
ประวัติทีม McLaren จากอดีตสู่ปัจจุบันพร้อมทำเนียบนักขับและสถิติสุดเดือด

การแข่งขัน Formula 1 ในปี 2025 ทีม McLaren ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งหัวแถวตั้งแต่สนามแรกๆ จนถึงตอนนี้ ฟอร์มที่ร้อนแรง และศักยภาพของรถ McLaren MCL39 นั้นโดดเด่นจนสามารถบอกได้ล่วงหน้าเลยว่า 1 ในสองนักขับของทีมนั้นได้เป็นว่าที่แชมป์โลก Formula 1 คนใหม่แล้วเกินครึ่งตัว แล้วกว่าจะเป็นทีม McLaren ในปัจจุบันนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทีม McLaren มีนักขับคนไหนบ้าง และสถิติคะแนนของทีม McLaren ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นเดือดขนาดไหน TrueID Sport จามาเผยให้คุณได้ทราบไปด้วยกัน
shutterstock/Michael Potts F1
ประวัติทีม McLaren จากอดีตสู่ปัจจุบัน
พร้อมทำเนียบนักขับและสถิติสุดเดือด
ผู้ก่อตั้ง จุดเริ่มต้นของทีม McLaren
จุดเริ่มต้นของทีม McLaren เกิดจากนักแข่ง และวิศวกรชาวนิวซีแลนด์ที่ชื่อ บรูซ แม็คลาเรน (Bruce McLaren) ที่มีความต้องการจะสร้างทีมแข่งรถของตัวเอง จนได้เริ่มนำทีมเข้าสู่วงการ Formula 1 เมื่อปี 1966 ถึงแม้ช่วงเวลาของ บรูซ แม็คลาเรน กับวงการ Formula 1 จะมีอยู่ไม่กีปีจากการเสียชีวิตของบรูซ แม็คลาเรน ในปี 1970 ขณะมีอายุเพียง 32 ปี จากอุบัติเหตุในการทดสอบรถ แต่เขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีมแม็คลาเรน และชุมชนมอเตอร์สปอร์ตในวงกว้างจนเติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในทีมที่เก่าแก่และประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการถึงทุกวันนี้
ผลงานในฐานะอาชีพนักขับของ Bruce McLaren
บรูซ แม็คลาเรน สร้างสถิตินักแข่งฟอร์มูล่าวันอายุน้อยที่สุดที่คว้าชัยชนะได้ โดยเขาทำได้ตอนอายุ 22 ปี 104 วัน ที่สนามซีบริง สหรัฐอเมริกา (United States Grand Prix) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1959 ซึ่งเป็นสถิติที่คงอยู่เกือบ 50 ปี ชัยชนะที่ซีบริงในปี 1959 ยังสร้างชื่อเสียงให้กับบรูซในบ้านเกิด เมื่อเขากลายเป็นชาวนิวซีแลนด์คนแรกที่ชนะการแข่งขันรถยนต์สูตรหนึ่ง
ในตลอดชีวิตการแข่งรถ บรูซคว้าชัยชนะในรายการกรังด์ปรีซ์ไป 4 ครั้ง ได้แก่ รายการ US GP ปี 1959 ที่ซีบริง, Argentina GP ปี 1960, Monaco GP ปี 1962 และ Belgian GP ปี 1968 ที่สปา-ฟรังก์คอร์ชองส์ ในปี 1964 บรูซคว้าชัยชนะในรายการโฮมกรังด์ปรีซ์ที่สนามปูเคโคเฮ (New Zealand Grand Prix) เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมแม็คลาเรนคว้าแชมป์โดยรวมในรายการ Tasman Series ครั้งแรก ในรายการ Tasman Series ปี 1964 บรูซต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมชาติอย่าง เดนนี่ ฮัลม์ (Denny Hulme) ก่อนจะคว้าชัยชนะและแชมป์ในที่สุด
ในปี 1968 บรูซเดินตามรอย แจ็ค แบร์บแฮม (Jack Brabham) อดีตเพื่อนร่วมทีมของคูเปอร์ กลายเป็นนักแข่งคนที่สองที่สามารถชนะการแข่งขันฟอร์มูล่าวันด้วยรถที่สร้างขึ้นในชื่อของตัวเอง ที่รายการ Belgian GP ที่สนามสปา-ฟรังก์คอร์ชองส์ (Spa-Francorchamps)
ต่อมาทีมแม็คลาเรนประสบความสำเร็จอย่างสูงในรายการ Can-Am Series (The Canadian-American Challenge Cup) โดยบรูซคว้าแชมป์ได้ทั้งในปี 1967 และ 1969 ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมอย่างเดนนี่ ฮัลม์คว้าแชมป์ได้ในปี 1968 และ 1970
เกียรติประวัติของ Bruce McLaren
ในปี 1968 บรูซได้รับรางวัล Ferodo Trophy จากความทุ่มเทในการสร้างสรรค์และพัฒนารถแข่งของเขา และในปี 1969 เขาได้รับรางวัล Royal Automobile Club Segrave Trophy (ซึ่งมอบให้ภายหลังการเสียชีวิต) เพื่อยกย่องผลงานด้านการออกแบบ พัฒนา และขับรถจนสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขัน Can-Am Championship ได้ทุกสนามในปีนั้น
บรูซยังได้รับการจารึกชื่อในหอเกียรติยศหลายแห่ง ได้แก่ New Zealand Sports Hall of Fame, New Zealand Business Hall of Fame, International Sports Hall of Fame และ Indianapolis Hall of Fame
ผลงานในยุคแรกบนสนามแข่ง (ยุค 1960s - 1970s)
แม็คลาเรนลงสนามแข่งกรังด์ปรีซ์ครั้งแรกที่โมนาโกในปี 1966 และสามารถคว้าชัยชนะครั้งแรกได้ในรายการ Belgian Grand Prix ปี 1968 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทีมลงแข่งไปแล้วถึง 933 เรซ โดยใช้เครื่องยนต์จากผู้ผลิตหลายราย ทั้ง Ford, Serenissima, BRM, Alfa Romeo, TAG, Honda, Peugeot, Mercedes และ Renault
ยุคทองแห่งชัยชนะ (ยุค 1980s - 1990s)
หลังจากที่บรูซ แม็คลาเรนเสียชีวิตไป เท็ดดี้ เมเยอร์ (Teddy Mayer) จึงเข้ามารับช่วงต่อ และเป็นหัวเรือใหญ่ของทีม McLaren รวมถึงผู้สนับสนุนหลักอย่าง Marlboro ได้ผลักดันให้ McLaren ผนึกกำลังกับทีม Project 4 Racing ของรอน เดนนิส (Ron Dennis) ซึ่ง Project 4 Racing เป็นทีมมอเตอร์สปอร์ตของอังกฤษที่ประสบความสำเร็จ ก่อตั้งโดย Ron Dennis ในปี 1976 โดยเริ่มต้นแข่งขันใน Formula Two และ Formula Three อีกทั้ง รอน เดนนิส ยังเป็นผู้ซึ่งคร่ำหวอดในการแข่งรถและความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ จึงได้เข้ามาช่วยฟื้นฟูทีม McLaren ให้กลับเข้าสู่ยุครุ่งเรือง ทั้งในรายการ Can-Am, CART และ Formula 1 โดยสามารถคว้าแชมป์โลกกับ อีเมอร์สัน ฟิตติปาลดี (Emerson Fittipaldi) ในปี 1974 และ เจมส์ ฮันท์ (James Hunt) ในปี 1976 เท็ดดี้ เมเยอร์ยังคงเป็นกรรมการผู้จัดการร่วมจนถึงปี 1982 ก่อนจะขายหุ้นทั้งหมดและออกจากทีมไป
นักขับระดับตำนานในยุคนี้ประกอบไปด้วย
- อแลง พรอสต์ (Alain Prost) นักแข่งชาวฝรั่งเศสที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์โลกประเภทนักขับกับ McLaren ได้ 3 สมัย (1985, 1986, 1989) และเป็นคู่ปรับที่ดุเดือดกับ ไอร์ตัน เซนน่า ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมในภายหลัง
- นิกิ เลาดา (Niki Lauda) นักแข่งชาวออสเตรียที่กลับมาลงแข่งอีกครั้งและคว้าแชมป์โลกได้กับ McLaren ในปี 1984 ซึ่งเป็นการต่อสู้กับ อแลง พรอสต์
- ไอร์ตัน เซนน่า (Ayrton Senna) นักแข่งชาวบราซิล เข้าร่วมทีมในปี 1988 และคว้าแชมป์โลกกับ McLaren ได้ 3 สมัย (1988, 1990, 1991) การขับเคี่ยวกับ อแลง พรอสต์ กลายเป็นตำนานที่ถูกกล่าวขานถึงทุกวันนี้
- มิก้า ฮักกิเน่น (Mika Häkkinen): นักแข่งชาวฟินแลนด์ที่สามารถนำทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์โลกประเภทนักขับ 2 สมัยติดต่อกันในปี 1998 และ 1999
- เดวิด คูลทาร์ด (David Coulthard) นักแข่งชาวสก็อตแลนด์ที่เข้ามาร่วมทีมในปี 1996 และเป็นคู่หูที่แข็งแกร่งของ ฮักกิเน่น ทั้งคู่ช่วยกันคว้าแชมป์ประเภททีมผู้สร้างในปี 1998
ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (ยุค 2000s)
แม้ว่าตลอดทศวรรษนี้ทีม McLaren จะไม่สามารถคว้าแชมป์ประเภททีมผู้สร้างได้แต่ยังคงเป็นหนึ่งในทีมหัวแถว และเป็นยุคที่สร้างนักขับระดับตำนานมากมายรวมถึงการแจ้งเกิดแชมป์โลกระดับตำนานอีกด้วย
ในปี 2000 และ 2001 แม็คลาเรนยังคงเป็นคู่แข่งสำคัญของทีมเฟอร์รารี่ โดยมีนักแข่งอย่าง มิคา แฮกคิเนน (Mika Häkkinen) และ เดวิด คูลธ์ฮาร์ด (David Coulthard) เป็นกำลังหลัก แม้จะจบในอันดับ 2 ของตารางผู้สร้างในปี 2000 และ 2001 แต่หลังจากนั้น ทีมก็ต้องเจอกับความท้าทายมากขึ้นจากคู่แข่งอย่างเฟอร์รารี่และวิลเลียมส์ แม้จะมีการเปลี่ยนตัวนักแข่งเป็น คิมิ ไรค์โคเนน แต่ผลงานของทีมก็ยังคงขึ้นๆ ลงๆ
ปี 2005 ถือเป็นปีที่ทีมกลับมาแกร่งอีกครั้ง รถแข่ง MP4-20 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยม ทำให้ คิมิ ไรค์โคเนน คว้าชัยชนะได้ถึง 7 สนามและเป็นผู้ท้าชิงแชมป์โลกอย่างเต็มตัว
แต่ในปี 2007 ทีมต้องเจอกับมรสุมครั้งใหญ่ จากการนำ เฟอร์นันโด อลอนโซ (Fernando Alonso) แชมป์โลก 2 สมัยมาเป็นคู่กับ ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) นักแข่งหน้าใหม่ดาวรุ่งในขณะนั้น แม้ทั้งคู่จะทำผลงานได้ดีเยี่ยม แต่ความขัดแย้งภายในและเหตุการณ์ "Spygate" ก็ทำให้ทีมถูกตัดคะแนนผู้สร้างจนหมด ซึ่งรางวัลประเภททีมผู้สร้างนั้นมีมูลค่ามหาศาลมากคาดการว่าทีม McLaren ถูกปรับเป็นเงินประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
หลังจากผ่านพ้นวิกฤต ทีมแม็คลาเรนก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 2008 และในที่สุด ลูอิส แฮมิลตัน ก็สามารถคว้าแชมป์โลกนักขับมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ในการแข่งขันสนามสุดท้ายที่บราซิล ซึ่งเป็นแชมป์โลกครั้งแรกของเขาและเป็นชัยชนะที่น่าจดจำของทีม
แม้ในปี 2009 ทีมจะประสบปัญหาในช่วงต้นฤดูกาล แต่ก็สามารถพัฒนาให้รถกลับมาดีขึ้นได้ในครึ่งหลัง โดย ลูอิส แฮมิลตัน สามารถคว้าชัยชนะได้ 2 สนาม และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ของตารางคะแนนผู้สร้าง
ยุคแห่งความท้าทาย (ยุค 2010s - ปัจจุบัน)
ยุค 2010 เป็นช่วงเวลาที่ทีม McLaren ต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก แม้จะเริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ปัญหาภายใน การตัดสินใจที่ผิดพลาด และการสูญเสียนักขับคนสำคัญ ทำให้ผลงานของทีมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
ปี 2010-2012 ทีม McLaren คือหนึ่งในทีมแถวหน้าที่น่าจับตามอง มีนักขับแนวหน้าอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน และ เจนสัน บัตตัน (Jenson Button) ที่ร่วมกันท้าชิงแชมป์โลก และในปี 2012 ทีมยังคว้าชัยชนะได้ถึง 7 สนาม ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ
ปี 2013-2014 หลังจากการย้ายทีมของแฮมิลตัน ผลงานของ McLaren ก็เริ่มถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด รถแข่งไม่มีความสามารถในการแข่งขัน และในปี 2013 ทีมไม่สามารถขึ้นโพเดียมได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1980
ยุคมืดกับ Honda ปี 2015-2017 ช่วงเวลานี้ถูกมองว่าเป็นยุคที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม การกลับมาร่วมงานกับ Honda ที่เคยเป็นพันธมิตรผู้ยิ่งใหญ่กลับกลายเป็นหายนะ เครื่องยนต์ใหม่มีกำลังน้อยและไม่น่าเชื่อถือ ทำให้รถเสียกลางคันบ่อยครั้ง และทีมมักจะอยู่ท้ายตารางการแข่งขัน
ในปี 2017 Zak Brown (แซค บราวน์) ได้เข้ามาเป็น CEO ของทีม McLaren Racing และได้เข้ามาพลิกฟื้นทีมครั้งใหญ่ ทั้งในด้านการบริหารจัดการและภาพลักษณ์แบรนด์ รวมถึงปรับโครงสร้างทีมใหม่หมด ดึงตัวบุคลากรฝีมือดีเข้ามา และวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อนำทีม F1 กลับสู่แนวหน้าอีกครั้ง อีกทั้งแซค บราวน์ยังใช้ความเชี่ยวชาญด้านการตลาดเพื่อดึงดูดผู้สนับสนุนรายใหม่ๆ และสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ทำให้มูลค่าทางการตลาดของ McLaren สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปี 2018-2019 เมื่อยุติความร่วมมือกับ Honda และหันมาใช้เครื่องยนต์ของ Renault ผลงานของทีมก็เริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังห่างไกลจากทีมแถวหน้า อย่างไรก็ตาม การมาของนักขับรุ่นใหม่อย่าง แลนโด นอร์ริส (Lando norris) และคาร์ลอส ไซน์ จูเนียร์ (Carlos Sainz Jr.) ช่วยให้ทีมกลับมามีประกายความหวังอีกครั้ง
ช่วงต้นทศวรรษ 2020 ทีม McLaren ได้กลับมาผงาดอีกครั้ง แฟน ๆ ต่างเรียกช่วงเวลานี้ว่า "การกลับมาของสีส้ม" ทีมจบฤดูกาล 2020 ด้วยอันดับสามในประเภททีมผู้สร้าง ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดในรอบ 8 ปี และในปี 2021 ถือเป็นปีที่โดดเด่นอย่างมาก แดเนียล ริคคิอาร์โด (Daniel Ricciardo) คว้าชัยชนะที่อิตาลี โดยมีแลนโด นอร์ริสตามมาในอันดับสอง ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของทีมตั้งแต่ปี 2012 และเป็นการเข้าเส้นชัยแบบ 1-2 ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งชัยชนะที่ แดเนียล ริคคิอาร์โด คว้ามาได้ในครั้งนี้เป็นที่มาของรอยสักสนาม Monza circuit ที่ไหล่ซ้ายของ แซค บราวน์
พัฒนาสู่แถวหน้า 2022-ปัจจุบัน McLaren ยังคงรักษาตำแหน่งทีมอันดับกลางที่แข็งแกร่ง โดยแลนโด นอร์ริสสามารถขึ้นโพเดียมได้อย่างต่อเนื่อง และในปี 2023 การอัปเกรดรถครั้งใหญ่ในช่วงกลางฤดูกาลได้ช่วยยกระดับผลงานของทีมอย่างมหาศาล ทำให้นอร์ริสและนักขับหน้าใหม่อย่าง ออสการ์ ปิอาสตรี สามารถขึ้นโพเดียมได้เป็นประจำ และพาทีมกลับสู่เส้นทางของการเป็นทีมแถวหน้าอีกครั้ง จนทำให้ในปี 2024 ทีม McLaren สามารถคว้าแชมป์ทีมผู้สร้างได้
ทำเนียบนักขับทีม McLaren
ยุคบุกเบิก (1960s)
- บรูซ แม็คลาเรน (Bruce McLaren) ปี 1966–1970
- เดนนี ฮูล์ม (Denny Hulme) ปี 1967–1974
- เดเร็ก เบลล์ (Derek Bell) ปี 1969
- แดน เกอร์นีย์ (Dan Gurney) ปี 1970
- ปีเตอร์ เกธิน (Peter Gethin) ปี 1970
- อันเดรีย เด อาดามิช (Andrea de Adamich) ปี 1970
ยุคแชมป์โลกยุคแรก (1970s)
- เอเมอร์สัน ฟิตติพัลดี (Emerson Fittipaldi) ปี 1974–1975
- เจมส์ ฮันท์ (James Hunt) ปี 1976–1978
- โจเชน มาส (Jochen Mass) ปี 1974–1977
- ปีเตอร์ เรฟสัน (Peter Revson) ปี 1972–1973
- โจดี เชคเตอร์ (Jody Scheckter) ปี 1972
- แจ็กกี้ อิ๊กซ์ (Jacky Ickx) ปี 1973
- ฌอง-ปีแอร์ จาร์ริเยร์ (Jean-Pierre Jarier) ปี 1977
- แพทริก ตองเบย์ (Patrick Tambay) ปี 1978–1979
ยุคทอง (1980s - 1990s)
- อแลง พรอสต์ (Alain Prost) ปี 1984–1989
- ไอร์ตัน เซนน่า (Ayrton Senna) ปี 1988–1993
- นิกิ เลาดา (Niki Lauda) ปี 1982–1985
- จอห์น วัตสัน (John Watson) ปี 1981–1983
- เคเก รอสเบิร์ก (Keke Rosberg) ปี 1986
- สเตฟาน โยฮันส์สัน (Stefan Johansson) ปี 1987
- เกอร์ฮาร์ด เบอร์เกอร์ (Gerhard Berger) ปี 1990–1992
- มิก้า ฮักกิเน่น (Mika Häkkinen) ปี 1993–2001
- ไมเคิล แอนเดร็ตติ (Michael Andretti) ปี 1993
- มาร์ติน บรันเดิล (Martin Brundle) ปี 1994
- ไนเจล แมนเซลล์ (Nigel Mansell) ปี 1995
ยุคเปลี่ยนผ่าน (2000s)
- เดวิด คูลทาร์ด (David Coulthard) ปี 1996–2004
- คิมิ ไรค์โคเน่น (Kimi Räikkönen) ปี 2002–2006
- ฮวน ปาโบล มอนโตย่า (Juan Pablo Montoya) ปี 2005–2006
- ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) ปี 2007–2012
- เฮิกกี้ โควาไลเน่น (Heikki Kovalainen) ปี 2008–2009
ยุคปัจจุบัน (2010s - 2020s)
- เจนสัน บัตตัน (Jenson Button) ปี 2010–2016
- แซร์คิโอ เปเรซ (Sergio Pérez) ปี 2013
- เควิน แม็กนุสเซน (Kevin Magnussen) ปี 2014
- เฟอร์นันโด อลอนโซ่ (Fernando Alonso) ปี 2015–2018
- สตอฟเฟล แวนดอร์น (Stoffel Vandoorne) ปี 2017–2018
- คาร์ลอส ซายน์ จูเนียร์ (Carlos Sainz Jr.) ปี 2019–2020
- แดเนียล ริคคิอาร์โด (Daniel Ricciardo) ปี 2021–2022
- แลนโด นอร์ริส (Lando Norris) ปี 2019–ปัจจุบัน
- ออสการ์ ปิอัสตรี (Oscar Piastri) ปี 2023–ปัจจุบัน
สถิติทั้งหมดของทีม McLaren (ณ.วันที่ 26 ส.ค.2025)
Wins and podiums
- 200 Grand Prix Wins
- 548 Podiums
- 172 Pole Positions
แชมป์โลกประเภทนักขับ
- ปี 1974 Emerson Fittipaldi รถรุ่น M23
- ปี 1976 James Hunt รถรุ่น M23
- ปี 1984 Niki Lauda รถรุ่น MP4/2
- ปี 1985 Alain Prost รถรุ่น MP4/2B
- ปี 1986 Alain Prost รถรุ่น MP4/2C
- ปี 1988 Ayrton Senna รถรุ่น MP4/4
- ปี 1989 Alain Prost รถรุ่น MP4/5
- ปี 1990 Ayrton Senna รถรุ่น MP4/5B
- ปี 1991 Ayrton Senna รถรุ่น MP4/6
- ปี 1998 Mika Häkkinen รถรุ่น MP4-13
- ปี 1999 Mika Häkkinen รถรุ่น MP4-14
- ปี 2008 Lewis Hamilton รถรุ่น MP4-23
แชมป์โลกประเภททีมผู้สร้าง
- ปี 1974 รถรุ่น M23
- ปี 1984 รถรุ่น MP4/2
- ปี 1985 รถรุ่น MP4/2B
- ปี 1988 รถรุ่น MP4/4
- ปี 1989 รถรุ่น MP4/5
- ปี 1990 รถรุ่น MP4/5B
- ปี 1991 รถรุ่น MP4/6
- ปี 1998 รถรุ่น MP4-13
- ปี 2024 รถรุ่น MCL38
สถิติในฤดูกาล 2025 (ณ.วันที่ 26 ส.ค.2025)
- Season Points 559
- Grand Prix Races 14
- Grand Prix Points 523
- Grand Prix Wins 11
- Grand Prix Podiums 24
- Grand Prix Poles 8
- Grand Prix Top 10s 27
- DHL Fastest Laps 9
- DNFs 1
- Sprint Races 3
- Sprint Points 36
- Sprint Wins 1
- Sprint Podiums 5
- Sprint Poles 1
- Sprint Top 10s 6
บทความที่คุณอาจสนใจ
- สนามแข่ง Formula 1 มีกี่สนามอยู่ประเทศอะไร ระยะทางเท่าไหร่ มีโค้งกี่จุด
- แรง G คืออะไร ทำไมสำคัญกับการแข่ง F1 นักขับต้องฝึกฝนร่างกายอย่างไร
- โปรแกรมฟอร์มูล่าวัน 2025 ลิ้งก์ดูสด เอฟวัน 2025 ถ่ายทอดสด F1 ผลเอฟวัน
- ไขปริศนาผ้าห่มวอร์มยาง Formula 1 ทำไมต้องห่มผ้า มีผลกับการแข่งอย่างไร
- รู้จัก Circuit Zandvoort สนาม Formula 1 ริมทะเล ประวัติศาสตร์ที่ห้ามพลาดก่อนชม
- ยางรถ Formula1 มีกี่แบบ ยาง f1 ใช้งานต่างกันอย่างไร ขนาดต่างกับรถอื่นขนาดไหน
- ประวัติทีม Scuderia Ferrari ม้าลำพองแห่ง Formula1 เคยได้แชมป์กี่สมัยนักขับระดับตำนานมีใครบ้าง
- ประวัติทีม Williams ทีมเก่าแก่ใน Formula1 จากยุครุ่งเรืองจนถึงยุคนักขับสายเลือดไทย
- ประวัติ Monaco Grand Prix ทำไมสนามแข่ง Circuit de Monaco แฟน Formula 1 ถึงตั้งตารอ
- เปิดค่าตัวนักแข่ง Formula1 ฤดูกาล 2025 แรงขนาดไหนใครยืนหนึ่ง