รีเซต
“มาโน่ โพลกิ้ง” ทำอย่างไร ถึงพาไทยก้าวสู่แชมป์อาเซียนอีกครั้ง | Main Stand

“มาโน่ โพลกิ้ง” ทำอย่างไร ถึงพาไทยก้าวสู่แชมป์อาเซียนอีกครั้ง | Main Stand

“มาโน่ โพลกิ้ง” ทำอย่างไร ถึงพาไทยก้าวสู่แชมป์อาเซียนอีกครั้ง | Main Stand
เมนสแตนด์
2 มกราคม 2565 ( 23:00 )
430

หากจะกล่าวถึงใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทีมชาติไทย ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 ชื่อของ “มาโน่ โพลกิ้ง” ย่อมเป็นบุคคลที่แฟนกีฬาชาวไทยนึกถึง

 


ย้อนกลับไปยังวันที่หลายคนมีเครื่องหมายคำถามกับกุนซือรายนี้ จนถึงวันที่เขาพาทัพช้างศึกกลับสู่บัลลังก์เจ้าอาเซียนอีกครั้ง มาโน่ โพลกิ้ง ได้แสดงให้เห็นถึงฝีมือการคุมทีมของเขา และยังสามารถลบคำสบประมาทที่เขาเจอมาตลอดชีวิตได้สำเร็จ

Main Stand จะพาคุณย้อนดูการทำงานของ มาโน่ โพลกิ้ง ที่ช่วยเรียกศรัทธากลับคืนสู่ทีมชาติไทยอีกครั้ง เขามีไม้เด็ดอะไรจึงสามารถสำเร็จภารกิจที่เฮดโค้ชระดับฟุตบอลโลก 2 คนไม่สามารถทำได้ ?

 

เรียกนักเตะที่คุ้นมือและมีความเข้าใจในแทคติก

ย้อนกลับไปยังวันที่ มาโน่ โพลกิ้ง ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือคนใหม่ของทีมชาติไทยด้วยสัญญาระยะสั้นเพียง 4 เดือน ทัวร์นามเมนต์ลองงานอย่าง ซูซูกิ คัพ ถือเป็นความท้าทายสูงสุดในอาชีพของกุนซือชาวเยอรมัน เพราะไม่เพียงเขาต้องตอบโจทย์ความต้องการของแฟนบอลชาวไทยที่อยากกลับไปเป็นเจ้าอาเซียนอีกครั้ง แต่ทัพช้างศึกยังมีเวลาเก็บตัวและลงฝึกซ้อมร่วมกันก่อนลงแข่งขันเกมแรกเพียง 5 วัน

การเรียกนักเตะทั้ง 30 คนเข้าสู่ทีมจึงกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญในการทำงานของ มาโน่ โพลกิ้ง เพราะถ้าหากทีมงานสามารถเลือกนักเตะที่มีความเข้าขารู้ใจกันอยู่ก่อนหน้าก็จะช่วยลดเวลาในการเตรียมตัวลงไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเลือกนักเตะที่เข้าใจรูปแบบการเล่นของ มาโน่ โพลกิ้ง อยู่แล้ว การเข้าแคมป์ฝึกซ้อมเพียง 5 วันก็ไม่ใช่ระยะเวลาที่น้อยเกินไปเลย

นักเตะส่วนใหญ่ที่ มาโน่ โพลกิ้ง เรียกมาติดทีมชาติไทยในการแข่งขันซูซูกิ คัพ ครั้งนี้ จึงมักเป็นนักเตะที่ มาโน่ โพลกิ้ง เคยร่วมงานด้วย หรือคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน โดยแข้งชื่อดังอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ปกเกล้า อนันต์, อดิศักดิ์ ไกรษร และ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ที่ต่างเคยร่วมงานกับมาโน่ ตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล U-22 ชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก เมื่อปี 2012

นักเตะอย่าง มานูเอล ทอม เบียรห์ และ ทริสตอง โด ถือเป็นกำลังหลักของทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ซึ่ง มาโน่ โพลกิ้ง เคยคุมทีมอยู่นาน 7 ฤดูกาล จึงรู้วิธีการใช้งานเป็นอย่างดี ส่วนนักเตะรายอื่นที่เขาไม่เคยร่วมงานเป็นการส่วนตัว อย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ธีราทร บุญมาทัน, สารัช อยู่เย็น, ธีรศิลป์ แดงดา และ ฟิลิป โรลเลอร์ ทั้งหมดต่างเป็นนักเตะที่โลดแล่นและโด่งดังในไทยลีกช่วงปี 2016-17 ซึ่งถือเป็นจุดพีคของมาโน่ในการคุมทัพแข้งเทพ เขาจึงต้องเคยศึกษาและทำความรู้จักกับบรรดาแข้งเหล่านี้เป็นอย่างดี

