รีเซต
แชมป์โลกสมัยที่ 4 ของ อินทรีเหล็ก ปิดฉากฟุตบอลโลก 2014 อย่างสวยงาม

แชมป์โลกสมัยที่ 4 ของ อินทรีเหล็ก ปิดฉากฟุตบอลโลก 2014 อย่างสวยงาม

แชมป์โลกสมัยที่ 4 ของ อินทรีเหล็ก ปิดฉากฟุตบอลโลก 2014 อย่างสวยงาม
ultras malaya
14 กรกฎาคม 2557 ( 12:33 )
11.2K

หลังจากการต่อสู้ฟาดแข้งกันมายาวนานถึง 4 ปี ก็ได้ทีมฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกกันแล้ว นั่นก็คือ พลพรรคอินทรีเหล็ก ทีมชาติเยอรมัน ที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ต่อวงการลูกหนังโลก ด้วยการคว้าแชมป์โลก เป็นสมัยที่ 4 อีกทั้งยังเป็นการคว้าแชมป์บนแผ่นดินลาตินอเมริกา ซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนปราบเซียนของแข้งยุโรปกันมานักต่อนัก ซึ่งทำได้ดีที่สุด ก็คือ รองแชมป์ เท่านั้น แต่ เยอรมัน กลับข้ามพ้นข้อจำกัดเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น อากาศ และ เสียงเชียร์ที่ข่มขวัญสุดๆ ที่หนึ่งของโลก ได้อย่างหมดจด มาดูกันว่า เส้นทางของทีมเยอรมันชุดนี้ เป็นอย่างไรบ้าง 

โดยพลพรรคอินทรีเหล็ก เยอรมัน กับ ฟุตบอลโลก กลายเป็นทีมขาประจำไปทันที หลังจาก ฟุตบอลโลก ปี 2002 ณ ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่ง เข้าได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นทีมที่ถูกมองว่าเป็น ม้านอกสายตา หรือ ไม่สามารถถึงจุดสูงสุดได้อีกแล้ว หลังหมดยุคของ เยอร์เกนน์ คลินส์มันน์, โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ และ อันเดรส ค็อปเค รวมไปถึง เกมที่โดนคู่อริตลอดกาล อย่าง อังกฤษ บุกมาถล่มคาบ้าน 5:1 ในเกมรอบคัดเลือกของโซนยุโรป แต่ด้วยกำลังใจและความมุ่งมั่น ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ถึงตำแหน่งรองแชมป์ ด้วยการนำทัพโดย มิชาเอล บัลลัค, คริสตอฟ เม็ตเซลเดอร์, ธอร์สเทน ฟริงส์, โอลิเวอร์ คาห์น และ มิโรสลาฟ โคลเซ 

พอเข้าสู่ ฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมัน เป็นเจ้าภาพ ทีมชาติเยอรมันก็สร้างปรากฏการณ์กระฉ่อนโลก ด้วยการดึงผู้เล่นยังบลัด สายเลือดใหม่ ติดทีมชาติ เกือบค่อนทีม ซึ่งมองว่าเป็นการเสี่ยงที่ดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ เพราะ มองถึงประสบการณ์ของนักเตะแต่ละคน ดูแล้วเหมือนเด็กอ่อนต่อโลกฟุตบอลขนานแท้ แต่ที่ไหนได้ กลับสร้างผลงานได้น่าพอใจ จนแฟนบอลเยอรมัน เกิดความสมัครสมานสามัคคีกันมากขึ้น ถึงแม้จะได้แค่อันดับที่ 3 ก็ตาม ซึ่งแข้งยังบลัดดังกล่าว ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น นับตั้งแต่นั้นมา อาทิ ลูคัส โพโดลสกี, บาสเตียน ชไวน์สไตน์เกอร์, ฟิลิป ลาห์ม และ แพร์ เมอร์เตซักเกอร์ 

เข้าสู่ ฟุตบอลโลก 2010 ที่ แอฟริกาใต้ พลพรรคแข้งเมืองเบียร์ ก็ได้เตรียมทีมมาอย่างดี แสดงความเป็นทีมชั้นนำมากขึ้น ด้วยการใช้นโยบายการไปล้วงลูกศึกษาข้อมูลในการแข่งขันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศที่น่าจะเป็นปัญหาต่อชาวยุโรป, สภาพการเชียร์ที่ไม่เหมือนที่อื่น โดยเฉพาะ แตรวูวูเซลา ที่สร้างความรำคาญต่อนักเตะ, การเดินทางไปสนามซ้อม สนามแข่ง ที่พัก และ สนามบิน รวมไปถึง กิจกรรมให้นักเตะ ไม่รู้สึกกดดันจนเกินไป นอกจากนี้ยังเอานักเตะสายเลือดใหม่ที่ผ่านการแข่งในระดับเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รวมไปถึง ดาวรุ่งที่โชว์ฟอร์มได้เข้าตา โยอาคิม เลิฟ ติดทีมไปด้วย ซึ่งนักเตะดังกล่าว ไม่ออกอาการตื่นสนามเลย กลับทำผลงานได้สะเด่า พลุแตก กันทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็น เมซุต โอซิล, ซามี เคดิรา, เยอโรม บัวเต็ง, มานูเอล นอยเออร์ และ โธมัส มุลเลอร์ โดยผลงานระดับมาสเตอร์พีซของชุดนี้ ก็คือ การเล่นโต้กลับเร็วที่น่ากลัว ในการเอาชนะ อังกฤษ 4:1 และ ชนะ อาร์เจนตินา 4:0 ล้ม 2 ทีมใหญ่ได้ ไม่ใช่เรื่องปกติมากนัก สำหรับทีมใหญ่ๆ อย่าง เยอรมัน แต่สุดท้ายก็จบเพียงอันดับที่ 3 ไปอีกสมัย 

พอเข้ามาในครั้งนี้ ฟุตบอลโลก 2014 ฉบับแซมบ้า ทีมชาติเยอรมัน ที่มีขุนพลในอายุเฉลี่ยที่ว่ากันว่า พีคที่สุด มากกว่า 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ก็ถูกวางเป้าว่าเป็นทีมเต็งในระดับที่ดูต่ำมาก ซึ่งเป็นรอง บราซิล, โปรตุเกส และ อาร์เจนตินา เนื่องจาก อิทธิพลของแข้งซุปเปอร์สตาร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์, ลิโอเนล เมสซี และ คริสเตียโน โรนัลโด ตามลำดับ พอมองในรอบแรกแล้ว คงจะไม่น่าพ้นเงื้อมมือของแข้งแดนฝอยทอง ที่พีคสุดๆ แต่ที่ไหนได้ เริ่มเกมนัดแรก กลับเป็นฝ่ายสอนเชิงไป 4:0 พร้อมจบด้วยการเป็นที่ 1 ของสาย พร้อมเขี่ย โปรตุเกส ออกไปจากเส้นทางแชมป์โลก อีกด้วย หลังจากนั้นก็เข้าสู่รอบน็อคเอาท์ เยอรมัน ก็ยังสร้างมาตรฐานไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ต้องโคจรมาพบกับ ฝรั่งเศส ที่มีเกมรุกอันจัดจ้าน แต่อย่างไรก็ตาม เยอรมัน ก็ยังสามารถเขี่ย ฝรั่งเศส ออกไปจากเส้นทางแชมป์ได้อีก 1 ทีม 

เข้าสู่รอบตัดเชือก เยอรมัน ต้องมาพบกับทีมเต็งแชมป์ตัวเอ้ อย่าง บราซิล ที่หวังกับครั้งนี้ไว้สูงมาก ซึ่งน่าจะเป็นเกมที่จะถูกหยุดเส้นทางไว้เพียงเท่านี้ แต่ที่ไหนได้ กลับเป็นฝ่ายสอนเชิงว่าการเล่นเป็นทีม ต้องเล่นอย่างไร ต่อทีมเจ้าภาพ ด้วยการเอาชนะไปอย่างถล่มทลาย 7:1 ทำเอาแฟนบอลแซมบ้าร้องไห้กันทั้งประเทศ พร้อมกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ไปอย่างสง่างาม ซึ่งปราการด่านสุดท้ายของ เยอรมัน กับ แชมป์โลกสมัยที่ 4 ด้วยการโคจรมาพบกับทีมเต็งแชมป์ อย่าง อาร์เจนตินา ที่มี ลิโอเนล เมสซี นำทัพ ซึ่งดูทรงเกมแล้ว เยอรมัน น่าจะโดนพลพรรคแข้งฟ้าขาว จัดการอยู่หมัด แต่จนแล้วจนรอด ดวงที่จะเป็นแชมป์ของ เยอรมัน ก็ช่วยให้รอดพ้นจากเกมรุกอันดุดันของ เมสซี และแข้งอาร์เจนไตน์ ได้ จนมาถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ นาทีที่ 112 ประตูสู่แชมป์โลก สมัยที่ 4 ก็เฉิดฉายมาทันที เมื่อ มาริโอ เกิตเซ ตวัดยิงเข้าไป และเป็นประตูประวัติศาสตร์ไปในท้ายที่สุด ซึ่งขุนพลแข้งอินทรีเหล็ก ที่ติดไปนั้น ต่างก็เป็นนักเตะในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ร่วมกับ โอซิล, เคดิรา และ นอยเออร์ อาทิ มัทซ์ ฮุมเมิลส์, เบเนดิกท์ ฮาเวเดส, อังเดร ชูร์เล, โทนี โครส และ มาริโอ เกิตเซ ดาวรุ่งดวงใหม่ของทีม ซึ่งรวมพลังกับแข้งเก๋าๆ แล้ว กลับเป็นทีมที่เล่นกันได้เป็นระบบมากที่สุด ในยุคนี้ 

ท้ายที่สุดแล้ว การเป็นแชมป์โลกในครั้งนี้ น่าจะเป็นอีกครั้งที่น่าจะถูกบันทึกเป็น Golden Moment ของประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกได้โดยไม่ต้องสงสัย แล้วเจอกันใหม่ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ณ ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่ประเทศรัสเซีย นะครับ See You & Bye Bye 


ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ที่
FB : TrueSport TW : True_Sport
คลิกชม ตารางถ่ายทอดสดฟุตบอล ได้ที่นี่

 

เครดิตภาพจาก ESPN 
เรียบเรียงข้อมูลโดย Mo Malaysia 
14.07.14
12:00

ยอดนิยมในตอนนี้