แถมฝั่งเจ้าบ้านยิงยังไงก็ไม่เข้า ยิงนกตกปลาตลอดทั้งเกม ทำให้แฟนบอลของลิเวอร์พูลและอาร์เซนอลเริ่มมีความหวังว่าเชลซีจะช่วยเตะตัดขาและทำให้แมนซิตี้แพ้คาบ้านได้ แต่ที่ไหนได้มาโดนตีเสมอในช่วงท้ายเกมซะงั้น ชวดเก็บชัยชนะเหนือแมนซิตี้ไปแบบน่าเสียดายซึ่งจุดเปลี่ยนมันเหมือนจะมาจากการเปลี่ยนแทคติกการเล่นของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน เพราะนับตั้งแต่ที่เขาเริ่มเปลี่ยนราฮีม สเตอร์ลิงออกและส่งคริสโตเฟอร์ เอนคุนคูลงมาแทน นั่นเหมือนกับว่าเขาเริ่มจะสั่งให้ลูกทีมเล่นเกมรับแล้ว ยิ่งในนาทีที่ 71 ที่เขาเปลี่ยนตัวโคล พาลเมอร์และส่งเทรโวห์ ชาโลบาห์ลงมาเล่นแทนยิ่งชัดเจนว่าเขาเน้น "อุด" แล้ว เพราะทันทีที่ชาโลบาห์ลงมา เขารีบบอกกับเพื่อนร่วมทีมว่าให้เล่นเกมรับแบบกองหลัง 5 คน แพ็คเกมรับแน่นๆ ไปเลย ทำให้ ณ ตอนนั้นเท่ากับว่าตัวรุกของเชลซีเหลือเพียงเอนคุนคูและนิโคลัส แจ๊คสันเพียง 2 คนเท่านั้นโอเคแหละ เราเข้าใจที่พอชตั้งใจจะให้ลูกทีมเล่น การเจอกับแมนซิตี้นั้นเกมรับสำคัญมากๆ แถมต้องมีสมาธิตลอดทั้งเกม แต่สิ่งที่พอชทำในช่วงที่เข้าสู่ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเกมคือการยอมให้แมนซิตี้นั้นพาพวกเขาเข้ามุมสนามและต่อยหมัดใส่รัวๆ โดยที่พวกเขาจะรับหมัดอย่างเดียวจะไม่มีหมัดสวนและรอให้ระฆังดังแค่นั้น ภาพมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะนับตั้งแต่ที่เชลซีเปลี่ยนชาโลบาห์ลงมา นั่นคือการปิดตายเกมรุกของทีมไปเลยและนับตั้งแต่ที่ถอดสเตอร์ลิงออก ส่งเอนคุนคูลงมาแทนในนาทีที่ 64 เชลซีมีโอกาสสับไกเพียง 2 ครั้งถ้วน ซึ่งเมื่อเทียบกับ 63 นาทีก่อนหน้านั้น พวกเขามีโอกาสยิงใส่แมนซิตี้ถึง 7 ครั้ง ในเกมที่แมนซิตี้ต้องการประตูเพราะตัวเองตามหลังคู่แข่งอยู่ มันทำให้แนวรับของแมนซิตี้นั้นต้องดันไลน์ขึ้นมาสูงกว่าปกติซึ่งปกติพวกเขาก็ยืนสูงอยู่แล้ว เกมแบบนี้ทีมที่มีตัวรุกเร็วๆ มักจะใช้ลูกสวนกลับใส่แมนซิตี้ซึ่งก็มักจะได้ผลอยู่หลายครั้งสิ่งที่พอชทำมันไม่ผิดหรอกครับจริงๆ แล้วน่ะ แต่ด้วยความที่ลูกทีมของเขานั้นไม่ได้เป็นนักเตะไก่กาอะไร เป็นนักเตะที่มีความเร็วสูงและมีทักษะที่สูงเหมือนกัน แต่เขากลับไม่ใช้งานพวกเขาเลย มีเพียงเอนคุนคูคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับโอกาส ลองคิดภาพดูว่าถ้าพอชนั้นยังให้ลูกทีมเล่นแบบเดิมไปจนถึงช่วงท้ายเกมจริงๆ แล้วก็แพ็คเกมรับ ส่งมิไคโล มูดริกหรือโนนี มาดูเอเกลงมาเป็นคนที่ใช้ในการโต้กลับ เผลอๆ แมนซิตี้จะโดนพวกเขายิงเพิ่มอีกลูกและแพ้คาบ้านก็ได้ แต่พอเขาถอดทั้งสเตอร์ลิงและพาลเมอร์ออก เหลือเอนคุนคูและแจ๊คสัน มันก็เหมือนกับว่าตัวเองนั้นไม่มีหมัดฮุกแล้วเหลือแต่การตั้งการ์ดอย่างเดียว ส่วนตัวผมคิดว่าเกมแบบนี้มูดริกนั้นมีประโยชน์มาก