การกลับคืนจากขุมนรกราวกับเกิดใหม่ ของพลพรรคปีศาจแดงหลังพลิกกลับมาเอาชนะแอสตันวิลล่าได้ 3 - 2 เมื่อ 4 วันก่อน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาล พวกเขาน่าจะกลับมาคืนฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง หลังภาษากายของนักเตะล้วนแสดงออกตรงกันว่าต้องการเล่นเพื่อทีม และอยากให้ผจก.ทีมคนนี้ทำทีมต่อไป ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้นแล้ว และสำหรับผมๆมองว่าฟอเรสต์วันนี้คือซวยสุดๆ พวกเขาต้องเปิดบ้านรอรับการกระทำชำเราจากแมนยูเป็นแน่แท้ แต่มันจะเป็นแบบนั้นไหม? มาครับเรามาคุยหลังเกมกัน! 1. แค่จัดตัวก็ไม่เหมือนกับนัดกับวิลล่าแล้วว่ากันว่าฟุตบอลที่ทำมาดีๆอย่าไปเปลี่ยนอะไรมัน แต่ดูเหมือนเอริค เทนฮาร์คกุนซือหัวเหม่งจะไม่คิดเช่นนั้น ใช่ครับ! ตามข่าวบอกว่าฮอยด์ลุนที่เพิ่งยิงประตูแรกเรียกความมั่นใจพร้อมกับน้ำตามาได้ มีอาการป่วย ซึ่งแมนยูไม่รู้เป็นอะไรนะครับที่สนามซ้อมมีเชื้อไวรัสระบาดหรือไงก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ผมสังเกตผมว่านักเตะแมนยูป่วยก่อนแข่่งบ่อยมากเหลือเกิน ทีมอื่นไม่ยักจะเห็นมีข่าวแบบนี้เลย ก็เลยเป็นเหตให้เทนฮาร์คต้องสลับผู้เล่นในแดนหน้า ให้มาคัส แรสฟอร์ดยืนหน้าเป้า แล้วก็โยกกันนาโช่ที่เล่นดีและเด่นมากตอนเล่นฝั่งขวา ย้ายกลับมาเล่นฝั่งซ้าย(ที่เล่นไม่ออก)เหมือนเดิม ส่วนริมเส้นฝั่งขวาก็กลับมาใช้แอนโทนีย์ ที่จวบจนป่านนี้ก็ยังหาฟอร์มเก่งไม่เจอสักที เรียกได้ว่าแค่จัดทีมผลการแข่งโกงตายสุดอลังการแบบ 4 วันก่อน ก็ยากที่จะเกิดขึ้นแล้วครับ 2. รูปเกมครึ่งแรกสุดจืดชืดเงียบเป็นป่าช้าอันนี้เรื่องจริงครับ เพราะระหว่างผมดูอยู่ผมพูดกับตัวเองเลยว่า "งานนี้น่าจะจบ 0 - 0" เพราะดูทั้งสองทีมไม่เน้นที่จะบุกใส่กันเลย จ้องกันไปจ้องกันมา จังหวะได้ยิงจะแจ้งแทบไม่มี โดยฝั่งแมนยูเหมือนตั้งใจจะมาเล่นแบบนี้ คือพวกเขาเล่นแบบเน้นแน่นอนไว้ก่อน แล้วค่อยชิงจังหวะผิดพลาดจากคู่แข่ง กระทุ้งเอาประตูแบบสายฟ้าฟาดตามสูตรบุกริมเส้นที่ตัวเองถนัด ติดก็แค่ฝั่งฟอเรสต์เขารู้ทันน่ะสิครับ ถ้าเขาไม่พลาดคุณจะยิงเขาได้ยังไง 3. การมาของแพะที่ชื่อว่า "แม็คทอมมิเนย์"เขาสู่ช่วงครึ่งหลังกุนซือหัวเหม่งก็โชว์สิ่งที่แฟนบอลทั่วโลกงงออกมา นั่นก็คือการถอดเอาโคบีย์ ไมนูที่เล่นเกมรับออก แล้วส่งสก็อต แม็คทอมมิเนย์ลงไปเล่นเกมรับแทน ซึ่งสำหรับมิดฟิลด์รายนี้นะครับเขาคือคนที่ยิงประตูให้ทีมมากที่สุด เป็นกองกลางที่แทบจะถูกส่งให้ไปยืนสูงพอๆกับกองหน้า บางครั้งผมเห็นเขาแทบจะเล่นเป็นหน้าคู่เลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้บทบาทของแม็คทอมฯที่ลงไปคือต้องยืนต่ำ และลงไปเล่นเกมรับเป็นหลัก แล้วแต่ไหนแต่ไรมาแม็คทอมต้องมีมิดฟิลด์อีกคนคอยช่วยเขา เขายืนรับโด่เด่คนเดียวไม่ได้เพราะไม่เคยปิดใครได้อยู่เลย บางทีเทนฮาร์คอาจจะหวังความจมูกไวของเขา ให้ขึ้นไปทำประตูในจังหวะตั้งเตะก็ได้ แต่เหตุการณ์ในสนามก็สะท้อนออกมาให้เห็นชัดครับว่าเขาคิดผิด! จังหวะได้ยืนยิงโล่งๆของโดมิเกซคือแย่มากๆ พื้นที่หน้ากรอบเขตโทษแมนยูเปิดโล่งราวกับทุ่งหมาหลง สก็อตแม็คทอมมิเนย์หายไปไหน ตรงนั้นคือพื้นที่รับผิดชอบของเขา หรือจะเป็นเซ็นเตอร์อย่างวารานหรืออีแวนส์ก็เถอะ ทำไมถึงไม่มีใครปรี่เข้ามาบล็อคหรือบังทางบ้างเลย มันก็เรียบร้อยสิครับ 1 - 0 ฟอเรสต์ขึ้นนำ 4. ลูกแรกไม่พอ ลูกที่สองก็ปล่อยพื้นที่โล่งๆให้ยืนยิงง่ายๆอีกจริงอยู่ครับว่าหลังจากนั้นแมนยูจะทำประตูตีเสมอ 1 - 1 ได้สำเร็จ แต่นั่นก็หาใช่จังหวะการเข้าทำที่สวยงามหรือมีรูปแบบไม่ มันคือการออกบอลผิดพลาดของนายทวารฟอเรสต์อย่างแม็ท เทอร์เนอร์ ซะมากกว่า แล้วก็เป็นกันนาโช่ที่อ่านเกมและสไลด์ดักบอลเอาไว้ได้ ก่อนจะจ่ายบอลให้แรชฟอร์ดยิงสวนทางเข้าประตูไป ความหวังเริ่มกลับมา ภาพเมื่อ 4 วันก่อนเริ่มเห็นแววถึงการคัมแบ็ค แต่แล้วแพะอย่างแม็คทอมฯก็พลาดอีกแล้ว ฟอเรสต์เล่นบอลโต้กลับขึ้นมาจากปากประตูตัวเอง รับส่งลำเลียงบอลกันไม่กี่ทอด ในขณะที่ตัวรับแมนยูต่างพากันวิ่งหน้าตั้งลงมาป้องกันประตูในกรอบเขตโทษ โดยไมมีใครหยุดฝีเท้าตรงพื้นที่หน้ากรอบเลย สก็อตแม็คทอมมิเนย์หายไปไหน นี่มันพื้นที่ของเขาอีกแล้ว ทุ่งหมาหลงไม่พอนี่มันกว้างยิ่งกว่าทุ่งกุลาร้องไห้ซะอีก ตู้มมมม! เรียบร้อยกิ๊บ ไวซ์ ยิ่งปั่นโค้งเข้าประตูไป ฟอเรสต์ขึ้นนำ 2 - 1 สรุปสุดท้าย ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนคือสก็อต แม็คทอมมิเนย์ ถ้าเขาถูกสั่งให้เล่นเกมรุกแบบที่เคยทำซะตั้งแต่แรกก็จบ แล้วคงเจ้าหนูไมนูให้เป็นตัวรับไว้ตามเดิม ส่วนคนที่น่าจะถูกเปลี่ยนออกตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง ควรจะเป็นแอนโทนีย์ที่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกมซะมากกว่า แต่ก็นั่นล่ะครับ! เรามาพูดหลังเกมจบไปแล้วอะไรๆมันก็ง่ายไปหมด เราไม่ได้อยู่หน้างานร่วมกับพวกเขา คงไม่มีผจก.คนไหนอยากทำให้ทีมตัวเองแพ้หรอก มันก็แค่เกมๆหนึ่งที่ผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คิด แต่! ปีนี้แมนยูแพ้ไปในลีคไปแล้ว 9 จาก 20 นัด แพ้รวมทุกรายการ 21 นัดในรอบปีปฏิทิน 2023 มันมากไปไหมเทน ฮาร์คเอ๊ย! เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก 1 จาก Manchester United ภาพหน้าปก 2 จาก Manchester United รูปที่ 1 จาก Manchester United รูปที่ 2 จาก Manchester United รูปที่ 3 จาก Manchester United รูปที่ 4 จาก Manchester United