รีเซต
TRUE TALK : รวมทุกบทสรุปศึกพรีเมียร์ลีก 2018/19 อัดแน่นทุกเรื่องราวที่คอบอลห้ามพลาด ... by "บก.เก้น"

TRUE TALK : รวมทุกบทสรุปศึกพรีเมียร์ลีก 2018/19 อัดแน่นทุกเรื่องราวที่คอบอลห้ามพลาด ... by "บก.เก้น"

TRUE TALK : รวมทุกบทสรุปศึกพรีเมียร์ลีก 2018/19 อัดแน่นทุกเรื่องราวที่คอบอลห้ามพลาด ... by "บก.เก้น"
kentnitipong
13 พฤษภาคม 2562 ( 02:58 )
2.1K
14

ในที่สุดก็จบลงอย่างบริบูรณ์สำหรับศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018/2019 พร้อมกับความสำเร็จของทัพ “เรือใบสีฟ้า” ที่ประกาศศักดาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาลนี้ (ชมไฮไลท์ EPL ทุกคู่ คลิก <<<)

วันนี้เราจะพาทุกท่านไปพบกับบทสรุปของลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ว่ามีอะไรที่น่าสนใจ และแฟนบอลอย่างคุณต้องรู้ ถ้าพร้อมแล้ว

3
2
1

ลุย…

แชมป์
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (38 นัด : 98 คะแนน)

แม้จะต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้าย แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยอดทีมจากแมนเชสเตอร์ ทีมนี้ คือทีมที่คู่ควรกับโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้มากที่สุด เริ่มต้นจากสถิติการเป็นทีมที่คว้าชัยชนะได้มากที่สุด (32 นัด), ยิงประตูได้มากที่สุด (95 ประตู), สร้างสรรค์โอกาสยิงได้มากที่สุด (683 ครั้ง), จำนวนการผ่านบอลมากที่สุด (26,577 ครั้ง) และมีผลต่างประตูได้-เสีย ที่ดีที่สุด (บวก 72 ประตู)

สถิติต่างๆ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า ความสมดุลของทีม โดยเฉพาะ “เกมรุก” คือกุญแจสำคัญที่พา “เรือใบสีฟ้า” ทะยานสู่บังลังก์แชมป์ได้อย่างภาคภูมิ โดยเฉพาะเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่โดน ไบรท์ตัน นำไปก่อน 1-0 แต่พวกเขาก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจกลับมาตีเสมอ ก่อนจะอาศัยประสบการณ์ และความมุ่งมั่นรัวเพิ่มอีกสามประตูตอกย้ำชัยชนะ และการันตีอันดับ 1 ได้อย่างเด็ดขาดตั้งแต่นาทีที่ 72 ของเกม

นอกจากนี้ ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง “หงส์แดง” อยู่ถึง 7 คะแนน แถมยังปล่อยให้ยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์รั้งตำแหน่งจ่าฝูงถึง 13 สัปดาห์ กระทั่งเมื่อเวลาเดินทางมาถึงแมตช์เดย์ที่ 29 พวกเขาก็กลับมาแซงได้ และไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำอีกเลย

สำคัญที่สุด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังเป็นทีมเดียวในเกาะอังกฤษที่สามารถยัดเยียดความปราชัยให้กับ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ นี่คงจะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมที่สุดว่า “เรือใบสีฟ้า” คู่ควรกับโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ทุกประการ

โควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

อันดับ 1-4 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

*ส่วน อาร์เซน่อล จะผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มรายการนี้ได้ในกรณีเดียวเท่านั้นก็คือ ต้องคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาครองให้ได้

ทีมตกชั้น
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้, ฟูแล่ม และฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์

AP Photo/Rui Vieira

ชัยชนะเพียงแค่สามเกมตลอดทั้งฤดูกาล บวกกับความพ่ายแพ้มากถึง 28 นัด และการเป็นทีมที่มีเกมรุกแย่ที่สุดในลีก (ยิงได้ 22 ประตู) ก็คงจะเป็นคำตอบที่เพียงพอที่จะส่งให้ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ต้องกลับไปตั้งต้นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ใหม่ในฤดูกาลหน้าในฐานะทีมอันดับสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

ส่วนอดีตเจ้าสัวน้อยอย่าง ฟูแล่ม ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่จดจำของแฟนบอลไปทั่วโลกด้วยการทุ่มเงินดึงแข้งชื่อดังมาร่วมทัพมากมาย มาวันนี้ ด้วยโลกฟุตบอลที่หมุนเร็วเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิด สุดท้าย การเสริมทัพแบบไม่ตรงจุด ทำให้ตัวแทนจากลอนดอนทีมนี้ ต้องตกชั้นไปเป็นทีมที่สอง ด้วยสถิติการเป็นทีมที่มีเกมรับแย่ที่สุดในลีก หลังโดนเจาะตาข่ายไปมากถึง 81 ประตู

ทีมสุดท้ายที่ต้องร่วงหล่นชั้นไปนั่นก็คือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ที่ดันมาทำผลงานได้ดีในเกมนัดสั่งลา หลังบุกไปอัด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่ในเมื่อฟุตบอลลีกเล่นกัน 38 นัด “ความคงเส้นคงวา” เท่านั้นที่จะเป็นตัวบอกว่าคุณสมควรจะได้อยู่ต่อใน พรีเมียร์ลีก หรือไม่ และคาร์ดิฟฟ์ เองก็โดนพิพากษาด้วยการมีแต้มตามหลังทีมสุดท้ายที่รอดอย่าง ไบรท์ตัน อยู่เพียงแค่ สองคะแนน เท่านั้น

ชมไฮไลท์พรีเมียร์ลีก ครบทุกคู่ ทั้งฤดูกาล 2018/19

ดาวซัลโว
โอบาเมย็อง, มาเน่ และซาลาห์ (22 ประตู)

AP Photo/Jon Super

แม้สุดยอดดาวยิงของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้จะทำประตูได้น้อยที่สุดในรอบ 9 ฤดูกาล นับตั้งแต่ที่ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ กับ คาร์ลอส เตเวซ ทำไว้ที่ 20 ประตู แต่อย่างน้อยปีนี้ก็ยังเป็นการซีซั่นที่มีดาวซัลโวร่วมกันถึง 3 คน ได้แก่ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมย็อง, ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ทำสถิติคว้ารางวัลรองเท้าทองคำสองครั้งติดต่อกัน

แต่ทว่านี่ไม่ไช่ครั้งแรกที่มีดาวซัลโวร่วมกันถึงสามคน เพราะในฤดูกาล 1997/98 และ 1998/99 ก็ได้บทสรุปที่มีจอมถล่มประตูทำผลงานได้เท่ากันถึงสามหน่อด้วยกัน เพียงแต่สองฤดูกาลดังกล่าว ยิงกันไปปีละ 18 ลูกเท่านั้น น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก

ประเด็นที่น่าสนใจของทั้งสามดาวซัลโวในฤดูกาล 2018/19 ก็คือ ทั้งสามคนล้วนแต่เป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาทั้งสิ้น (กาบอง, เซเนกัล และอียิปต์)

แอสซิสต์
เอแด็น อาซาร์ (15 ครั้ง)

AP Photo/Matt Dunham

ต้องพูดกันแบบตรงๆ ว่า ผลงานโดยรวมของต้นสังกัดอย่าง เชลซี นั้นช่างดูน่าผิดหวังในฤดูกาลนี้ แต่อย่างน้อย ฟอร์มของจอมทัพทีมชาติเบลเยี่ยมรายนี้หาได้ด้อยตามแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายแล้ว เอแด็น อาซาร์ ก็ยังสามารถจบซีซั่นนี้ด้วยการยิงไปถึง 16 ประตู พร้อมกับแอสซิสต์ให้เพื่อนพังประตูได้อีกถึง 15 ครั้ง นับได้ว่าดีที่สุดในลีก

ความพลิ้วของดาวเตะรายนี้ บวกกับเทคนิค และเซ้นส์บอลระดับเวิลด์คลาส ส่งให้ อาซาร์ เป็นอาวุธในเกมรุกที่ดีที่สุดของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ยุคนี้ และคงเป็นเรื่องน่าใจหายถ้าเกมที่ เชลซี บุกไปเสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม จะเป็นเกมสุดท้ายในพรีเมียร์ลีกของจอมทัพเจ้าของหมายเลข 10 อย่าง อาซาร์

นักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก
เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (ลิเวอร์พูล)

AP Photo/Dave Thompson

มันสมองในการอ่านทางดักจังหวะแนวรุกคู่แข่ง ลูกกลางอากาศที่แข็งแกร่งดุจภูผาหิน ภาวะความเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลต่อนักเตะทั้ง 22 คนในสนาม การเติมขึ้นมาเล่นลูกตั้งเตะที่สุดอันตราย สำคัญที่สุดคือการเข้ามายกเครื่องเกมรับของ ลิเวอร์พูล ให้เป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในลีก พร้อมกับจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์โดยมีแต้มตามหลังจ่าฝูงแค่คะแนนเดียว รวมถึงยังพาทัพ “หงส์แดง” ลิ่วไกลถึงรอบชิงถ้วยใบใหญ่ของยุโรป คือเหตุผลที่ทำให้ทำไมชายที่ชื่อ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ถึงผงาดขึ้นมาครองรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสองสถาบันใหญ่ทั้ง พีเอฟเอ และพรีเมียร์ลีก

โดยรายชื่อนักเตะเข้าชิงนักเตะยอดเยี่ยมในปีนี้ได้แก่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เอแด็น อาซาร์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, แบร์นาร์โด้ ซิลวา และเซร์คิโอ อเกวโร่ แต่สรุปสุดท้ายเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟเลืดดัตช์ที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปครอง จากการโหวตผ่านเว็บไซต์ EA SPORTS กัปตันทีมทั้ง 20 คนในพรีเมียร์ลีก และบรรดากูรูฟุตบอลต่างๆ

“มันคือความภาคภูมิของผมมากๆ แต่ถ้าไม่มีทุกๆ คนในลิเวอร์พูล ทั้งแฟนและนักเตะ มันคงเป็นไปไม่ได้ ผมอยากให้เครดิตไปถึงทุกๆ ที่มีส่วนช่วยกันพาทีมมาถึงจุดนี้” ฟาน ไดจ์ค ให้สัมภาษณ์

ทั้งนี้ อดีตปราการหลังเซาธ์แฮมป์ตัน พลาดการลงสนามให้ ลิเวอร์พูล ไปเพียง 35 นาที ตลอด 38 นัดในพรีเมียร์ลีก และช่วยทีมเก็บคลีนชีตไปถึง 20 ครั้งด้วยกัน

ดีลยอดเยี่ยม
อลิสสัน เบคเกอร์ : ลิเวอร์พูล
(56.25 ล้านปอนด์ : จาก โรม่า)

AP Photo/Manu Fernandez

ซีซั่นที่มีการทำลายผู้รักษาประตูที่แพงที่สุดในโลกโดย อลิสสัน เบคเกอร์ ทำลายไปก่อนที่ราคา 56.25 ล้านปอนด์ ก่อนจะโดน เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า เกทับที่ 72 ล้านปอนด์ แต่ราคาที่ลิเวอร์พูล จ่ายไปนับว่าคุ้มค่ามหาศาลเลยทีเดียว

แฟนหงส์ คงจำความผิดพลาดของ ลอริส คาริอุส ในฤดูกาลที่ผ่านมาได้มา และมาเทียบกับฟอร์มของผู้รักษาประตูชาวบราซิล ก็คงประมาณได้ราวกับฟ้ากับเหว เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล บินสูงในฤดูกาลนี้ จาก 50 เกมเต็มๆ ที่ผู้รักษาประตูชาวบราซิล ลงเป็นปราการด่านสุดท้าย เขาเสียประตูไปเพียง 22 ลูกในพรีเมียร์ลีก และเก็บคลีนชีตไปได้ถึง 21 นัด คว้ารางวัลถุงมือทองคํา ไปครอง ซึ่งในฤดูกาลที่แล้ว คาริอุส กับคลีนชีต ได้เพียง 10 เกมเท่านั้น

อลิสัน ทำให้เห็นชัดว่า 56 ล้านปอนด์ที่ “หงส์แดง” เสียไปให้กับเขา เขาสามารถก้าวขึ้นมายก ระดับทีมได้มากเพียงใด ทำให้ตำแหน่ง การซื้อซื้อขายนักเตะยอดเยี่ยม ในฤดูกาลนี้จึงตกเป็นของเขาอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ

คลิกอ่าน >>> 5 อันดับการซื้อขายตัวยอดเยี่ยม/ยอดแย่
ประจำพรีเมียร์ลีก 2018/19 … by “Maxzio”

ดีลยอดแย่
เฟร็ด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
(53.1 ล้านปอนด์ จาก ชัคตาร์ โดเน็ทส์ค)

Jose Breton- Pics Action / Shutterstock.com

ความตื่นเต้นหนึ่งเดียวของสาวก “ปีศาจแดง” ในตลาดซื้อขายปีนี้ แม้ว่าพวกเขาจะตกเป็นข่าวกับนักเตะชั้นนำมากมายแต่ เฟร็ด คือนักเตะเพียงคนเดียวที่พอจะฝากความหวังได้จาก 3 ตัวที่ซื้อเข้ามา แถมยังมีความสะใจเพราะไปปาดหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อริร่วมเมือง ดึงตัวเข้ามาจาก ชัคตาร์ โดเน็ทส์ค ด้วยราคามหาโหด 53 ล้านปอนด์

กองกลางชาวบราซิล คว้าแชมป์กับ ชัคตาร์ โดเน็ทส์ค มาแล้ว 10 โทรฟี่ ตลอด 5 ปีที่ลงรับใช้ทีม พ่วงด้วยผลงาน 14 ประตู และดีกรีทีมชาติบราซิล ชุดใหญ่ พาแฟน แมนฯ ยูไนเต็ด แอบฝันหวาน แต่ก็เป็นได้แค่ความฝัน เฟร็ด ปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษไม่ได้เลย ได้รับโอกาสลงสนามเพียง 17 เกมในพรีเมียร์ลีก รวมเวลาแค่ 1,044 นาที เฉลี่ยเกมละชั่วโมงเท่านั้น

นอกจากนี้ยังสร้างความผิดพลาดให้ทีมเสียประตู 1 ครั้งจากการโดนตัดบอลกลางสนามในลีก และเช่นเดียวกับ จอร์จินโญ่ แม้ว่าช่วงหลัง เฟร็ด จะเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น แต่หากเทียบกับ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ดาวรุ่งของทีม ยังแทบจะสู้ไม่ได้ บวกกับค่าตัว 53 ล้านที่เสียไปแล้วนั้น เฟร็ด ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับ แมนฯ ยูไนเต็ด

แมตช์แห่งฤดูกาล
แมนฯ ซิตี้ 2-1 ลิเวอร์พูล (คลิกชมไฮไลท์)

AP Photo/Dave Thompson

ใครจะไปคิดว่าสามคะแนนของ แมนฯ ซิตี้ ในเกมนั้นจะมีความหมายที่มากจนประเมินค่ามิได้ มากพอที่จะส่งให้พวกเขาผงาดขึ้นครองแชมป์พรีเมียร์ลีกในวันสุดท้ายของฤดูกาล ด้วยการมีแต้มมากกว่าคู่แข่งในวันนั้นอย่าง ลิเวอร์พูล เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น !!!

ย้อนกลับไปในวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ก่อนเกมมีแต้มตามหลัง “หงส์แดง” อยู่ถึง 7 คะแนน จำเป็นที่จะต้องเปิดบ้านเอาชนะลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้ได้ แถมก่อนหน้านั้น ลิเวอร์พูล เอง ก็เพิ่งจะไล่ถล่ม อาร์เซน่อล มาแบบพังยับถึง 5-1 เรียกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาของความมั่นใจเต็มเปี่ยม

แต่จนแล้วจนรอด ด้วยความนิ่งของนักเตะเจ้าถิ่น บวกกับแทคติกของ เป๊ป ที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ดีพอที่จะยัดเยียดความปราชัยให้กับ ลิเวอร์พูล ได้เป็นเกมแรกในซีซั่นนี้ หลังเปิดบ้านอัด “หงส์แดง” ไปแบบสุดมันส์ 2-1 บีบช่องว่างให้แคบลงเหลือเพียงสี่คะแนน และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โมเมนตั้มการลุ้นแชมป์ของพวกเขามีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเป็นการโยนความกดดันไปให้กับฝั่งอดีตแชมป์ลีก 18 สมัยแทน

ว่ากันว่าชัยชนะของ “เรือใบสีฟ้า” ในเกมนั้นคือความพีคแล้ว แต่แล้วความพีคของพีคที่มากกว่านั้นก็คือ จังหวะการสกัดบอลจากเส้นของ จอห์น สโตนส์ ที่มีการพิสูจน์จากเทคโนโลยี “โกล์ ไลน์” แล้วว่า “หงส์แดง” ต้องการอีกเพียงแค่ 11 มิลลิเมตรเท่านั้น เพื่อได้ประตูดังกล่าว และหากลองจินตนาการเล่นว่าๆ เกมนั้นจบลงด้วยผลเสมอ 2-2 แล้วทุกอย่างดำเนินตามปกติ ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการมีแต้มมากกว่า แมนฯ ซิตี้ 1 คะแนน !!!

ทีมที่ทำผลงานได้เกินความคาดหมาย
วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส

57 คะแนนที่ “หมาป่า” ทำได้ในซีซั่นนี้ ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่ อิปสวิช ทาวน์ ที่ทำได้ 66 คะแนน ก่อนจบด้วยอันดับ 5 ในปี 2000/01  นอกจากนี้พวกเขาจะยังสร้างสถิติเป็นทีมที่มีอันดับต่ำกว่า Top 6 ที่สามารถเอาชนะทีมในกลุ่ม Top 6 ได้ถึง 4 ทีม (เฉพาะพรีเมียร์ลีก) ได้แก่ เชลซี, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึง อาร์เซน่อล และถ้านับรวมรายการฟุตบอลถ้วยอื่นๆ ก็จะกลายเป็น 5 ทีม โดยเพิ่มชื่อของ ลิเวอร์พูล เป็นอีกหนึ่งเหยื่ออันโอชะของพวกเขา

จุดแข็งของ วูล์ฟส์ ในซีซั่นนี้ก็คือ เกมรับที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเป็นอันดับ 5 ในลีก เป็นรองแค่สี่ทีมจากกลุ่ม Top 4 เท่านั้น (เสีย 46 ประตู) และดีกว่าทีมยักษ์ใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยซ้ำ ขณะที่เกมรุก ฟอร์มการถล่มประตูของ ราอูล ฆิเมเนซ (13 ประตู) ก็ยังเหนือกว่าแข้งระดับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, โรเมลู ลูกากู หรือแม้แต่ ซน ฮึง มิน ด้วยซ้ำ เรียกว่า วูล์ฟแฮมป์ตัน มีสมดุลทั้งเกมรุก และเกมรุกอยู่ในจุดที่ดีจนเรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์แฟนบอลเลยก็ว่าได้

ทีมที่ทำผลงานได้ต่ำกว่าความคาดหมาย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

AP Photo/Rui Vieira

การถูกทีมที่หล่นชั้นไปแล้วอย่าง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ บุกมาอัดซะพังยับถึง 0-2 คาถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกมนัดสิ่งท้ายฤดูกาล คือความอัปยศอดสูของเหล่า “เร้ด เดวิลส์” ทั้งโลกที่ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องแบกรับความรู้สึกพังๆ นี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะตลอดช่วงสิบนัดสุดท้ายในลีก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และลูกทีมต้องเผชิญกับความปราชัยไปมากถึง 5 นัดด้วยกัน แถมในห้าแมตช์ดังกล่าวพวกเขายังโดนเจาะตาข่ายไปถึง 12 ประตู และยิงคืนกลับมาได้เพียงแค่ลูกเดียวจาก สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์

หลายๆ คนต่างพากันตั้งคำถามว่า จิตวิญญาณความเป็นนักสู้ของ ยูไนเต็ด นั้นหายไปไหน เพราะนับตั้งแต่ที่หมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไป “ปีศาจแดง” ก็ไม่สามารถกลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นได้เลย แม้จะถูกเติมเต็มด้วยมันสมอง และประสบการณ์ของกุนซือระดับโลกทั้ง หลุยส์ ฟาน กัล และโชเซ่ มูรินโญ่ อยู่ก็ตาม กระทั่งมาถึงยุคของ โซลชา ที่เป็นผลผลิตจากความเชื่อมั่นของ อเล็กซ์ แต่นั่นหาทำให้สโมสรฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

นักเตะค่าตัวแพงอย่าง ปอล ป็อกบา กลายเป็นแข้งจอมยี้ของแฟนบอล, อเล็กซิส ซานเชซ ไม่เหลือลายนักเตะที่ดีที่สุดของ ชิลี นับตั้งแต่หมดยุค อีวาน ซาโมราโน่ และมาร์เซโล่ ซาลาส ส่วน ดาบิด เด เกอา ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนายทวารที่ดีที่สุดในโลก ถูกเผยจุดอ่อน และโดนเล่นงานอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นี่ไม่ต้องนับเด็กๆ อย่าง เจสซี่ ลินการ์ด หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่กลายเป็นแข้งเห็นแก่ตัวในสนาม ส่วนคนดีๆ อย่าง อันเดร เอร์เรร่า กลับเป็นนักเตะที่ต้องเก็บกระเป๋าออกจากรั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไป…

แล้วแบบนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างไร ?

66 คะแนนในซีซั่นนี้ ถือเป็นแต้มที่น้อยที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของทีมนับตั้งแต่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก เช่นเดียวกับการจบอันดับ 6 ของตาราง ก็ยังเป็นผลงานที่แย่ที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สโมสรนับตั้งแต่ลงเล่นพรีเมียร์ลีกเช่นกัน

แต่ประเด็นใหญ่กว่านั้นของ “ปีศาจแดง” ก็คือ พวกเขากลายเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดที่มีเกมรับย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร (เสีย 54 ประตู) นับตั้งแต่ปี 1978/79 หากจะบอกว่า สิ่งที่บอร์ดบริหารสโมสรควรจะโฟกัสในตลาดซื้อขายนักเตะให้มากที่สุด เห็นทีคงหนีไม่พ้น การยกเครื่องแนวรับใหม่ เพราะเกมรุกจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณได้แชมป์ !!! ถือเป็นฤดูกาลที่น่าผิดหวังสุดๆ สำหรับทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเกาะอังกฤษ (แชมป์ลีก) อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“บก.เก้น”

 

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย

 

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID

ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้