เพราะอย่างที่บอกครับว่ากองหลังของแมนซิตี้นั้นดันไลน์ขึ้นสูงมาก นักเตะแบบนี้แหละจะมีประโยชน์ในการเป็นหมัดน็อค แต่โปเช็ตติโนก็หาใช้ไม่โรดรีเซฟเรือใบอีกแล้วหลังจากที่เขากลายเป็น "ฮีโร" ยิงประตูชัยให้แมนเชสเตอร์ ซิตีคว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีกได้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร หลังจากนั้นมาในฤดูกาลนี้ เขากลายเป็นฮีโรช่วยทีมหลายต่อหลายนัด เขายิงประตูสำคัญๆ เซฟทีมหลายเกมแล้วในฤดูกาลนี้ ในเกมที่เกือบบุกไปเสมอกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดก็มีโรดรีนี่แหละที่ยิงประตูชัยในนาที 88 ช่วยให้ทีมเฉือนดาบคู่ไป 1-2 ยิ่งในช่วงที่เขาโดนแบนจากใบแดงในเกมที่พบกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ไป แมนซิตี้แพ้รวดทั้ง 3 เกมเลย นั่นแสดงถึงความสำคัญของเขาที่มีต่อทีมว่าเขาสำคัญขนาดไหน ในเกมที่พบกับเชลซีทั้ง 2 นัดก็เช่นกัน เพราะในเกมแรกที่พบกัน โรดรีนั้นยิงประตูขึ้นนำ 3-4 ให้กับทีมก่อนที่เกมจะจบที่ 4-4 ในเกมนี้เขาก็ยิงตีเสมอให้กับทีมในนาทีที่ 83การมีอยู่ของโรดรีนั้นไม่ได้สำคัญเพียงแค่ในเรื่องของเกมรับ การผ่านบอลเท่านั้น แต่เขามักจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดที่บอลตกมาถึงทั้งในและนอกกรอบเขตโทษ และเขามักจะเก็บตกและยิงประตูสำคัญๆ ได้เสมอแบบที่บอกไป เขาเป็นคนที่วางเท้าในการยิงบอลไม่ว่าจะใกล้ไกลเขายิงได้หนักหน่วงมากๆ ประตูที่เขายิงในเกมนี้ก็ยิงไปตรงตัวชาโลบาห์ที่ยืนปิดเสาแรกแล้วนะ แต่ด้วยความแรงของลูกยิงก็ยังสามารถผ่านเข้าประตูไปได้ และนับตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2023 จนถึงตอนนี้ แมนซิตี้ไม่แพ้เลยในเกมที่แมนซิตี้มีโรดรีอยู่ในสนาม บ่งบอกได้ชัดเจนแบบ 4K ว่าโรดรีสำคัญขนาดไหนกับแมนซิตี้และนี่คือสถิติของโรดรีในเกมที่พบกับเชลซีครับสัมผัสบอล 120 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)ผ่านบอล 93 ครั้ง (แม่นยำ 88.2%)ชนะการแทคเกิล 2 ครั้งชนะการดวลลูกกลางอากาศ 2 ครั้งคีย์พาส 1 ครั้ง1 ประตูเด็กเก่าเรือทำแสบเกมนี้คือเกมที่ 2 ของฤดูกาลแล้วที่ทั้งสองทีมได้พบกันและอาจจะพบกันได้อีกครั้ง 3 ในเอฟเอ คัพ แต่ 2 เกมในพรีเมียร์ลีกที่พบกันนั้นจบลงด้วยผลเสมอทั้งสองเกมและมีจุดที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือทั้ง 2 เกมนั้นประตูที่แมนซิตี้โดนยิงใส่นั้นล้วนแล้วแต่มาจากการยิงของเด็กเก่าของพวกเขาทั้งราฮีม สเตอร์ลิงและโคล พาลเมอร์ แถมต้องยอมรับว่าในทั้งสองเกมนี้ทั้ง 2 คนนั้นทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ปั่นป่วนและสร้างอันตรายแมนซิตี้ได้อยู่ตลอดมาเริ่มที่น้องโคล พาลเมอร์ก่อนดีกว่าครับ เพราะเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนในเกมนี้เหมือนกันในตอนที่เขาโดนเปลี่ยนตัวออก ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลังจากนั้นก็เหมือนกับว่าเชลซีไม่มีใครที่จะสร้างอันตรายให้กับแมนซิตี้ได้อีกแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านั้นราฮีมก็โดนเปลี่ยนออกไปแล้วคนนึงและสุดท้ายก็จบด้วยผลเสมอในเกมนี้ ตลอดสองเกมที่พบกันพาลเมอร์นั้นสร้างอันตรายต่อแมนซิตี้ โดยเฉพาะในเกมแรกที่พบกันนั้นเป็นเกมแรกที่พาลเมอร์ได้เจอกับทีมเก่า ทีมที่ปลุกปั้นเขามาหลังจากที่เขาย้ายออกจากแมนซิตี้มาอยู่กับเชลซีในฤดูกาลนี้และเขาก็เป็นคนที่ยิงประตูเสมอจากจุดโทษในช่วงท้ายแบบท้ายจริงๆ ในเกมนั้นช่วยให้จบเกมเชลซีเสมอกับซิตี้ไปแบบสุดมันส์ 4-4 มันทำให้เห็นว่าเด็กคนนี้เก่งกาจมากเพียงใด ความนิ่ง ความสามารถนั้นเขามีเกินอายุจริงๆ เจอทีมเก่าที่เป็นทีมอันดับ 1 ของโลกแต่เล่นได้แบบไม่กลัวและโชว์ฟอร์มได้สุดยอดอีกต่างหาก และนี่คือสถิติของพาลเมอร์ในเกมนี้ครับสัมผัสบอล 30 ครั้งผ่านบอล 20 ครั้ง (แม่นยำ 95%)ชนะการแทคเกิล 2 ครั้งดักบอล 2 ครั้ง (มากที่สุดในทีมร่วมกัลคอนอร์ กัลลาเกอร์)มาต่อกันที่คนที่ยิงประตูให้กับทีมอย่างสเตอร์ลิง เจอทีมเก่าก็ยังสามารถโชว์ได้ดีเหมือนมีบัพเพิ่มขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ฟอร์มผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นัดไหนแย่ก็แย่จนเล่นไม่ออก นัดไหนเล่นดีก็ดีใจหายซึ่งถ้าหากใครยังจำได้ในเกมแรกที่ทั้งคู่เจอกัน สเตอร์ลิงก็ยิงใส่แมนซิตี้ได้เช่นกัน และนี่คือสถิติของสเตอร์ลิงในการเจอกับแมนซิตี้ครับสัมผัสบอล 29 ครั้งผ่านบอล 10 ครั้ง (แม่นยำ 80%)โอกาสยิง 3 ครั้ง (เข้ากรอบ 100%)เชลซีวินัยเกมรับดีมากในเกมนี้สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมอยากชื่นชมลูกทีมของโปเช็ตติโนเป็นอย่างมากนั่นก็คือ "เกมรับ" เกมนี้แผงแบ็คโฟร์ของเชลซีที่ประกอบไปด้วยมาโล กุสโต, อักเซล ดิซาซี, ลีวาย โควิลล์และเบน ชิเวลล์ โดยเฉพาะกุสโตและคู่เซนเตอร์อย่างดิซาซีและโควิลล์ในเกมนี้พวกเขาเล่นได้สุดยอดมากๆ แถมก็ยังมีจอร์เจ เปโตรวิชเฝ้าเสาให้ก็ยิ่งทำให้อุ่นใจขึ้นไปอีกระดับมาเริ่มที่กุสโตกันก่อนดีกว่าครับ ในเกมนี้เขาต้องรับมือกับปีกตัวจี๊ดทีมชาติเบลเยียมอย่างเฌเรมี โดกู แต่ผลลัพธ์ที่เราๆ ได้เห็นก็คือกุสโตนั้นรับมือกับโดกูได้อย่างอย่างเยี่ยมยอดยอดเยี่ยมจริงๆ โดกูแทบจะไม่เลี้ยงไม่ผ่านกุสโตเลย รวมไปถึงเกมรับในส่วนอื่นๆ อีกเช่นกัน นอกจากนี้เกมรุกเขาก็ยังช่วยเติมเกมรุกฝั่งขวาได้ดีเหมือนกันและเกือบมีแอสซิสต์อีกด้วย ถ้าหากแจ๊คสันไม่ทำหมูหกในจังหวะที่เขาปาดให้แจ๊คสันในกรอบเขตโทษในช่วงครึ่งแรกและนี่คือสถิติของกุสโตในเกมที่พบกับแมนซิตี้ครับสัมผัสบอล 