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการนำ กฤษดา กาแมน มิดฟิลด์ตัวรับของชลบุรี เอฟซี กลับมายืนในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คอีกครั้ง ทั้งที่เจ้าตัวเปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นกองกลางได้หลายฤดูกาลแล้ว แต่เนื่องจากปี 2018 ที่กฤษดาเพิ่งก้าวมาแจ้งเกิดในไทยลีกด้วยตำแหน่งกองหลัง มาโน่ โพลกิ้ง เองก็ยังคงโลดแล่นในไทยลีกและได้เห็นความสามารถของนักเตะรายนี้ด้วยตาของตัวเองมาแล้ว

นับนิ้วดูจากรายชื่อที่ไล่ไปข้างต้น มาโน่ โพลกิ้ง มีนักเตะที่ตัวเขาคุ้นเคยและมั่นใจว่าจะสามารถปรับตัวเข้ากับแทคติกของตนภายในระยะเวลา 5 วันได้มากกว่าสิบคน นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขามีผู้เล่นตัวจริงในใจอยู่แล้ว ซึ่ง มาโน่ มีตัวเลือกเพิ่มอีกจากนักเตะที่กำลังฟอร์มแรงในรอบปีที่ผ่านมา ทั้ง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร และ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ส่งผลให้แผนการเล่นในหัวของเขาสมบูรณ์มากขึ้นไปอีก

เมื่อบวกกับระบบที่ผู้จัดการทีมที่กลับมาสู่ทีมชาติไทยอีกครั้ง อย่าง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ทัพช้างศึกสามารถเรียกตัวผู้เล่นเข้ามาสู้ศึกซูซูกิ คัพ ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

หลังก่อนหน้านี้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ทีมชาติไทยไม่สามารถใช้งานสองแข้งจากเจลีก อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน ส่วนในซูซูกิ คัพ 2018 นั้น ทัพช้างศึกก็ไม่สามารถเรียกใช้งานนักเตะจากญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน นั่นคือ ชนาธิป, ธีราทร และ ธีรศิลป์ แดงดา

การเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทยคนใหม่ของ นวลพรรณ ล่ำซำ จึงกลายเป็นแรงสนับสนุนที่ช่วยให้นักเตะคนสำคัญของทีมชาติไทยกลับมาลงเล่นในซูซูกิ คัพ อีกครั้ง เมื่อบวกกับความสำคัญของนักเตะเหล่านี้ที่ มาโน่ โพลกิ้ง เข้าใจวิธีใช้งานเป็นอย่างดี 

นักเตะจากเจลีกจึงเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มทัพช้างศึกในวินาทีสุดท้ายก่อนการแข่งขัน และช่วยให้ทีมชาติไทยชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 ไม่มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับระบบการเล่นของ มาโน่ โพลกิ้ง แม้มีระยะเวลาการเก็บตัวเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ และสามารถก้าวไปคว้าแชมป์ของทัวร์นาเมนต์ได้ในเวลาต่อมา

 

ระบบการเล่นที่มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนนักเตะได้ตลอดเวลา

มาโน่ โพลกิ้ง ส่งนักเตะชุดแรกลงไปเจอกับติมอร์-เลสเตในนัดเปิดสนาม ด้วยระบบ 4-3-3 โดยเกมดังกล่าว 2 นักเตะจากเจลีก ทั้ง ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน ต่างยังไม่พร้อมจะลงสนาม กุนซือชาวบราซิลจึงทำเซอร์ไพรส์ด้วยการทดแทนแบ็คซ้ายตัวจริงที่หายไป ด้วยการนำ ทริสตอง โด ซึ่งเป็นแบ็คขวามาลงเล่นในตำแหน่งนี้แทน

เมื่อเกมแรกจบลงด้วยชัยชนะเหนือติมอร์-เลสเต เพียง 2-0 ฝีมือของมาโน่เริ่มถูกตั้งคำถามโดยแฟนฟุตบอลบางกลุ่ม ก่อนเขาจะแสดงให้เห็นถึงภาพแท้จริงที่คิดไว้ในหัว เมื่อได้ ธีราทร บุญมาทัน กลับมายืนในตำแหน่งแบ็คซ้าย และเลือกใช้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในตำแหน่งปีกซ้าย แทนที่ บดินทร์ ผาลา ซึ่งเป็นนักเตะความเร็วสูงในเกมแรก ส่วนกองกลางได้มีการเลือกใช้ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร แทนที่ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์

ชัยชนะเหนือเมียนมา 4-0 ในเกมที่สองจึงเปิดเผยจุดแข็งสำคัญของแทคติกมาโน่ นั่นคือฟุตบอลแบบ “ปล่อยให้ทำไป” กล่าวคือ มาโน่ โพลกิ้ง จงใจให้สองนักเตะจากเจลีกซึ่งแน่นอนว่ามีทักษะและความสามารถสูงกว่านักเตะทุกคนในทัวร์นาเมนต์ ลงเล่นพร้อมกันในบริเวณฝั่งซ้ายของสนาม เพื่อเป็นหัวใจในการสร้างเกมรุกซึ่งยากจะรับมือ

เมื่อลงลึกไปในรายละเอียด จะพบว่า มาโน่ โพลกิ้ง ไม่ได้กำชับว่า ชนาธิป และ ธีราทร จะต้องเล่นในรูปแบบเคร่งครัด (เช่น ต้องนำบอลเข้ากรอบเขตโทษเท่านั้น) แต่ให้ทั้งสองนักเตะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ซึ่งท้ายที่สุด ทั้ง ชนาธิป และ ธีราทร จะเลือกลูกเก่งลูกถนัดของตัวเองมาใช้งานในการแข่งขันจริง ซึ่งแน่นอนว่านักเตะทีมชาติไทยรายอื่นย่อมเข้าใจจุดแข็งของเพื่อนร่วมทีมและสามารถเล่นตามจังหวะบอลที่สองแข้งเจลีกกำหนดให้ได้

ธีรศิลป์ แดงดา จึงกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในการแข่งขันรอบแรก เพราะเจ้าตัวมีเซนส์บอลในระดับใกล้เคียงกับ ชนาธิป และ ธีราทร อยู่แล้ว พวกเขาทั้งสามแค่ประสานงานในรูปแบบฟุตบอลที่เคยฝึกมายังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรูปแบบตรงนี้ก็เหนือชั้นพอจะทำให้กองหลังทั่วอาเซียนหัวหมุนจนปราศจากวิธีการรับมือแล้ว

การประสานงานของสองแข้งเจลีกจึงถือเป็นหัวใจของทีมชาติไทยชุดนี้ แต่แน่นอนว่าทัวร์นาเมนต์ที่เตะถี่มาก ๆ อย่าง ซูซูกิ คัพ หากต้องการใช้ประโยชน์จากนักเตะสักคนให้มากที่สุด จะต้องมีการโรเตชั่นเพื่อเปิดทางให้แข้งตัวหลักได้พักบ้าง ซึ่ง มาโน่ โพลกิ้ง ทำผลงานตรงนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนผู้ชมทางบ้านไม่ได้สัมผัสถึงประสิทธิภาพที่ลดลงเมื่อแข้งสำรองลงสนาม

ทีมชาติไทยเปลี่ยนผู้เล่นตัวจริง 11 คนจากแมตช์ก่อนหน้า ในเกมที่พวกเขาเอาชนะสิงคโปร์ 2-0 ก่อนจะพักผู้เล่นตัวหลักบางส่วนในเกมที่ทัพช้างศึกเอาชนะอินโดนีเซีย 4-0 นี่แสดงถึงประสิทธิภาพของทีมที่ไม่ลดลงและยังเปิดเผยการปรับเปลี่ยนแทคติกของ มาโน่ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ชนาธิป สรงกระสินธ์ ถูกปรับมายืนหลังกองหน้าตลอดสองเกมกับเวียดนาม ก่อนจะถูกโยกไปสร้างความอันตรายทางกราบซ้ายอีกครั้งในเกมนัดแรกที่พบกับอินโดนีเซีย เนื่องจากการขาดหายไปของ ธีราทร บุญมาทัน ก่อนจะกลับมายืนหลังกองหน้าอีกครั้งในเกมนัดที่สอง

นอกจากนี้ มาโน่ โพลกิ้ง ยังปรับเปลี่ยนการใช้แผนกองหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยในทัวร์นาเมนต์ซูซูกิ คัพ 2020 มาโน่ โพลกิ้ง เลือกใช้แผนกองหน้าทั้ง 1 คน, 2 คน และ 3 คน นอกจาก ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งเป็นตัวยืนเพียงคนเดียว ผู้เล่นตัวรุกที่เหลือสามารถถูกปรับเปลี่ยนและเลือกใช้งานตามความความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละนัด

ระบบการเล่นที่มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนนักเตะได้ตลอดเวลา จึงเป็นความสำเร็จที่เราไม่ได้เห็นกันมานานจากฟุตบอลทีมชาติไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกุนซือสองคนก่อนหน้าที่มีแทคติกในหัวชัดเจนแต่ปราศจากความเข้าใจนักเตะไทย จึงไม่สามารถหารูปแบบการเล่นที่เหมาะสมกับความสามารถหรือประยุกต์ตามสถานการณ์เบื้องหน้า จนไม่สามารถรีดศักยภาพของแข้งช้างศึกออกมาได้เต็มร้อยแบบที่ มาโน่ โพลกิ้ง แสดงให้เห็นในซูซูกิ คัพ ครั้งนี้

 

สนับสนุนลูกทีมและยืนเคียงข้างนักเตะตลอดเวลา

ก่อนอื่นเราต้องยอมรับความจริงว่า มาโน่ โพลกิ้ง มีสถานะไม่ต่างจาก “กุนซือทีมชาติไทยชั่วคราว” เพราะสัญญาที่เขาได้รับมีระยะเวลาสั้นเพียง 4 เดือน หากผลงานในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนไม่เข้าเป้า เขาสามารถเตรียมหางานใหม่ได้ทันที ยิ่งบวกกับผลงานที่ไม่เคยคว้าแชมป์ใดตลอดอาชีพเฮดโค้ช มาโน่ โพลกิ้ง จึงต้องเผชิญหน้ากับความไม่เชื่อมั่นจากแฟนบอล หรือแม้กระทั่งนักเตะในทีม

มาโน่ โพลกิ้ง ออกมาเปิดเผยด้วยตัวเองหลังเขาพาทัพช้างศึกเอาชนะอินโดนีเซีย 4-0 ว่า เป็นความจริงที่นักเตะในทีมบางคนไม่เชื่อมั่นในตัวเขา แต่แทนที่ มาโน่ จะก่อคลื่นใต้น้ำหรือเลือกใช้ความเข้มงวดในฐานะเฮดโค้ชควบคุมผู้เล่นในทีม กุนซือชาวบราซิลกลับเลือกใช้ความเชื่อมั่นที่ตัวเขามีต่อนักเตะและความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวเองเป็นเครื่องมือมัดใจขุนพลทัพช้างศึกไปพร้อมกับการสรรค์สร้างความสำเร็จบนสนามฟุตบอล

“ผมเข้ามาทำงานโดยมีเวลาไม่มากในการเตรียมทีม ในตอนแรกหลายคนไม่ค่อยเชื่อมั่นตัวผมเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมชัดเจนคือ ผมมั่นใจในแนวทางการทำทีมของตัวเอง และมั่นใจนักเตะทุกคนที่มาอยู่กับเรา มันเป็นเป้าหมายของเราในการคว้าแชมป์ เพราะผมเชื่อในคุณภาพ และเชื่อว่าเราสามารถทำได้” มาโน่ โพลกิ้ง เปิดใจ หลังพาทีมชาติไทยคว้าชัยรอบชิงชนะเลิศนัดแรก

หากย้อนกลับไปมองบทสัมภาษณ์ของ มาโน่ โพลกิ้ง ในแต่ละเกมจะพบว่า เขาวางตัวค่อนข้างดีในฐานะกุนซือทีมชาติไทย และเห็นได้ชัดที่สุดคือ มาโน่ โพลกิ้ง ไม่ลังเลที่จะปกป้องลูกทีมจากทุกการตัดสินใจอันเป็นประเด็นหลังจบเกม ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักฟุตบอลไทยลงเล่นอย่างเต็มที่ในสีเสื้อทีมชาติ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ห่างหายไปนาน

ยกตัวอย่างเกมที่ทีมชาติไทยเอาชนะสิงคโปร์ 2-0 ซึ่ง มาโน่ โพลกิ้ง เปลี่ยนผู้เล่นตัวจริงยกชุด เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังจบเกมว่า “เหตุผลที่ผมเปลี่ยนนักเตะทั้ง 11 คนในเกมนี้ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวผู้เล่น ทุกคนแสดงให้ผมเห็นถึงความทุ่มเท ทำให้พวกเขาเหมาะสมที่จะได้รับโอกาส”

นี่คือการออกมาให้สัมภาษณ์ที่ชาญฉลาดของมาโน่ เพราะแทนที่เขาจะพูดว่า เราเลือกพักผู้เล่นตัวจริงเพราะเข้ารอบแล้วหรือ เราเลือกจะพักตัวจริงเพื่อเตรียมพร้อมกับเกมต่อไป มาโน่ โพลกิ้ง กลับเลือกที่จะพูดถึงการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการให้โอกาสนักเตะที่ไม่ได้ลงสนาม เนื่องจากผู้เล่นทุกคนในทีมชาติไทยชุดนี้ต่างทำงานหนักเหมือนกันทั้งหมด

มาโน่ โพลกิ้ง ยืนเคียงข้างนักเตะในทีมของเขาอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวตัดสินใจส่ง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ลงสนามในเกมที่ทีมชาติไทยเอาชนะอินโดนีเซีย 4-0 หลังมือกาวจากทีมโอเอช ลูเวิน เพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติลูกทีมของ มาโน่ โพลกิ้ง และความเข้าอกเข้าใจที่เขามีต่อนักเตะในทีมที่กำลังเจอสถานการณ์อันยากลำบาก

“ผมส่งกวินทร์ลงมาเพราะผมอยากให้เขาได้รับโอกาส ให้เขามีความทรงจำที่ดี ผมไม่ได้ประมาทอินโดนีเซีย แต่เมื่อสกอร์เราทำได้ดี ผมจำเป็นต้องให้ผู้เล่นทุกคนได้มีโอกาสลงเล่น” มาโน่ โพลกิ้ง กล่าวทั้งน้ำตาถึงการให้ตัดสินใจส่งกวินทร์ลงสนามในเกมดังกล่าว

เมื่อทีมชาติไทยสามารถประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ซูซูกิ คัพ 2020 ในบั้นปลายของการแข่งขัน มาโน่ โพลกิ้ง จึงเป็นบุคคลที่แฟนฟุตบอลชาวไทยจดจำมากที่สุด เพราะเขาไม่เพียงจะทำงานอย่างเต็มที่ในฐานะเฮดโค้ชที่ต้องควบคุมรูปแบบการเล่นของนักเตะชาวไทย แต่ยังเอาชนะใจนักเตะในทีมและคนไทยทั่วประเทศ ทั้งที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในการคุมทีม เนื่องจากแรงสนับสนุนที่เขามีต่อลูกทีมที่พร้อมจะยืนเคียงข้างนักเตะของตนเองตลอดเวลา

หากเราย้อนมองทุกเหตุผลที่กล่าวมา มาโน่ โพลกิ้ง มีสิ่งเดียวซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาพาทีมชาติไทยกลับสู่ตำแหน่งเจ้าอาเซียนอีกครั้ง นั่นคือ “ความเข้าใจ” ซึ่งความสำเร็จตรงนี้สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่า ทีมชาติไทยล้มเหลวกับกุนซือระดับโลก 2 คนก่อนหน้า นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจในนักเตะไทยเลย

มาโน่ โพลกิ้ง ไม่เคยพาทีมลงเล่นในฟุตบอลโลก และไม่เคยแม้แต่จะคว้าแชมป์ไทยลีกด้วยซ้ำ แต่เขานำประสบการณ์ที่คลุกคลีกับฟุตบอลไทยยาวนานนับ 10 ปีมาแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ทั้งความเข้าใจในตัวนักเตะที่จะเลือกใช้, ความเข้าใจในแทคติกที่เลือกใช้ และความเข้าใจลูกทีมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

นี่คือกุนซือที่พาทีมชาติไทยกลับสู่ตำแหน่งเจ้าอาเซียนเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี เขาคือชายที่ชื่อว่า มาโน่ โพลกิ้ง และไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผู้ชายคนนี้ก็ได้กลายเป็นที่รักของแฟนฟุตบอลชาวไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

-------------------------------------------------

ดูสด ดูฟรี ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ... พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม
ต้อง App TrueID เท่านั้น โหลดเลย!!

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ << คลิกที่นี่

อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
คลิกเลย!! bit.ly/2PsYXMG หรือ กด *301*32# โทรออก

หรือ อัพเดทข่าวบอลไทยลีก กด *301*36# โทรออก

มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนทรรศนะ ตามประสาคนรักกีฬากันได้ที่ TrueID Community คลิกเลย!

ยอดนิยมในตอนนี้

สิทธิประโยชน์แนะนำ