
วิธีกำจัดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้าง่ายๆ ให้กลิ่นหอมอยู่เสมอสไตล์พ่อบ้านมืออาชีพ

ปัญหาเสื้อผ้าเหม็นอับจากตู้เสื้อผ้า ที่ผู้ชายหลายคนเจอแม้จะพยายามซักอย่างดีแล้ว แต่พอเก็บเข้าตู้ผ้าไปซักพักเมื่อนำออกมาใส่กลับมีกลิ่นเหม็นอับ แล้ววิธีกำจัดกลิ่นอับในดู้เสื้อผ้าที่ผู้ชายทำได้ง่ายๆ นั้นมีอะไรบ้าง TrueID Sport นำเคล็ดลับดีๆ มาฝากกัน
วิธีกำจัดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้าง่ายๆ
ให้กลิ่นหอมอยู่เสมอสไตล์พ่อบ้านมืออาชีพ
สาเหตุกลิ่นอับบนเสื้อผ้าส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อรา หรือแบคทีเรียที่เจริญเติบโต มักจะเป็นผลมาจากความชื้นหรือการตากผ้าที่ไม่เหมาะสม วิธีกำจัดกลิ่นอับและป้องกันไม่ให้กลับมาอีกคุณสมารถทำได้ดังนี้
วิธีจัดเก็บเสื้อผ้าอย่างถูกวิธี ไม่ให้มีกลิ่นอับ
สภาพแวดล้อมที่เก็บเสื้อผ้าสำคัญต่อการเกิดกลิ่นผ้ามาก วิธีเก็บเสื้อผ้าให่ไม่มีกลิ่นอับทำได้ดังนี้
- ตู้เสื้อผ้า และลิ้นชักต้องแห้งและอากาศถ่ายเทดี เสื้อผ้าหรือลิ้นชักเก็บผ้าของคุณต้องแห้งสนิทและมีอากาศถ่ายเทสะดวกอยู่เสมอ หากตู้เสื้อผ้าอับชื้น อาจจะทำให้เกิดกลิ่นได้
- อย่าอัดเสื้อผ้าแน่นเกินไป การยัดเสื้อผ้าจำนวนมากไว้ในพื้นที่จำกัด จะทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เสื้อผ้าจะอับชื้นง่ายขึ้น
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูดซับความชื้น หากตู้เสื้อผ้าหรือห้องมีความชื้นสูง ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูดซับความชื้น เช่น เม็ดซิลิกาเจล วางไว้ในตู้เสื้อผ้าเพื่อช่วยควบคุมความชื้นและสร้างกลิ่นหอมจากธรรมชาติ
การซักผ้าสำคัญมาก
1. ซักผ้าด้วยสารขจัดกลิ่นที่หาได้ในบ้าน
น้ำส้มสายชูขาว เป็นของในครัวที่สำหรับการดับกลิ่นอับ เพราะมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ ที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียต้นเหตุของกลิ่น แถมยังอ่อนโยนต่อผ้าอีกด้วย
วิธีซักด้วยมือ (สำหรับกลิ่นอับแรงๆ)
- ใช้ภาชนะหรือถังที่พอดีกับปริมาณผ้า
- ใส่น้ำส้มสายชูขาว 1 ส่วน ต่อน้ำเปล่า 2 ส่วนผสมให้เข้ากัน
- แช่ผ้าที่เหม็นอับจมลงไปในน้ำที่ผสมไว้ ให้ผ้าเปียกชุ่มทั่วถึงกัน
- แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที ถ้ากลิ่นแรงมากๆ อาจจะแช่นานขึ้นได้ถึง 1-2 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง เพราะอาจจะทำให้ผ้าบางชนิดเสียหายได้
- หลังจากแช่ครบเวลา ให้บีบน้ำจากผ้าออกพอหมาดๆ แล้วนำไปล้างน้ำเปล่าให้สะอาด หรือล้างน้ำผ่านๆ ก่อนนำไปซักตามปกติ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกลิ่นน้ำส้มสายชูติดอยู่มากเกินไป
วิธีซักด้วยเครื่องซักผ้า
- เติมน้ำส้มสายชูขาว 1 ถ้วย (ประมาณ 240 มล.) ลงไปในเครื่องซักผ้าพร้อมกับผงซักฟอกที่คุณใช้ตามปกติได้เลย น้ำส้มสายชูจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของผงซักฟอกในการขจัดกลิ่น
- แต่ถ้ากลิ่นอับไม่แรงมาก หรือต้องการเน้นการขจัดกลิ่นอับเป็นหลัก คุณสามารถใช้น้ำส้มสายชูขาวอย่างเดียว โดยไม่ต้องใส่ผงซักฟอกได้เลย (สำหรับผ้าที่ไม่สกปรกมาก เน้นขจัดกลิ่นอย่างเดียว)
- สำหรับเครื่องซักผ้าฝาหน้: ให้เทน้ำส้มสายชูขาวลงในช่องสำหรับใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มได้เลย เพราะเครื่องจะปล่อยน้ำส้มสายชูออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมของการซัก
- น้ำส้มสายชูขาวนอกจากจะช่วยดับกลิ่นแล้ว ยังทำหน้าที่เป็น น้ำยาปรับผ้านุ่มจากธรรมชาติ ได้อีกด้วย ทำให้ผ้าฟูนุ่มขึ้นโดยไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างเหมือนน้ำยาปรับผ้านุ่มบางชนิด
ผงฟู หรือ เบกกิ้งโซดา เป็นตัวช่วยธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมในการดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เพราะมีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อน ๆ ที่ช่วยปรับสมดุลค่า pH และดูดซับโมเลกุลของกลิ่นได้ดีมาก ทำให้ผ้านุ่มขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด โดยเฉพาะสำหรับผ้าที่บอบบางหรือไม่เหมาะกับการซักเครื่อง
วิธีซักด้วยมือ
- ตรวจสอบป้ายเสื้อผ้าก่อนเสมอ เพื่อดูคำแนะนำในการซักและอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม ผ้าบางชนิด เช่น ผ้าไหม ขนสัตว์ อาจต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
- เติมน้ำลงในกะละมัง ตามปริมาณที่พอจะท่วมเสื้อผ้าที่คุณจะซักเช็คเนื้อผ้าว่าใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง ในป้ายเสื้อ
- ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในน้ำ ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ สำหรับผ้าไม่กี่ชิ้น หรือ ประมาณ 1/4 - 1/2 ถ้วยตวง สำหรับผ้าปริมาณเยอะขึ้น หรือกลิ่นอับแรงๆ ประมาณ 60-120 กรัม คนน้ำกับเบกกิ้งโซดาให้ละลายเข้ากันดี
- ถ้าเสื้อผ้าสกปรกหรือมีคราบ ให้เติมผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าสำหรับซักมือลงไปเล็กน้อยคนให้ละลายเข้ากับน้ำเบกกิ้งโซดา
- นำเสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับลงไปแช่ในน้ำที่เตรียมไว้ กดให้ผ้าจมน้ำและเปียกชุ่มทั่วถึงกัน สำหรับกลิ่นอับทั่วไปแช่ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง สำหรับกลิ่นอับฝังแน่นหรือคราบหนักแช่ทิ้งไว้ 2-4 ชั่วโมง หรือแช่ข้ามคืนก็ได้
- หลังจากแช่เสร็จ ให้ใช้มือขยี้ผ้าเบาๆ เน้นบริเวณที่มีกลิ่นอับหรือคราบสกปรก จากนั้นล้างน้ำเปล่า
บีบน้ำออกเบาๆ จากนั้นนำผ้าลงไปแกว่งเบาๆ เพื่อล้างฟองและคราบสกปรกออก ทำซ้ำขั้นตอนนี้หลายๆ ครั้งจนกว่าน้ำจะใสและไม่มีฟองผงซักฟอกเหลืออยู่ - นำผ้าไปตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และมีแสงแดดส่องถึง แสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อและทำให้ผ้าแห้งสนิท หอมสดชื่น
วิธีซักด้วยเครื่องซักผ้า
เติมเบกกิ้งโซดาประมาณ 120-240 กรัม ลงไปในช่องใส่ผงซักฟอกพร้อมกับผงซักฟอกที่คุณใช้ตามปกติได้เลย มันจะช่วยลบล้างกลิ่นอับที่ยังหลงเหลืออยู่ในผ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้ผงซักฟอกทำงานได้ดีขึ้นด้วย
2.ซักผ้าด้วยผงซักฟอก / สารเสริมที่มีส่วนผสมของออกซิเจนบลีช
หากกลิ่นอับฝังแน่นจนน้ำส้มสายชูหรือเบกกิ้งโซดาเอาไม่อยู่ ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ ออกซิเจนบลีช (Oxygen Bleach) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะปล่อยออกซิเจนออกมาเมื่อสัมผัสกับน้ำ ซึ่งออกซิเจนนี้จะไปทำปฏิกิริยาเพื่อสลายคราบสกปรกและฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดกลิ่น โดยไม่ทำลายสีผ้าเหมือนคลอรีนบลีช
วิธีแช่ผ้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด: สำหรับกลิ่นที่ฝังแน่นมาก ๆ ให้ละลายผงออกซิเจนบลีชในน้ำ (ตามอัตราส่วนที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์) แล้วนำเสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับลงไปแช่ทิ้งไว้ ประมาณ 3-6 ชั่วโมง หรืออาจจะแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนสำหรับกลิ่นที่รุนแรงมากๆ หลังจากแช่เสร็จแล้ว ให้นำผ้าไปซักตามปกติ
ผงซักฟอกที่มีเอนไซม์ (Enzyme-Based Detergents)
หากกลิ่นอับบนเสื้อผ้าของคุณมีสาเหตุหลักมาจากเหงื่อ หรือกลิ่นกายที่หมักหมมใช้ผงซักฟอกที่มีเอนไซม์ จะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับกำจัดกลิ่นเหงื่อ ผงซักฟอกที่มีเอนไซม์ ทำหน้าที่เป็น "ตัวย่อย" ที่เข้าไปสลายโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในคราบเหงื่อไคล ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่น เมื่อแบคทีเรียไม่มีอาหาร กลิ่นอับก็จะหายไปจึงเหมาะกับเสื้อผ้าออกกำลังกายหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนคราบเหงื่อหนักๆ
ผงซักฟอกสูตรเข้มข้น (Heavy-Duty Detergents)
ผงซักฟอกทั่วไปอาจไม่เพียงพอสำหรับกลิ่นอับที่ฝังแน่นจริง ๆ ผงซักฟอกสูตรเข้มข้นมักจะมีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่ทรงพลังกว่า สารขจัดคราบ และอาจมีเอนไซม์ในปริมาณที่สูงกว่า เพื่อให้สามารถรับมือกับคราบสกปรกหนักๆ และกลิ่นอับที่ติดทนได้ดีกว่าผงซักฟอกปกติ
เคล็ดลับสำคัญในการซักผ้าให้หอมอยู่เสมอ
นอกจากการเลือกใช้น้ำยาขจัดกลิ่นแล้ว วิธีการซักผ้าก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้เสื้อผ้าของคุณหายเหม็นอับได้อย่างหมดจด
- ซักผ้าด้วยน้ำที่อุณหภูมิสูงสำหรับเนื้อผ้าที่สามารถซักด้วยน้ำร้อนได้ น้ำร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นอับได้ดีเยี่ยม
- อย่าใส่ผ้าจนแน่นถังมากเกินไปสิ่งสำคัญคือต้องให้เสื้อผ้าของคุณมีที่ว่างพอในถังซัก อย่าอัดผ้าแน่นจนเกินไป เพราะการใส่ผ้าแน่นเกินไปจะทำให้น้ำและผงซักฟอกจะไม่สามารถหมุนเวียนไปทั่วถึงทุกซอกทุกมุมของผ้าได้ ทำให้ผ้าไม่สะอาด รวมถึงผงซักฟอกและคราบสกปรกอาจตกค้างอยู่บนผ้าได้ง่าย ทำให้ซักไม่สะอาด และอาจเป็นสาเหตุของกลิ่นอับซ้ำได้
- เปิดใช้โปรแกรมล้างน้ำเปล่าเพิ่ม (Extra Rinse Cycle) ถ้าเครื่องซักผ้าของคุณมีปุ่มหรือโปรแกรม "ล้างน้ำเปล่าเพิ่ม" (Extra Rinse) แนะนำให้กดใช้ทุกครั้งที่ซักผ้าที่มีกลิ่นอับเพราะการเพิ่มขั้นตอนล้างน้ำเปล่าอีกหนึ่งรอบจะช่วยให้ ทั้งคราบผงซักฟอกและต้นตอของกลิ่นอับถูกชะล้างออกจากเนื้อผ้าจนหมดจดจริงๆ ทำให้ไม่เหลือสิ่งตกค้างที่เป็นสาเหตุให้กลิ่นอับกลับมาใหม่ได้
- แยกซักผ้าเหม็นอับ ควรแยกเสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับออกจากผ้าอื่นๆ ที่ไม่มีกลิ่นเสมอ เพราะกลิ่นอับและเชื้อโรคจากผ้าที่มีกลิ่น สามารถถ่ายเทไปติดเสื้อผ้าชิ้นอื่นได้ง่าย การแยกซักจะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับกลิ่นอับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้กลิ่นไปติดผ้าอื่นๆ ที่สะอาดอยู่แล้ว
3. การตากผ้าที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญ
หลังจากซักผ้าเสร็จแล้ว ขั้นตอนการตากผ้าก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าตากไม่ดี ตากไม่แห้งพอกลิ่นอับก็กลับมาได้ง่ายๆ
- อย่าทิ้งผ้าเปียกไว้ในเครื่องซักผ้าหรือตะกร้าผ้านานเกินไปเด็ดขาด เพราะสภาพแวดล้อมที่ชื้นและอุณหภูมิอุ่นๆ เป็นแหล่งชั้นดีที่เชื้อราและแบคทีเรียชอบมาก ทำให้เกิดกลิ่นอับได้อย่างรวดเร็วสุดๆ ดังนั้นทันทีที่เครื่องซักผ้าซักเสร็จ ให้รีบนำผ้าออกมาอบหรือตากทันที
- ให้เอาเสื้อผ้าไปตากกลางแจ้งในที่ที่โดนแดดจัดๆ แสงแดดมีรังสี UV ที่เป็นเหมือนยาฆ่าเชื้อธรรมชาติ ช่วยกำจัดสปอร์เชื้อราและแบคทีเรียได้ดีเยี่ยม แถมยังช่วยฟอกผ้าให้ขาวขึ้น และทำให้ผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่นจากธรรมชาติอีกด้วย
- ตากให้แห้งสนิท ต้องแน่ใจว่าเสื้อผ้า แห้งสนิทจริงๆ ก่อนที่จะพับเก็บหรือนำไปใส่ในตู้เสื้อผ้า เพราะแม้แต่ผ้าที่ชื้นนิดหน่อยก็สามารถทำให้เกิดกลิ่นอับขึ้นมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าหนาๆ เช่น ยีนส์ ผ้าขนหนู
- เวลาอบผ้าอย่าใส่ผ้าจนแน่นจนเกินไป ควรให้ผ้ามีที่ว่างพอจะหมุนเวียนได้สะดวก ไม่อย่างนั้นลมร้อนจะเข้าไม่ถึงทุกส่วน ทำให้ผ้าแห้งไม่ทั่วถึงและอาจเหม็นอับได้ ที่สำคัญอย่าลืมทำความสะอาดแผ่นกรองใยผ้าทุกครั้งหลังอบ เพื่อให้เครื่องทำงานได้เต็มที่และป้องกันสิ่งสกปรกสะสมซึ่งเป็นต้นตอของกลิ่นไม่พึงประสงค์
4.วิธีป้องกันไม่ให้กลิ่นอับกลับมา
การดูแลรักษาเสื้อผ้าและเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณบอกลากลิ่นอับได้อย่างถาวร
ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเป็นประจำ
- เปิดฝาเครื่อง และช่องใส่ผงซักฟอกหลังซักทุกครั้ง หลังจากซักผ้าเสร็จ ให้เปิดฝาเครื่องซักผ้าและช่องใส่ผงซักฟอกทิ้งไว้ เพื่อให้อากาศถ่ายเทและภายในเครื่องแห้งสนิท จะช่วยป้องกันการสะสมความชื้นและกลิ่นอับได้ดี
- เช็ดขอบยางเครื่องซักผ้าฝาหน้า สำหรับเครื่องซักผ้าฝาหน้า ให้ใช้ผ้าเช็ดขอบยาง (ปะเก็นยาง) บริเวณฝาเครื่องทุกครั้งหลังใช้ เพื่อป้องกันน้ำขังและเป็นแหล่งเพาะเชื้อรา
- เดินเครื่องเปล่าด้วยน้ำร้อนเดือนละครั้ง โดยเติมน้ำส้มสายชูขาว, เบกกิ้งโซดา หรือน้ำยาทำความสะอาดเครื่องซักผ้าโดยเฉพาะ ลงไปในถังซักวิธีนี้จะช่วยขจัดคราบสกปรก ผงซักฟอกที่ตกค้าง และเชื้อโรคต้นเหตุของกลิ่นอับได้อย่างหมดจด
เคล็ดลับที่ไม่ควรมองข้าม
ควรซักผ้าเป็นประจำอย่าทิ้งเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว โดยเฉพาะที่เปื้อนเหงื่อไว้นาน รีบนำไปซักทันที เพราะเหงื่อและสิ่งสกปรกเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่นอับไวมาก
เลี่ยงน้ำยาปรับผ้านุ่มส่วนเกิน ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มแต่พอดี เพราะบางครั้งคราบจากน้ำยาอาจตกค้างบนผ้า ดักจับแบคทีเรีย และทำให้เกิดกลิ่นอับได้ง่ายขึ้น
บทความที่คุณอาจสนใจ
- เล็บมือผู้ชายดูแลอย่างไรให้ประทับใจสาว สะอาดน่ามองบุคลิกภาพดี แบบง่ายๆ
- รวมรองเท้าผ้าใบผู้ชายสาย luxury แบรนด์ไหนดีราคาเท่าไหร่ ใส่ได้หลายโอกาส
- น้ำหอมผู้ชายกลิ่น Green Aromatic ยี่ห้อไหนดีหอมสดชื่นชวนหลงไหล
- 10 วิธีประหยัดเงิน ออมเงิน สำหรับมนุษย์เงินเดือน
- เวลาน้อยก็หุ่นดีได้ วิธีออกกำลังกายสำหรับผู้ชายเวลาน้อย