67 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)ผ่านบอล 29 ครั้ง (แม่นยำ 86%)ชนะการแทคเกิล 8 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)เคลียร์บอล 10 ครั้ง (มากที่สุดอันดับ 2 ในสนาม)บล็อคลูกยิง 1 ครั้งดักบอล 1 ครั้งคีย์พาส 2 ครั้งมาถึงคู่เซนเตอร์อย่างดิซาซีและโคลวิลล์กันบ้างครับ ในเกมนี้ไม่ว่าแมนซิตี้จะโยนจะบอมบ์เข้ามายังไง จะยิงยัดเข้ามายังไง คู่นี้ก็จะช่วยกันสกัดได้โดยเฉพาะดิซาซีที่ผมให้เป็น Man of The Match ในเกมนี้อีกคนร่วมกับกุสโตเลย (แบบทางการของลีกดิซาซีได้ไป) ในเกมนี้เขาเป็นเหมือนพี่ใหญ่ในแผงเกมรับและคอยประคองน้องโคลวิลล์ได้แบบดีเยี่ยม ความสูงใหญ่และแข็งแกร่งของเขาก็ช่วยประกบเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ได้อีกด้วย ไม่ใช่ว่าโคลวิลล์ในเกมนี้ไม่ดีนะครับ ดีเช่นกันแต่คนที่โดดเด่นออกมาเลยก็คือดิซาซีและกุสโต แต่ภาพรวมแล้วในเกมนี้ต้องชื่นชมเกมรับของเชลซีมากๆๆๆๆ ถึงมากที่สุดที่มีสมาธิ วินัยตลอดทั้งเกม และนี่คือสถิติของดิซาซีในเกมนี้ครับสัมผัสบอล 55 ครั้งผ่านบอล 32 ครั้ง (แม่นยำ 81%)ชนะการดวลลูกกลางอากาศ 4 ครั้ง (100%)เคลียร์บอล 16 ครั้ง (มากที่สุดในสนามและชนะแบบ 100%)บล็อคลูกยิง 3 ครั้งฮาแลนด์ไม่คมในเกมนี้ตลอดทั้งเกม แมนเชสเตอร์ ซิตีมีโอกาสส่องประตูเชลซีไปมากถึง 31 ครั้ง แต่ได้มาเพียง 1 ประตู แถมมาจากการยิงตรงกรอบเพียง 5 ครั้งเท่านั้นซึ่งในเกมนี้หนึ่งในคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ ดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกในตอนนี้ที่ใช้โอกาสได้เปลืองและไม่คมเอาซะเลย ทำให้เป็นที่มาของการที่แมนซิตี้ยิงได้เพียงประตูเดียวในเกมนี้เกมนี้ฮาแลนด์มีโอกาสทั้งโหม่งและง้างเท้ายิงทั้งหมด 9 ครั้งซึ่งใน 9 ครั้งนั้นเขายิงตรงกรอบเพียง 2 ครั้งเท่านั้น นั่นเท่ากับว่าเขายิงหลุดกรอบและติดบล็อคไป 7 ครั้ง โดยคิดเป็น 77.8% เลยทีเดียว และหลังเกมนี้ก็ทำให้เขาพลาดโอกาสทำประตู Big Chance ในพรีเมียร์ลีกขึ้นไปเทียบเท่ากับดาร์วิน นูนเญซของลิเวอร์พูลแล้วที่ 21 ครั้งซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดในลีก ณ ตอนนี้ นอกจากนี้ยังมีสถิติออกมาหลังเกมว่าในบรรดา 9 โอกาสยิงในเกมนี้ ฮาแลนด์มีค่า xG อยู่ที่ 1.71 ซึ่งหมายความว่าเกมนี้ฮาแลนด์ควรจะยิงได้อย่างน้อย 1 ประตู แต่จบเกมเขาไม่มีประตูกลับบ้านเลยแม้แต่ประตูเดียวแต่เชื่อเถอะครับว่า ฮาแลนด์เท้าบอดหรือเท้าเบี้ยวได้ไม่นานหรอก ยังไงก็ยิงได้เป็นกอบเป็นกำเช่นเดิม เกมนี้ก็เป็นแค่เกมแย่ๆ เกมนึงของเขาเท่านั้น ยังมีเวลาให้เขาถล่มตาข่ายคู่แข่งได้อีกเยอะครับ ไม่ต้องห่วง ทีมอื่นๆ เตรียมตัวรับแรงกระแทกให้ฮาแลนด์ระบายได้เลย แถมก็ไม่สามารถโทษฮาแลนด์คนเดียวได้ด้วย เพราะจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ก็พลาดโอกาสทำประตูเช่นกันสถิติที่น่าสนใจหลังเกมแมนเชสเตอร์ ซิตีไม่แพ้เกมพรีเมียร์ลีกในบ้านมาแล้ว 23 เกมติดต่อกัน (ชนะ 18 เสมอ 5) ซึ่ง 7 เกมหลังสุดพวกเขาเสมอไปแล้ว 4 เกม แถมนอกจากนี้มีเพียงเกมเดียวเท่านั้นจาก 7 เกมในบ้านหลังสุดที่พวกเขาแพ้ในเกมที่ถูกคู่แข่งขึ้นนำไปก่อนผลเสมอในเกมนี้เป็นผลเสมอเกมแรกของเชลซีในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ที่พวกเขาเสมอกับแมนซิตี้ในเดือนพฤศจิกายน 2023 ซึ่ง 12 เกมก่อนหน้านี้มีแต่ผลชนะและแพ้ (ชนะ 6 แพ้ 6) และนับเป็นครั้งที่ 2 ในเดือนนี้แล้วที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในเกมที่ขึ้นนำคู่แข่งไปก่อน ก่อนหน้านี้คือเกมที่แพ้ต่อวูล์ฟแฮมป์ตันฯ 4-2ฤดูกาลนี้แมนซิตี้สามารถเก็บแต้มพรีเมียร์ลีกในเกมที่พวกเขาโดนคู่แข่งขึ้นก่อนไปแล้ว 18 คะแนนซึ่งมีเพียงลิเวอร์พูลทีมเดียวเท่านั้นที่เก็บแต้มในเกมที่โดนคู่แข่งขึ้นนำได้ก่อนมากกว่าพวกเขาที่ 19 แต้ม โดยสถิตินี้เป็นสถิติที่เยอะที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่ฤดูกาล 1993/1994 (20 แต้ม)นับเป็นเวลา 11 เกมติดต่อกันแล้วที่เชลซีไม่สามารถเก็บคลีนชีทได้เลยในการพบแมนซิตี้ในพรีเมียร์ลีก มีเพียงการพบกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์สและอาร์เซนอลเท่านั้นที่พวกเขาไม่สามารถเก็บคลีนได้มากกว่าด้วยจำนวนนัด (13 และ 12 เกมตามลำดับ)ราฮีม สเตอร์ลิงยิงไปแล้ว 6 ประตูและมีส่วนกับประตูไปแล้ว 9 ครั้งให้กับเชลซีในลีกฤดูกาลนี้ เทียบเท่ากับที่เขาสามารถยิงให้กับเชลซีได้ในฤดูกาล 2022/2023 ที่เป็นฤดูกาลแรกของเขากับเชลซี นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถทำประตูใส่แมนซิตี้ทั้งเกมเหย้าและเกมเยือนหลังจากที่ย้ายออกจากแมนซิตี้ไปแล้วโรดรีทำประตูในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 20 ประตู นอกจากนี้ยังมีส่วนกับประตูในฤดูกาลนี้ไปแล้ว 9 ครั้ง (ยิง 6 แอสซิสต์ 3) ทำให้เป็นสถิติสูงที่สุดต่อหนึ่งซีซันเทียบเท่ากับในฤดูกาล 2021/2022เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์มีโอกาสยิงในเกมนี้ 9 ครั้งและมีค่า xG อยู่ที่ 1.71 กลายเป็นสถิติสูงที่สุดทั้งในเรื่องจำนวนโอกาสยิงและค่า xG แต่ไม่มีประตูกลับมาเลยนับตั้งแต่เขาลงสนามให้แมนซิตี้ทุกรายการขอบคุณข้อมูและภาพประกอบจากOpta AnalystWhoscoredOfficial Website ของพรีเมียร์ลีกOfficial Facebook ของเชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตีและพรีเมียร์ลีกOfficial X ของพรีเมียร์ลีกภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !