TRUE TALK : เกาหลีใต้ 2-0 เยอรมัน สิ้นสุดมลทิน 16 ปีของแข้ง "โสมขาว" ... by "บก.เก้น"

ชัยชนะเหนือ เยอรมัน 2-0 ของทัพนักเตะ “แทกึก วอริเออร์ส” ต่อหน้าสายตานับหลายล้านคู่ทั่วโลก สำหรับผม นี่ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่สุดของทีมจากเอเชียนับตั้งแต่การผ่านทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศของ เกาหลีใต้ (นี่แหละ) เมื่อปี 2002 ที่ผมเองยังเป็นเพียงเด็กมัธยมต้นตัวอ้วนๆ คนหนึ่ง
แน่นอน การจบด้วยอันดับ 4 ในฟุตบอลโลกฉบับเอเชีย เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ล้วนแต่เต็มไปด้วยข้อครหา และมลทินมากมาย ทั้งการตัดสินที่ไม่โปร่งใสเลยแม้แต่น้อย แทคติก และการเล่นอันสกปรกของนักเตะ “โสมขาว” จนทำให้แฟนบอลทั้งโลก “ไม่เคย” ยอมรับในความสำเร็จของ เกาหลีใต้ ในครั้งนั้น
“Invisible Success” ความสำเร็จเร็จนี้ไม่เคยมีใครมองเห็น ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง
นั่นคือ ตราบาป ที่ติดตัวนักเตะเกาหลีใต้ รวมถึงแฟนบอล “โสมขาว” ทุกคนมาจนถึงวันนี้
กระทั่งการจุติของนักเตะที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดของเอเชียในปัจจุบัน อย่าง ซน ฮึง-มิน ที่ไปพิสูจน์ตัวเองในลีกที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
47 ประตูตลอด 3 ฤดูกาลกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คือเครื่องยืนยันถึงความเก่งกาจของดาวเตะวัยเบญจเพสรายนี้เป็นอย่างดี
เมื่อบวกกับนักเตะรายอื่นๆ ที่ตบเท้าเดินทางไปเพาะบ่มฝีเท้าในยุโรปทั้งกัปตันทีมอย่าง กี ซุง-ยอง (สวอนซี), คู จา โชล (เอาก์สบวร์ก), ฮวาง ฮี-ชาน (เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก) และอี ซึง วู เจ้าของฉายาเมสซี่แห่งคาบสมุทรเกาหลี (เวโรน่า) ผนวกกับนักเตะตัวหลักที่ไปค้าแข้งในลีกที่ดีที่สุดในเอเชียอย่าง เจลีก อีกราว 5 คน แน่นอน หากวัดกันที่ประสบการณ์ ทีมชาติเกาหลีใต้ ชุดนี้ถือว่ากลมกล่อมไม่น้อย หากวัดกับตัวแทนจากเอเชียทีมอื่นๆ ที่พาตัวเองมาอวดฝีเท้าใน เวิลด์ คัพ ฉบับ แดนหมีขาว
แต่ด้วยฟอร์มในช่วงการอุ่นเครื่องที่พวกเขาต้องประสบกับความปราชัยไปถึง 4 จาก 6 นัดตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายๆ คนต่างพากันสรุปแล้วว่า เกาหลีใต้ คงเป็นได้เพียงแค่ไม้ประดับ เป็นทีมแจกแต้มในกลุ่ม F ที่เต็มไปด้วยกระดูกบอลชิ้นยักษ์จากคอนคาเคฟอย่าง เม็กซิโก, สวีเดน ที่ปราบทั้ง เนเธอร์แลนด์ และแชมป์โลกสี่สมัยอย่าง อิตาลี มาในรอบเพลย์ออฟ
และที่สำคัญ พวกเขายังต้องเจอกับทีมหมายเลขหนึ่งของโลกในยุคนี้ ที่เดินทางมา รัสเซีย ในฐานะแชมป์โลกทีมล่าสุดอีกด้วย
เอาตรงๆ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าที่กล่าวมาถึงตรงนี้… เกาหลีใต้ จะเก็บแต้มจากฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้อย่างไร ?
เกาหลีใต้ ภายใต้การนำของ “มูรินโญ่ แห่งเอเชีย” อย่าง ชิน แท-ยอง (กูรูฟุตบอลอย่าง จอห์น เดอร์เดน เป็นผู้ตั้งฉายาให้นะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าผมคิดเองหล่ะ ฮา) ลงสนามในเกมแรกพบกับแข้ง “ไวกิ้ง” หรือ สวีเดน ที่ตั้งเป้าเตรียมถลุงพวกเขาอย่างเต็มที่
เรียกได้ว่าเตรียมตั้งหม้อรอต้ม “โสมขาว” กะเอาให้เปื่อยยุ่ยไปเลย
แต่สุดท้าย สิ่งที่เราได้เห็นจากเกมที่ นิชนีย์ นอฟโกรอด กลับเป็นการแลกหมัดสู้กันอย่างสูสี โดยเฉพาะพลังวิ่งสู้ฟัดจนสถิติที่ได้มีการบันทึกไว้จากฟีฟ่าพบว่า แมตช์นี้ เกาหลีใต้ วิ่งรวมกันไปมากถึง 103 กิโลเมตร กว่า สวีเดน จะมาได้ประตูชัยก็ต้องรอจังหวะลูกที่จุดโทษของ อันเดรียส แกรนควิสต์ ทำเอาแข้ง “ไวกิ้ง” ถึงกับหอบแฮ่กๆ เหมือนกัน
แมตช์ที่สอง เกาหลีใต้ ต้องโคจรมาพบกับทีมแกร่งอย่าง เม็กซิโก ที่เพิ่งจะปราบแชมป์โลกทีมล่าสุดอย่าง เยอรมัน มา
แน่นอน แฟนบอลส่วนใหญ่ต่างพากันคาดว่า เกมนี้คงเป็นของทัพ “จังโก้” แบบเบ็ดเสร็จแหงๆ ทั้งในแง่ของคุณภาพนักเตะ กุนซือ ชื่อชั้น รวมถึงประสบการณ์ในการลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของยอดทีมจากคอนคาเคฟทีมนี้
แต่เหมือนกับที่ผมเคยย้ำไว้หลายๆ ครั้งว่า “ฟุตบอลไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ ฟุตบอลไม่ใช่คณิตศาสตร์” ฟุตบอล ไม่เคยมีสูตรสำเร็จในการเอาชนะ
ความประมาทของนักเตะเม็กซิโก เกือบย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาเอง แม้ว่าสุดท้ายสกอร์ที่ออกมาจะเป็น เม็กซิโก ที่เก็บสามคะแนนได้ แต่ถ้าเจาะดีเทลลงไปลึกๆ รวมถึงการเฝ้าติดตามการถ่ายทอดสดผ่านทาง TrueID จะพบว่า เกาหลีใต้ สมควรที่จะมีแต้มจากเกมที่ รอสตอฟ อารีน่า เป็นอย่างยิ่ง
โอกาสลุ้นพังประตูกว่า 17 ครั้ง รวมถึงเปอร์เซ็นต์ผ่านบอลสำเร็จถึง 82 % พร้อมกับสถิติการวิ่งที่เหนือกว่า เม็กซิโก คือสิ่งที่ เกาหลีใต้ ทำได้น่าพอใจท่ามกลางความพ่ายแพ้ 1-2
ถ้าใครได้ติดตามข่าวจะพบว่า หลังจากจบเกมนี้ นักเตะเกาหลีใต้ถึงกับหลั่งน้ำตาในห้องแต่งตัวด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะ ซน ฮึง-มิน ที่ปล่อยโฮออกมาหนักกว่าใครเพื่อน จนท่านประธานาธิบดีแห่งสาฐารณรัฐเกาหลีอย่าง มุน แจ-อิน ถึงกลับต้องมาปลอบใจ
เดินทางมาถึงตรงนี้ เป็นอันแน่นอนว่า ลูกทีมของ ชิน แท-ยอง ร่วงตกรอบเป็นที่แน่นอนแล้ว เฉกเช่นเดียวกับ ซาอุดิอาระเบีย หลังไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลยในสองแมตช์ที่ผ่านมา ในขณะที่ตัวแทนจากเอเชียอื่นๆ อย่าง อิหร่าน ยังมีลุ้นเข้ารอบในนัดสุดท้าย เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น ที่ยังไม่แพ้ใคร แถมเก็บชัยชนะได้อีกด้วย ส่วน ออสเตรเลีย ก็ยังมีแสงสว่างที่ปลายถ้ำนิดๆ ในแมตช์ตัดสิน
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสัญญาณแห่งความล้มเหลวอีกครั้งของอดีตแชมป์เอเชียสองสมัยอย่าง เกาหลีใต้…
เป็นเรื่องธรรมดาที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์มักจะตามมาทันทีที่เราล้มลง อ่อนแรง และล้มเหลว นักเตะเกาหลีใต้ชุดนี้เริ่มโดนโจมตีถึงแทคติก ความเด็ดขาด สภาพจิตใจ รวมถึงการโดนเปรียบเทียบจากความสำเร็จ (ที่ว่ากันว่า เปื้อนมลทิน) เมื่อ 16 ปีที่แล้ว บ้างก็บอกว่านี่คงเป็นคำสาปที่ตกทอดมาตั้งแต่ปี 2002 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ จนทำให้ทัพลูกหนัง เกาหลีใต้ (ชุดใหญ่) แทบจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (ไม่นับเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอน) โดยเฉพาะในเวทีฟุตบอลโลกที่ “แทกึก วอริเออร์ส” คว้าชัยได้เพียงแค่สองเกมจากสิบนัด (2006 – 2014) ก่อนจะเปิดฉาก รัสเซีย 2018
ยิ่งเกมนัดสุดท้ายพวกเขาต้องลงสนามพบกับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์หลังพิงฝา ต้องเดินหน้าล่าฆ่าฟันสถานเดียว
แต่ขึ้นชื่อว่าทัวร์นาเม้นต์ระดับ “ฟุตบอลโลก” เรามักจะได้พบเห็น พบเจอกับเรื่องราวอันเป็นเสน่ห์ และเป็นตำนานให้คนรุ่นหลังกล่าวขานเสมอ
แต่คงไม่มีใครกล้าคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในเกมระหว่าง เกาหลีใต้ กับ เยอรมัน ที่ คาซาน อารีน่า เป็นแน่
ตลอดทั้งเกม เราได้เห็นเกมรุกของ เยอรมัน ที่ขึงเข้าใส่นักเตะเกาหลีใต้ตั้งแต่วินาทีแรกของเกม จนแข้งแชมป์โลกสี่สมัยมีโอกาสจบสกอร์มากถึง 26 ครั้ง แต่เหลือเชื่อว่า 26 ครั้งนั้น แนวรุกเยอรมันเจอแข้งพลังโสมบล็อคไปถึง 9 ครั้งด้วยกัน
บวกกับความมหัศจรรย์ถูกที่ถูกเวลาของ โช ยอน-วู นายทวารจาก แดกู เอฟซี ที่ก่อนฟุตบอลโลกจะเปิดฉาก เขาถูกวางไว้เป็นเพียงแค่ผู้รักษาประตูมือสามเท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่เขาได้สร้างไว้ในนัดนี้ สามารถเป็นคำตอบแทนทุกข้อสงสัยจากแฟนบอลทั้งโลกได้ว่า เหตุใด ชิน แท-ยอง ถึงกล้าเสี่ยงเลือกใช้บริการนายด่านที่มีประสบการณ์ในสีเสื้อทีมชาติน้อยที่สุดหากเทียบกับผู้รักษาประตูรุ่นพี่อีกสองคน
โช ยอน-วู เนรมิตเกมที่ คาซาน ให้กลายเป็นวันของเขาอย่างแท้จริง การปฏิเสธลูกยิงนับครั้งไม่ถ้วนของสตาร์เยอรมัน ทุกเซฟที่เจ้าตัวพุ่งปัด พุ่งรับ มันไม่ใช่แค่การช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเจ้าตัวเท่านั้น แต่มันเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเพื่อนร่วมทีมทั้ง 23 คน รวมถึงเหล่าทีมสต๊าฟ และแฟนบอลเกาหลีใต้ทั้งโลกไปในตัว
พอไม่เสีย เกาหลีใต้ ก็มีกำลังใจที่จะมีหมัดสวน เผอิญว่าหมัดสวนของทัพ “โสมขาว” มันกลับหนักพอที่จะทำให้ “อินทรีเหล็ก” ถึงกลับต้องปีกหักกลับบ้านเร็วกว่าที่ใครคิด
ลูกยิงระยะเผาขนของ คิม ยอง-กวอน รวมถึงจังหวะสปีดของ ซน ฮึง-มิน เข้าไปยิงปิดเกมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ได้เปลี่ยนมิติฟุตบอลโลกครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง
ไม่มีอีกแล้วคำว่า ฟีฟ่า แรงกิ้ง ที่เหนือกว่า ไม่มีอีกแล้วกับคำว่าสมันน้อยจากเอเชีย ไม่มีอีกแล้วกับคำว่าแกร่งทั่วแผ่น มาตรฐานของทุกๆ ทีมในฟุตบอลโลกครั้งนี้มันสูงกว่าที่หลายๆ คนคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ
ทันทีที่เสียงนกหวีดสุดท้ายจาก มาร์ค ไกเกอร์ เชิ๊ตดำจากเมืองลุงแซม (คนที่ตกเป็นข่าวว่าขอเสื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในเกม โมร็อกโก – โปรตุเกส นั่นแหละครับ) จบลง น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ และภาคภูมิใจของทัพ “โสมขาว” มันได้โพยพุ่งออกมาราวกับน้ำพุแห่งความสำเร็จ ใครจะไปเชื่อว่า เกาหลีใต้ ทีมอันดับที่ 57 ของโลกจะสามารถเอาชนะแชมป์โลกเมื่อสี่ปีที่แล้วอย่าง เยอรมัน ได้อย่างเด็ดขาด ปราศจากมลทิน และไร้ข้อครหาทั้งปวง
สำหรับ เกาหลีใต้ ชัยชนะเหนือ เยอรมัน ในวันนี้…
มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ “สามคะแนน” ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเท่านั้น
มันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเอาชนะทีมที่เคยคว้า “แชมป์โลกสี่สมัย” และถูกยกให้เป็นทีมหมายเลขหนึ่งของโลกในยุคปัจจุบันอย่าง เยอรมัน
แต่มันคือ “จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ” ที่ช่วยเชิดชูศักดิ์ศรีของวงการลูกหนังเอเชียให้กลับมาสง่างามอีกครั้งดั่งที่ ญี่ปุ่น, อิหร่าน, ซาอุดิอาระเบีย และออสเตรเลีย ทำให้ทุกคนประทับใจ
สำคัญที่สุด… มันคือการลบล้างข้อครหา มลทิน และตราบาปที่ตามหลอกหลอนพวกเขามาถึง 16 ปีของแข้ง “โสมขาว” ให้มลายหายไป ด้วยหัวใจ และฝีเท้าของพวกเขาเอง
หมายเหตุ – ชัยชนะของ เกาหลีใต้ ทำให้เรารู้ว่า ในชีวิตจริง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งที่ไหนที่คงอยู่ตลอดกาล ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาอย่างง่ายดาย ทุกอย่างล้วนแต่ต้องถูกแลกมาด้วยความทุ่มเท การลงมือทำ ความมุ่งมั่น และจริงจัง มิเช่นนั้น ก็คงไม่มีวันที่เราจะได้ยิน ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้อย่างแน่นอน
“บก.เก้น”
โปรแกรมการแข่งขัน พร้อมช่องถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2018
ดูฟุตบอลโลก 2018 ย้อนหลัง เต็มแมตช์ สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าทรู
ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports