ลองผิดลองถูก : ย้อนรอย 12 กองหน้าไทยของ "ฉลามชล" นอกเหนือ พิภพ อ่อนโม้ ก่อนคิวเจ้าตี๋ ... by "จอน"
TRUE OPINIONS : เซ็นสัญญาร่วมทัพ ชลบุรี เอฟซี เรียบร้อยสำหรับ “เจ้าตี๋” อภิชัย หมั่นอุตส่าห์ หัวหอกเลือดสยามที่ไปโต และเล่นฟุตบอลอาชีพที่ประเทศสวีเดนกว่า 15 ปี ก่อนจะได้กลับบ้านเกิดสมใจอยาก หลังโชว์ฟอร์มประทับใจทีมงาน “ฉลามชล” ในเกมชิงที่สามของทัวร์นาเมนต์ปรีซีซั่น ช้าง อินวิเตชั่น 2018
เพียง 25 นาทีที่ได้รับโอกาส เขากลายเป็นหนึ่งในหัวหอกความหวังของเหล่าแฟนบอล “เดอะบลูชาร์ค” ยักษ์หลับที่หวังตื่นจากภวังค์ ขึ้นมาคว้าแชมป์สักใบประดับตู้โชว์ที่ดินแดนติดริมชายทะเลอ่าวไทยอีกครั้ง
ที่ผ่านมา แฟนบอลฉลามชล ทราบดีว่า ชลบุรี เอฟซี พยายามเสาะแสวงหาหัวหอกชาวไทย ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทน พิภพ อ่อนโม้ โคตรดาวยิงระดับตำนานของทีม มานานหลายปี โดย พิภพ ที่อยู่กับทีมมาเกิน 10 ปี ตอนนี้ก็มีวัยย่าง 39 ปีเข้าให้แล้ว แต่การค้นหายังไม่คลิ๊กเท่าไร บ้างก็ระเห็จออกจากทีมไป บ้างก็ไม่ได้รับโอกาส บ้างก็ไม่เข้ากับระบบทีม บ้างก็ถูกผ่องถ่ายไปเล่นด้านข้าง ทั้งที่เล่นกองหน้ามาตลอดช่วงฟุตบอลนักเรียน บ้างก็โชว์ฟอร์มไม่ออกซะดื้อๆ
และนั่นก็ทำให้ ชลบุรี เอฟซี มักจะใช้กองหน้าต่างชาติเป็นส่วนใหญ่มานานหลายปี หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านหลายชาติทั้งโลก มีทั้งยุโรป และละตินอเมริกา รวมถึงนักเตะจากโซนแอฟริกาด้วย ทั้ง เนย์ ฟาเบียโน่, จูเลส บาก้า, ติอาโก้ คุนญ่า, ลูโดวิช ทาคาม, โธมัส ดอสเซวี่, อีวาน บอสโควิช, ซามูเอล อาจายี่, ฆวน เกวโร่, เลอันโดร อัสซัมเซา, โรดริโก ้เวอร์จิลิโอ, เรนาน มาร์เกวซ, ปรินซ์ อัมพ็องซ่า โดยมีกองหน้าไทยปักหลักยืนยาวแค่คนเดียว นั่นคือ พิภพ อ่อนโม้ คอยสแตนด์บายอยู่ข้างสนาม และยังมองไม่เห็นว่าจะมีใครก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทน “กัปตันกบ” รายนี้ได้แบบถาวรสักที
ซึ่งที่ผ่านมา จะมีใครบ้าง ที่เคยถูกตั้งความหวังไว้
และแต่ละคน โชว์ฟอร์มเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามได้เลย
กีรติอุส บุตรจากทะเลแห่งทัพฉลามชล : กีรติ เขียวสมบัติ
ตัวใหญ่ สายตั๊น ดีกรีทีมชาติไทย ที่ใครหลายคนมักจะแซวว่า มีโค้ชเพียงคนเดียวในประเทศนี้ที่มีคู่มือการใช้งาน นั่นคือ “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภ โดย กีรติ เขียวสมบัติ โชว์ฟอร์มได้ดี กับการเป็นซูเปอร์ซับในเลกแรก ซีซั่น 2015 ซึ่งเขาลงเล่นไปทั้งหมด 10 เกม เป็นตัวจริงเพียง 4 นัด แต่ซัดไปถึง 6 ประตู ทว่าท้ายที่สุด ด้วยสัญญา ทำให้เขาต้องย้ายกลับสโมสรต้นสังกัดอย่าง พีทีที ระยอง ช่วงเลกที่สอง ทำให้การกดปุ่มค้นหามือปืนชาวไทย เบอร์หนึ่งของทีม ต้องเสิร์ชชิ่งกันต่อไป
กองหน้าตีนจรวด ฟอร์มพระกาฬในวัยเยาวชน ที่ต้องแปลงร่างเป็นปีก
: นูรูล ศรียานเก็ม และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์
กรุ๊ปนี้มีอยู่ 2 ราย ที่มีโครงสร้างการเติบโตในวงการลูกหนังคล้ายๆ กัน นั่นคือ เป็นกองหน้าในระดับเยาวชน เติบโตจากโรงเรียนผลิตบุคคลลูกหนังของชลบุรี เอฟซี และมีดีกรีติดทีมชาติไทย รุ่นเล็ก ซึ่งถูกตั้งความหวังว่า จะกลายเป็นตัวเลือกในแดนหน้าให้กับ “ฉลามชล” ในอนาคต แต่ท้ายที่สุด ด้วยความตัวเล็ก มีความเร็ว และเบียดตำแหน่งหัวหอกกับต่างชาติไม่ได้ ก็ทำให้ต้องกลายเป็นผู้เล่นทางกราบในที่สุด
นูรูล ศรียานเก็ม ปีกกึ่งกองหน้า ผลผลิตจากอัสสัมชัญ ศรีราชา ที่มี พิภพ อ่อนโม้ เป็นไอดอล เราทุกคนต่างก็ได้เห็นแล้วว่า ตำแหน่งกองหน้า น่าจะไม่ใช่พื้นที่ที่ดีที่สุดของ “เจ้านู” หากแต่เป็น “ปีกขวา” นั่นเอง และด้วยฟอร์มยอดเยี่ยมในระดับสโมสร ก็ทำให้ซีซั่นนี้ เขาได้ย้ายไปโชว์ความพระกาฬด้านขวาที่ การท่าเรือ เอฟซี ด้วยค่าตัวกว่า 20 ล้านบาท
เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ เจ้าหนุ่มเครางามจากสุราษฎร์ธานี เขาเดินหน้าล่าความสำเร็จกับ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ในระดับฟุตบอลนักเรียน จนกระทั่งติดทีมชลบุรี เอฟซี คว้าแชมป์โค้กคัพ ครั้งที่ 14 โดยช่วงตอนเด็ก เขาเป็นกองหน้าอีซ้ายระดับตัวท็อป และก้าวขึ้นมาอยู่ทีมชุดใหญ่ของชลบุรี หลังถูกปล่อยยืมไปให้กับหลายสโมสรทั้ง ศรีราชา เอฟซี, อีสาน ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี แต่ด้วยสรีระ และระบบฟุตบอลที่เอื้อให้เกิดโมเดลการเล่นหน้าเป้าคนเดียว ทำให้เขากลายเป็นอีกคนที่กลายร่างเป็นผู้เล่นทางกราบอย่างเต็มตัวทั้งกับทีมชาติ และสโมสร
ตัวฮอตลีกรากหญ้า ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันในรังฉลามร้าย
: สุกรี อีแต, อัครวินท์ สวัสดี และ กฤต ภวภูตานนท์
กลุ่มนี้มีอยู่ 3 ราย ซึ่งโด่งดังมาจากการเล่นให้ทีมในลีกรากหญ้า ก่อนขึ้นลิฟท์ก้าวมาสัมผัสหญ้าผืนใหม่ที่เรียกว่า ไทยลีก แต่ท้ายที่สุด แรงเสียดทาน ความกดดัน ความแข็งแกร่ง ก็ส่งผลให้เขาทั้งสาม โชว์ฟอร์มไม่ออกกับชลบุรี และต้องออกจากทีมในท้ายที่สุด
สุกรี อีแต เจ้าของฉายา “จรวดกอและ” เขาลงเล่นให้จังหวัดนราธิวาสบ้านเกิด ตั้งแต่สมัยเป็น โปรวินเชียล ลีก จนกระทั่งลีกรากหญ้าก็เล็กไป เมื่อพาทีมเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 และถูก ชลบุรี ดึงตัวมาร่วมทีม
สุกรี เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองในเวลาอันสั้น ด้วยทีเด็ดการยิงประตู รวมถึงความคล่องตัว ความเร็ว เข้าฮอสได้ดี การกระชากลากเลื้อยก็ไม่ได้ขี้เหร่ แต่ท้ายที่สุด อาการบาดเจ็บก็บั่นทอนอนาคตเขา จนทำให้ถูกปล่อยตัวให้กับหลายทีมยืมใช้งาน ทั้ง ภูเก็ต เอฟซี, บางกอก เอฟซี, นรา ยูไนเต็ด และ ชัยนาท ฮอร์นบิล ก่อนจะหมดสัญญากับชลบุรี ในท้ายที่สุด
อัครวินทร์ สวัสดี เจ้าของลูกยิงบรรลือโลกในเกมที่ เชียงราย ยูไนเต็ด เปิดบ้านชนะ บาหลี ยูไนเต็ด 2-1 ในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 รอบเพลย์ออฟ โดยก่อนจะมีชื่อเสียงอย่างวันนี้ เขาเคยล้มเหลวมาแล้วกับ ชลบุรี เอฟซี
“เจ้านิว” โด่งดังมาตั้งแต่ปี 2011 ด้วยการโชว์ฟอร์มสุดพีค กดไปถึง 19 ประตูจาก 20 เกม ให้กับ “ปลากัดนักสู้” ฉะเชิงเทรา เอฟซี จนคว้าดาวซัลโวของลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 โซนภาคกลาง และภาคตะวันออก ก่อนที่เขาจะได้โอกาสขึ้นลิฟท์สู่ ชลบุรี ในปี 2012 และได้พบกับไอดอล “พิภพ อ่อนโม้” ที่เขาหวังว่าจะเป็นตัวแทนในถิ่นฉลามให้ได้
แต่อะไรๆ ก็ไม่เหมือนที่คิด เขาได้ลงสนามเพียงหยิบมือ และยิงในบอลถ้วยได้ลูกเดียว ก่อนจะถูกปล่อยให้ ระยอง เอฟซี และ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ยืมตัวไปใช้งาน ก่อนจะผันตัวเองมากลายเป็นดาวยิงชาวไทยเบอร์หนึ่งของ “กว่างโซ้งมหาภัย” ในขณะนี้
กฤต ภวภูตานนท์ อีกคนที่โด่งดังมาจากลีกรากหญ้า กับสโมสรเพชรบูรณ์ เอฟซี และ ศรีสะเกษ ยูไนเต็ด ซึ่งเขาซัดไปถึง 20 ประตู ในฤดูกาล 2015 ก่อนได้ขึ้นลิฟท์อีกคนกับ ชลบุรี เอฟซี แต่เขามีปัญหา ปรับตัวไม่ได้ ทั้งซีซั่น ได้ลงสนามแค่ 11 เกม และทำประตูไม่ได้เลย จนถูกปล่อยไปเล่นเอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ กับ หนองบัวพิชญ เอฟซี แบบยืมตัว เมื่อปีที่ผ่านมา
ฟอร์มโหดแค่เพียงตอนเด็ก
: วานิช ใจแสน, อนุวัฒน์ นาคเกษม และ เปรมวุฒิ วงศ์ดี
สามกองหน้าที่มาจากอะคาเดมี่ของ ชลบุรี เอฟซี และโชว์ฟอร์มสุดพีคในฟุตบอลระดับขาสั้น แต่ไปไม่ถึงฝันในระดับอาชีพ
วานิช ใจแสน โคตรดาวยิงจากอัสสัมชัญ ศรีราชา ที่เคยมีฉายาว่า “ฟาวเลอร์เมืองไทย” เขาเป็นหัวหอกผู้กดประตูชัยให้โรงเรียนเอาชนะ โรงเรียนราชวินิต บางแก้ว คว้าแชมป์ฟุตบอลนักเรียน 18 ปี ก. ได้สำเร็จเมื่อ 8 ปีที่แล้ว รวมถึงเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอล 7 สี อีกด้วย
เขาถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่พร้อมกับ นูรูล ศรียานเก็ม และแม้จะเริ่มต้นช่วงแรกได้อย่างน่าสนใจ แต่สุดท้าย ก็ไม่คงเส้นคงวา บวกกับไม่ค่อยได้โอกาสลงสนามมากนัก ทำให้ถูกปล่อยยืมบ่อยครั้ง จนหลุดออกจากทีมไปในที่สุด
“บอมบ์” อนุวัฒน์ นาคเกษม นี่ก็อีกคนที่โหดจริงๆ ตอนเด็ก เขาคือนักเตะยอดเยี่ยม คือดาวซัลโว ของอัสสัมชัญ ศรีราชา ชุดแชมป์ กีฬา 7 สี และเมื่อหลุดวงโคจรฟุตบอลนักเรียน เขาก็ได้เริ่มต้นฟุตบอลอาชีพกับ ศรีราชา เอฟซี ก่อนซัดไป 18 ประตูในลีกรอง จนทำให้ชลบุรี ต้องคว้าตัวมาร่วมทีม แต่ด้วยอาการบาดเจ็บ และฟอร์มที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้เขาแทบไร้โอกาสการลงสนามให้กับชลบุรีเลย ก่อนถูกส่งให้ ราชบุรี, สงขลา ยูไนเต็ด และ พีทีที ระยอง ยืมตัว จนถูกขายขาดในที่สุด
คนสุดท้ายในกรุ๊ปนี้ “เปรมวุฒิ วงศ์ดี” เขาเคยถูก คาร์ลอส อัลแบร์โต แปร์ไรร่า อดีตกุนซือทีมชาติบราซิล ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 ขนานนามว่า “โรนัลดินโญ่เมืองไทย” เมื่อครั้งที่ได้ไปฝึกฟุตบอลที่บราซิล สมัยคว้าแชมป์ โค้กคัพ ครั้งที่ 14 กับชลบุรี เอฟซี
เปรมวุฒิ เป็นดาวเตะอัจฉริยะในวัยเด็ก เขาเล่นเกมรุกได้ทุกตำแหน่ง เขามีทักษะ และพรสวรรค์เต็มเปี่ยม ทำให้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ทว่าสุดท้าย ชีวิตของ “เจ้าฮาร์ท” ที่หลง แสง สี เสียง โฟกัสชีวิตกลางคืนมากกว่าความมั่นคงในสนามหญ้าสีเขียว ก็ทำให้เขาต้องคืนพรสวรรค์ที่ได้มาฟรีๆ ไปเสียหมด
ไม่ปังอย่างที่คิด : ไกรกิตติ อินอุเทน
“เจ้าโด้” อดีตหัวหอกดาวรุ่งสุดๆ ของ พนักงานยาสูบ (ที่เปลี่ยนชื่อเป็น ทีทีเอ็ม เอฟซี ในช่วงเวลาต่อมา) เขายิงประตูเป็นว่าเล่นให้กับ “สิงห์อมควัน” จนถูกเรียกเข้าแคมป์ทีมชาติไทยช่วงที่ ไบรอัน ร็อบสัน คุมเมื่อปี 2553 ก่อนได้ย้ายกลับบ้านเกิด ชลบุรี เมื่อปี 2012 ด้วยความหวังสุดๆ ของแฟนบอล แต่ความหวังที่จะปัง กลับแป้กไม่เป็นท่า เมื่อเขาไม่สามารถเค้นฟอร์มที่ดีออกมาได้ แถมยังไม่ค่อยได้ลงสนามมากนัก จนถูกปล่อยยืมไปให้กับ หลายทีม ทั้ง “วัวชนแดนใต้” สงขลา ยูไนเต็ด, ชัยนาท ฮอร์นบิล และ ตราด เอฟซี ก่อนจะอยู่กับ ไทยฮอนด้า และ แพร่ ยูไนเต็ด ในปีล่าสุด
อายุเจ้ายังน้อยนัก : สิทธิโชค ภาโส
ใกล้เคียงกับคำว่า “นิว ธีรศิลป์” ที่สุดแล้วในยุคนี้ สำหรับ “เจ้าย้า” สิทธิโชค ภาโส กองหน้าดีกรีทีมชาติไทย ชุดยู-19 โดยเขาเพิ่งผ่านพ้นวัย 19 ปี มาหมาดๆ และกำลังช่วยทีม “ฉลามชล” ในศึกฟุตบอล โค้กคัพ เยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย 2017 ที่ผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว
แต่แม้จะเคยผ่านการลงสนามให้กับ ชลบุรี เอฟซี ชุดใหญ่มาแล้ว และเคยสัมผัส เจ ลีก สาม กับ คาโงชิม่า ยูไนเต็ด ที่ญี่ปุ่น เมื่อปีที่ผ่านมา จนหลายคนจับตามอง ทว่าด้วยอายุ และกระดูกบอลนั้น คาดว่าเขายังต้องรอคอยการเสริมสร้างกระดูกอีกสักนิด หากคิดจะยึดตัวจริงถาวรในรัง “บลูชาร์ค”
12 นาทีทั้งซีซั่น : อดิศักดิ์ ศรีกำปัง
สถิติค่อนข้างชัดเจนสำหรับการเข้ามาเป็นอะไหล่ของ อดิศักดิ์ ศรีกำปัง กองหน้าวัย 33 ปี เมื่อซีซั่นที่แล้ว เพราะเขาได้โอกาสลงสนามแค่ 12 นาทีในลีก จากการลงเป็นตัวสำรอง 2 นัด ซึ่งแน่นอนว่า ตัวเลขแค่นี้ ย่อมไม่ใช่การถูกคาดหวังให้เป็นตัวหลักแต่แรกอยู่แล้ว และสุดท้ายเขาก็ถูกปล่อยตัวตั้งแต่จบเลกแรกไปอยู่กับ สงขลา ยูไนเต็ด
“จอน”
ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports