คว้าสามคะแนนได้ไปตามความคาดหมาย สำหรับพลพรรค "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่สามารถเปิดบ้านเอาชนะเรนเจอร์ส ทีมเยือนจากสกอตแลนด์ไปสบายเท้า 2-0 ในเกมรอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 3 ของศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้คะแนนรวมอยู่ที่ 6 คะแนน แซงอาแจ็กซ์ขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูงของกลุ่ม หลังจากที่อาแจ็กซ์โดนนาโปลีบุกมาถล่มคาบ้านยับเยิน 1-6 ทั้งๆ ที่ออกนำไปก่อนด้วยแต่ก็โดนรัวคืนไม่ยั้ง แต่ในบทความนี้ผมจะพาไปดู 5 สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลในเกมยูซีแอล นัดที่ 3 นี้กันครับ จะมีเรื่องดีๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง ไปชมกันเลยครับสิ่งดีๆ สิ่งแรกที่ผมขอพูดถึงคงนี้ไม่พ้นการกลับมาทำผลงานได้ดีของเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในกระแสวิพากย์ วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ ที่สามารถกลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้ง หลังจากที่ฟอร์มบู่ออกทะเลไปนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลนี้มา โดยในเกมนี้เทรนต์ก็ยังคงออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ดูแตกต่างออกไปจากทุกเกมที่ผ่านคือ เจ้าตัวไม่ได้ดันขึ้นสูงตลอดเวลา และไม่ได้หุบเข้ากลางมาเล่นเป็น Inverted Fullback บ่อยแบบที่ผ่านๆ มา เพราะมีหลายจังหวะมากๆ ที่ทีมกำลังทำเกมบุกขึ้นไป แต่ทางด้านกาบขวาจะมีเพียงจอร์แดน เฮนเดอร์สัน และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์เท่านั้นที่ประสานงานกัน อาจจะคงเป็นเพราะแทคติกและคำสั่งจากเยอร์เกน คล็อปป์ที่บอกให้เจ้าหนูเทรนต์ไม่ต้องดันสูงพร่ำเพรื่อ หรืออาจจะใช้วิธี Back to Basic กลับไปทำหน้าที่ของตำแหน่งผู้เล่นเกมรับให้ดีไว้ก่อน ทำให้ในเกมนี้ในเรื่องเกมรับของเจ้าตัวแทบจะไม่สร้างงานเพิ่มให้กับเพื่อนๆ เลย และที่สำคัญยังสามารถทำประตูได้อีกด้วย ซึ่งมาจากลูกฟรีคิกและเป็นประตูขึ้นนำให้กับทีม โดยทำให้นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016/2017 เทรนต์มีสถิติการทำประตูจากลูกฟรีคิกโดยตรงไปแล้ว 6 ลูก ซึ่งมากกว่าผู้เล่นลิเวอร์พูลทุกคน แถมยังคว้าแมน ออฟ เดอะ แมตช์ของเกมนี้ไปอีก หวังว่าเกมนี้จะเป็นเกมที่เจ้าตัวจะพาตัวเองกลับเข้าฝั่งได้นะ สู้โว้ยเทรนต์!!!เรื่องดีๆ ต่อมาก็คือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์กลับมายิงประตูได้แล้ว หลังจากที่ปืนฝืดยิงไม่ได้ในเกมลีกมาอย่างต่อเนื่อง 4 นัดติดต่อกัน แต่ยังดีที่ในเกมยูซีแอลนัดที่แล้วยิงใส่อาแจ็กซ์ได้ประตูนึง ถึงแม้ในเกมนี้จะยิงประตูได้จากลูกจุดโทษก็ตามแต่ก็น่าจะสร้างความมั่นใจให้เจ้าตัวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากประตูที่ยิงแล้ว เกมนี้ซาลาห์ก็ยังสามารถกลับมาโชว์ฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง เจ้าตัวสามารถป่วนแนวของเรนเจอร์สได้ตลอด 90 นาที แถมนอกจากมีส่วนกับเกมรุกของทีมแล้ว ซาลาห์ยังลงมาช่วยในเรื่องของเกมรับตลอดอีกด้วย ซึ่งประตูที่ซาลาห์ยิงได้ในเกมนี้ทำให้เจ้าตัวทำสถิติยิงไปแล้ว 35 ประตูในเกมยูซีแอลให้กับทีมจากอังกฤษ เป็นรองเพียงดิดิเยร์ ดร็อกบา (เชลซี) และเซอร์จิโอ กุน อเกวโร (แมนฯ ซิตี้) ที่ทำไปคนละ 36 ประตู หวังว่าจะรักษาฟอร์มเก่งแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ นะบังโมเรื่องดีๆ เรื่องที่สามก็คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สันยังสำคัญกับทีม โดยถึงแม้ในช่วงหลังเจ้าตัวจะเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง แถมอายุก็แตะที่ 32 ปีแล้ว ทำให้ฟอร์มในช่วงหลังและมาตรฐานตกลงไป แต่กับเกมนี้ลิเวอร์พูลเหมือนได้กัปตันเฮนโด้คนดีคนเดิมกลับมา เพราะนอกจากเกมรุกที่คอยประสานงานกับซาลาห์ได้อย่างลื่นไหลแล้ว เฮนโด้ก็ยังจะคอยลงมาซ้อนตำแหน่งของเทรนต์ในเรื่องเกมรับได้อยู่เสมอ แถมลูกทีเด็ดของเจ้าตัวอย่างการเปิดบอลเปลี่ยนแกน หรือดัก/เบิ้ลบอลข้ามหัวคู่แข่งก็ทำงานได้อย่างดีอีกด้วย และก็เกือบทำแอสซิสต์ให้กับดาร์วิน นูนเญซอีก และนี่คือกัปตันจอร์แดน เฮนเดอร์สันที่แฟนหงส์แดงคิดถึงครับ รักษาฟอร์มแบบนี้ไปเรื่อยๆ ให้ได้นะกัปตันสิ่งดีๆ สิ่งที่ 4 นั่นก็คือ ดาร์วิน นูนเญซ เริ่มปรับตัวกับเพื่อนร่วมทีมได้ (บ้าง) แล้ว โดยในเกมนี้นูนเญซลงเล่นไป 80 นาที ทำเรทติ้งไป 7.12 (จาก Whoscored) โดยมีสถิติยิงไปทั้งหมด 6 ครั้ง มีโอกาสยิง 6 ครั้งแต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้เลย ฟังดูอาจจะไม่ดีซักเท่าไหร่ แต่ถ้าเจาะลงไปดูในเกมจริงๆ จะเห็นว่านูนเญซนั้นยิงด้วยความมั่นใจ ยิงได้อย่างเข้าข้อทุกลูกแต่เหมือนคนยังจะไม่เกิด เพราะโดนผู้รักษาประตูเซฟได้หมดซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่เหมือนนูนเญซช่วงก่อนหน้านี้ที่จะยิงแป้ก ยิงไม่เข้าข้อตลอด นอกจากนี้การมีโอกาสยิงได้ถึง 6 ครั้งมันบ่งบอกได้อย่างนึงว่า เขามักจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำประตูได้ถึง 6 ครั้งซึ่งในเกมนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเจ้าตัววิ่งทำทาง วิ่งหาช่องได้ดีมากๆ เพื่อนจ่ายบอลให้ลุ้นทำประตูได้อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งทำให้เสียดาย 3 นัดที่เจ้าตัวโดนแบนในเกมพรีเมียร์ลีก ไม่งั้นคงได้ปรับตัว จูนจังหวะเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้ดีกว่านี้อีกสิ่งดีๆ สิ่งที่ 5 ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงในบทความนี้ คือ เยอร์เกน คล็อปป์เหมือนจะเจอรูปแบบแผนการเล่นที่ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ โดยเกมนี้คล็อปป์จัดทีมมาในรูปแบบ 4-5-1 หรือ 4-2-3-1 โดยแผงเกมรับในใช้ชุดเดิมกับที่เสมอกับไบรท์ตันมา แบ็คขวายังคงไว้ใจ้เทรนต์เหมือนเดิม เช่นเดียวกับคู่กองหลังก็ใช้โจเอล มาติปคู่กับเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ส่วนแบ็คซ้ายใช้คอสตาส ซิมิคาส เนื่องจากแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ คู่กองกลางใช้บริการของจอร์แดน เฮนเดอร์สันจับคู่กับติอาโก อัลคันทารา โดยในส่วนของตำแหน่งกองกลางตัวรุก หรือเบอร์ 10 วางดิโอโก โจต้ามาเล่นในตำแหน่งนี้ ตำแหน่งริมเส้นก็ใช้งานของโม ซาลาห์ และหลุยซ์ ดิอาซประจำการ และปักหลักกองหน้าตัวเป้าโดยดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งแผนนี้มันเหมือนทำให้ดาร์วิน นูนเญซนั้นกลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง เพราะเหมือนกับว่าเจ้าตัวได้เล่นในตำแหน่งที่ตัวเองถนัด (กอหน้าตัวเป้า) และก็ไม่ได้เป็นหน้าเป้าที่โดดเดี่ยวซักเท่าไหร่ เพราะก็ไม่ได้ยืนปักหลักแค่ตรงกลางอย่างเดียว มีสลับออกไปริมเส้นกับซาลาห์หรือดิอาซอยู่บ้าง นอกจากนูนเญซแล้ว เทรนต์ก็กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง ไม่บ้าที่จะเติมสูงมากจนเกินไป ขึ้นมาในยามที่ควรจะขึ้นมาซึ่งมันก็ทำให้เกมรับดีขึ้นไปด้วย เพราะไม่หลุดตำแหน่งจากการเติมสูง หวังว่าคล็อปป์จะค่อยๆ ปรับจูนแผน ปรับจูนแทคติกได้ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ นะ สู้ไปด้วยกันนะบอสถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวของผมในเกมนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าจะเก็บชัยชนะมาได้แบบสบายๆ แต่ก็อย่าลืมว่าคู่แข่งคือเรนเจอร์สที่ชื่อชั้น มาตรฐานทีมไม่ได้สูงมากซักเท่าไหร่ ถึงแม้ฤดูกาลที่แล้วพวกเขาจะเป็นรองแชมป์ยูโรป้ามาก็ตาม แต่ก็นั่นแหละถึงแม้จะชนะคู่แข่งที่ไม่ได้มาตรฐานสูง แต่มันทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่างดีขึ้น เช่น เทรนต์ไม่ตะบี้ตะบันเล่นแต่เกมรุก เกมรับดีขึ้น, นูนเญซปรับจังหวะ ปรับจูนเข้ากับเพื่อนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ, เฮนเดอร์สันยังสำคัญกับทีมเสมอ ฯลฯ อาจจะทำให้ความมั่นใจในคล็อปป์ ความมั่นใจในทีมมีมากขึ้น หลังจากที่ฟอร์มตกมานับตั้งแต่เปิดฤดูกาลนี้หวังว่าเกมนี้จะเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนให้กับทีมให้กลับมาคืนฟอร์มได้ทันเวลาพอดีนะ เพราะเกมในลีก 2 นัดต่อไปถือว่าเป็นเกมสำคัญสุดๆ เนื่องจากต้องเจอทั้งอาร์เซนอล และต่อด้วยแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงและรองจ่าฝูงในเวลานี้ ถึงถ้าสามารถเก็บผลลัพธ์ที่ต้องการได้อย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อเหลือเกินว่าลิเวอร์พูลก็น่าจะกลับมาเข้าสู่ในร่องในรอยที่ควรจะเป็นได้อีกครั้งขอบคุณข้อมูลสถิติจาก OptaJoeขอบคุณรูปภาพประกอบจากOfficial Facebook ของลิเวอร์พูลภาพปก (ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3)ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5Community คอบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์