ผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสัปดาห์แรกดูจะไม่มีอะไรพลิกโผและน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เหล่าบิ๊กทีมต่างก็เก็บชัยไปตามคาด แต่สิ่งที่ทำให้คอบอลพรีเมียร์ลีกรวมถึงนักวิจารณ์เริ่มออกมาพูดถึงก็คือกฎพรีเมียร์ลีกใหม่ที่ดูจะเป็นข้อถกเถียงกันอย่างมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากหลายเหตุการณ์ใบเหลืองนักเตะ ผู้จัดการทีม รวมถึงการให้จุดโทษที่หลายครั้งก็ยังคาใจว่าแล้วจะพาไปพูดถึงทีละประเด็นกันสักหน่อยว่ามีอะไรที่ให้พูดถึงและเหล่านักเตะ ผู้จัดการทีม มีอะไรจะต้องปรับตัวกันบ้าง รวมไปถึงสถิติก่อนหน้านี้เรื่องของการถ่วงเวลากันด้วย ว่าเหมาะสมหรือไม่กับการทดเวลาทีมีมากขึ้นในแต่ละเกม มีความจริงเท็จแค่ไหนกับประเด็นที่กำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้1. การทดเวลาที่ดูจะเกินจริงโดยพื้นฐานแล้วผู้ตัดสินจำเป็นต้องทดเพิ่มเวลาเล่นที่เสียไปแต่ละเกม แต่ก่อนหน้านี้สิ่งที่เกิดขึ้นในบางเกมการทำกำหนดเวลาดังกล่าว ไม่ได้นำเวลาที่โดนถ่วงเวลาหรือการดีใจในแต่ละประตูนั้นเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดเวลานั้นด้วย แต่ในฤดูกาลนี้สิ่งดังกล่าวที่ว่ามาข้างต้นได้ถูกนำมารวมเป็นเวลาที่จะทดเพิ่มในแต่ละเกมเข้าไปด้วย ฉะนั้นในฤดูกาลนี้การที่จะได้เห็นในบางเกมมีการทดเพิ่ม 5, 6 หรือ 8 นาทีในช่วงท้ายของแต่ละครึ่งจะกลายเป็นเรื่องปกติโดยการทดเวลานี้ได้นำกฎในฟุตบอลโลกปี 2022 มาใช้ ซึ่งในตอนนั้นเวลาการแข่งขันเฉลี่ยอยู่ที่ 100 นาที 23 วินาที (ไม่รวมช่วงต่อเวลาพิเศษ) ซึ่งนานกว่าเกมพรีเมียร์ลีกทั่วไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว 1 นาที 56 วินาที นี่อาจฟังดูไม่มากนัก แต่สัญญาณเริ่มต้นสิ่งต่าง ๆ จะมีเพิ่มยิ่งขึ้นในฟุตบอลสโมสร ในเกมคอมมูนิตี้ชิลส์ซึ่งเป็นเกมแรกที่ได้เริ่มใช้กฎนี้ นั่นทำให้ในเกมนั้นใช้เวลาแข่งขันไป 105 ในครั้งแรก และ 45 นาทีในครึ่งหลัง มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงพอมองออกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นคืออะไรภาพรวมของพรีเมียร์ลีกอาจจะทำให้เข้าใจง่ายกว่า โดยจาก 35 เกมในพรีเมียร์ลีก, ลีกวันและลีกทูในช่วงสุดสัปดาห์เปิดฤดูกาลนี้ มีเพียงสองเกมเท่านั้นที่เล่นน้อยกว่า 100 นาที แต่สิ่งที่ผู้จัดการแข่งขันได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้คือเหล่าแฟนบอล ที่จะได้ชมเกมที่ไหลลื่นขึ้นรวมถึงการได้ชมเกมที่ยาวนานขึ้นเช่นกัน แต่ในทางกลับกันกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็คือตัวนักเตะที่ต้องใช้พลังงานในแต่ละเกมนั่นเอง2. แย้งคำตัดสิน-แสดงท่าทางคุกคามเชื่อว่าหลายคนที่ได้ชมเกมพรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ผ่านมา คงได้เห็นใบเหลืองปลิวว่อนกันทั่วสนามเป็นแน่ เพราะไม่ว่าจะพฤติกรรมเพียงเล็กที่อาจจะเป็นการเห็นแย้งกับคำตัดสิน หรือแม้กระทั่งการขอใบเหลืองจากการโดนทำฟาวล์ ตัวเองก็จะได้รับใบเหลืองไปแบบงง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงผู้เล่นเท่านั้น แม้แต่ผู้จัดการทีมเองก็ไม่รอดเช่นกัน เหตุผลสำคัญที่พรีเมียร์ลีกได้นำกฎนี้เข้ามาใช้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการเคารพและการให้เกียรติผู้ตัดสิน ที่มักจะถูกคุกคามในสนามฤดูกาล 2022 – 2023 ได้เห็นการแจ้งใบเหลือง-ใบแดงไปทั้งหมด 88 และมากกว่า 13 ใบเป็นการให้ใบเหลืองมาจากพฤติกรรมที่แสดงการละเมิดต่อผู้ตัดสินไม่ว่าจะเป็น ภาษาหยาบคาย หรือการโต้เถียง ขัดแย้งในเกมพรีเมียร์ลีก จากการบันทึกข้อมูลของOpta มีการแจกใบเหลือง-แดง จากพฤติกรรม การละเมิดผู้ตัดสิน ภาษาหยาบคาย หรือไม่เห็นด้วยมากที่สุดคือ 159 ใบในปี 2016-2017 ซึ่งร้อยละ 98 เปอร์เซนที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากผู้เล่นแทบทั้งสิ้นจากกฎที่เกิดขึ้นนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เหล่ากูรูมองว่าเปนสิ่งที่ดีต่อวงการลูกหนังที่จะเคารพผู้ตัดสินในสนาม รวมถึงเป็นการลดเหตการณที่กรูเข้าไปกดดันผู้ตัดสิน เพื่อลดภาวะที่อาจจะเกิดควารุนแรงในเกมตามาด้วย ในมุมมองส่วนตัวหากกฎนี้ถูกนำมาใช้อย่างจริงใจกับลีกในประเทศไทยก็คงดี3. การถ่วงเวลาของผู้รักษาประตูชัดเจนว่าผู้รักษาประตูคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญเรื่องของการใช้เวลาในแต่ละเกมที่มากเกินควร ในจังหวะที่ตั้งแตะลูกจากกรอบประตู โดยทุกแมตช์เสียเวลาเฉลี่ยมากกว่า 7 นาที หลายคนอาจจะแย้งว่า “มันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” แต่อย่าลืมว่ายิ่งเหมที่ต้องการผล หรือทีมที่ด้อยกว่าได้เปรียบเรื่องประตู สิ่งนี้จะถูกนำมาใช้บ่อยมากขึ้นในแต่ละเกมตามไปด้วยนับตั้งแต่ปี 2003-2004 มีการแจกใบเหลือง-แดง ให้กับกองหลัง 279 ใบ และกองกลาง 281ใบ มากกว่าผู้รักษาประตู 247ใบ แม้ว่าตัวเลขอาจจะบอกว่าก็ใช่ไง ? เพราะนั่นคือผู้เล่นและมักจะถูกทำฟาวล์ กว่าจะเล่นได้แต่ละครั้งที่ทำฟาวล์ ก็ใช้เวลานานทำให้ถูกใบเหลือง หากเทียบกับผู้รักษาประตูโอกาสน้อยมากที่จะโดนใบเหลือง แต่หากพูดถึงเรื่องเวลากลับกลายเป็นว่าผู้รักษาประตู ใช้เวลามากกว่าในการที่จะเตะลูกตั้งจะได้แต่ละครั้ง นั่นจึงไม่ต้องแปลกใจหากในฤดูกาลนี้ ผู้รักษาประตูอาจจะมีใบเหลืองเพิ่มขึ้นในแต่ละเกมนับจากนี้4. การทำฟาวล์ที่สมเหตุสมผลในเกมฟุตบอลสิ่งที่แฟนบอลอย่ากจะเห็นคือการปล่อยเหมที่ไหลลื่น นั่นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เหล่าผู้ตัดสินต่างก็ปล่อยเกม แต่กระนั้นผู้ตัดสินเองก้ไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่ควรจะเป็นสักเท่าไหร่ ในการประชก่อนของผู้ตัดสินก่อนที่จะเริ่มพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ สิ่งนี้จึงได้ถูกนำมาถกประเด็นขึ้น นั่นจะส่งผลให้นักเตะเองก็ต้องคิดหนักเช่นกันสำหรับการฟาวล์ในแต่ละครั้ง ว่าควรจะหลุดผู้เล่นเหล่านั้นรุนแรงหรือไม่อย่างไร เพราะหารุนแรงไปแน่นอนว่าต้องตามาด้วยใบเหลืองในฤดูกาลนี้ ฤดูกาล 2021-2022 มีการทำฟาวล์เฉลี่ย 20.2 ครั้งทุกนัด ซึ่งน้อยที่สุดสำหรับทั้งฤดูกาล เท่าที่สถิติที่ย้อนกลับไป มีเพียง 1 ใน 3 ฤดูกาลเท่านั้นที่มีการทำฟาวล์น้อยกว่า 21 ครั้งในแต่ละเกม ส่วนฤดูกาลอื่นๆ คือฤดูกาล 2017-2018 มีการฟาวล์ 20.7 ต่อนัด และ 2018-2019 มีการฟาวล์ 20.4 ต่อนัด นั่นแสดงให้เห็นว่าในฤดูกาลนี้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเกมก็คือฟุตบอลไม่ใช่การถ่วงเวลา เพื่อให้เกมหยุดเหมือนอย่าที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไปแม้ว่าในหลาย ๆ สิ่งอาจจะยังไม่ชินหรือบางอย่างอาจจะดูขัดกับความรู้สึกไปบ้าง แต่ยังไงกฎใหม่ที่ว่าก็เพื่อป้องกันการเอาเปรียบของฝ่ายที่ได้เปรียบ รักษาผลประโยชน์ของทีมที่เสียเปรียบ รวมถึงการที่แฟนบอลเองก็ได้จะได้ชมเกมที่ไหลลื่น และสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกฎพรีเมียร์ลีกใหม่ส่วนหนึ่งก็มาจากแฟนบอลด้วยเช่นเดียวกัน ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าเหล่าทีมนะพรีเมียร์ลีกจะปรับตัวอย่างไรกับกฎที่เพิ่มขึ้นมาในฤดูกาลนี้กันบ้างข่าวที่เกี่ยวข้องเจาะปัญหา อาร์เซนอล พลาดตรงไหนในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-2023จุดเปลี่ยน อาร์เซน่อล วิบากกรรมที่ต้องผ่าน หากยังอย่างไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกแมนซิตี้ vs อาร์เซนอล โหมโรงแชมป์แรก ปืนโตต้องข่มขวัญเปิดสถิติ 4 ทีมที่อาจจะทำให้ อาร์เซนอล พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยส่องสถิติ 3 แมตซ์ที่อาจชี้ชะตา "อาร์เซนอล" สู่เส้นทางแชมป์พรีเมียร์อาร์เซนอล Vs ลิเวอร์พูล รวมประเด็นเด็ดก่อนเกม บทพิสูจน์สองโคตรทีมที่ต่างกัน เคริดตภาพปก premierleague.com :: ภาพปกเครดิตภาพประกอบ :: ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3 , ภาพที่ 4 , ภาพที่ 5 , ภาพที่ 6 ,ภาพที่ 7 , ภาพที่ 8ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !