รีเซต
ฉุดไม่อยู่!! ส่องประวัติ จู๊ด เบลลิงแฮม จากดาวรุ่งพุ่งแรง สู่ระดับโลก

ฉุดไม่อยู่!! ส่องประวัติ จู๊ด เบลลิงแฮม จากดาวรุ่งพุ่งแรง สู่ระดับโลก

ฉุดไม่อยู่!! ส่องประวัติ จู๊ด เบลลิงแฮม จากดาวรุ่งพุ่งแรง สู่ระดับโลก
TNN ช่อง16
10 กันยายน 2568 ( 18:00 )
40

หากจะพูดถึงดาวรุ่งที่มีพัฒนาการที่น่าทึ่งมากที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ย่อมต้องมีชื่อของ จู๊ด เบลลิงแฮม อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

เราอาจจะคุ้นเคยกับเขาเหมือนกับดูเขาเล่นฟุตบอลมานาน แต่บางคนอาจจะลืมไปว่า เบลลิงแฮม มีอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น สำหรับนักฟุตบอลบางคน อายุเท่านี้ยังถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่เพิ่งจะขยับมาเล่นทีมชุดใหญ่อยู่เลย แต่สำหรับ เบลลิงแฮม เขาผ่านการเล่นฟุตบอลอาชีพมาแล้ว 6 ฤดูกาลเต็มๆ กับสโมสรอย่าง เบอร์มิงแฮม ซิตี้, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ เรอัล มาดริด

นั่นหมายความว่า เบลลิงแฮม เริ่มได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ให้ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ และมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ

และที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นก็คือ ตอนที่อายุเพียง 20 ปี เขาก็ได้ย้ายมาอยู่กับทีมอันดับหนึ่งของโลกอย่าง เรอัล มาดริด ได้แล้ว แถมมาด้วยราคาที่แพงในระดับที่เกิน 100 ล้านยูโรอีกด้วย และด้วยอายุเพียงเท่านี้ เบลลิงแฮม กวาดแชมป์รายการสำคัญมาเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ระดับทีมชาติเท่านั้นที่ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของ จู๊ด เบลลิงแฮม กันหน่อยว่า เจ้าตัวมีชีวิตและเส้นทางการค้าแข้งอย่างไร จนกลายมาเป็นดาวดังของวงการอยู่ในเวลานี้...

วัยเด็กและการเริ่มต้นบนเส้นทางลูกหนัง

จู๊ด เบลลิงแฮม มีชื่อเต็มๆ ว่า "จู๊ด วิคเตอร์ วิลเลียม เบลลิงแฮม" เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ปี 2003 ที่เมืองสตูร์บริดจ์ ประเทศอังกฤษ เบลลิงแฮม เติบโตในครอบครัวนักฟุตบอล คุณพ่อของเขา มาร์ค เบลลิงแฮม เป็นอดีตตำรวจและนักฟุตบอลในระดับนอกลีกที่ทำประตูได้มากกว่า 700 ประตู ส่วนน้องชายของเขา โจ๊บ เบลลิงแฮม ก็เป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งย้ายจาก ซันเดอร์แลนด์ ไปอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

เบลลิงแฮม เริ่มเส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุยังน้อย และเข้าร่วมทีมเยาวชนของสโมสร เบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่ออายุเพียง 7 ขวบ ที่นั่นเขาแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่เหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างชัดเจน และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถและมีศักยภาพที่จะก้าวไปสู่ระดับสูง นอกจากนี้ เบลลิงแฮม ยังมี ซีเนดีน ซีดาน อดีตสุดยอดกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสและ เรอัล มาดริด เป็นไอดอลในดวงใจอีกด้วย

ก้าวสำคัญกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (2019-2020)

เบลลิงแฮม ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการไต่เต้าจากทีมเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ และสร้างประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรในวันที่ 6 สิงหาคม ปี 2019 ด้วยวัยเพียง 16 ปี 38 วัน เขาได้ลงประเดิมสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพให้กับทีมชุดใหญ่ของ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในศึกลีก คัพ นัดที่พบกับ พอร์ทสมัธ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ลงสนามให้กับสโมสร ทำลายสถิติเดิมของ เทรเวอร์ ฟรานซิส ในปี 1970 ถึง 101 วัน

ผลงานของ เบลลิงแฮม กับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในฤดูกาล 2019-20 ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง เขาสามารถทำประตูแรกในอาชีพได้ในวันที่ 31 สิงหาคม ในเกม เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ที่เอาชนะ สโต๊ก ซิตี้ 2-1 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่ทำประตูได้ ในวัยเพียง 16 ปี 63 วัน

แม้จะลงเล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งเป็นลีกรองของอังกฤษ แต่ด้วยความสามารถและผลงานที่โดดเด่น ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองจากสโมสรชั้นนำทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยเขาทำประตูไปทั้งสิ้น 4 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 44 นัดในทุกรายการ ซึ่งถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเตะวัยเพียง 16 ปี และในปีเดียวกัน นิตยสาร Four Four Two ของอังกฤษ ยังยกย่องให้ เบลลิงแฮม เป็นหนึ่งใน 50 ดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดอีกด้วย

เมื่อจบฤดูกาล เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ได้ประกาศรีไทร์เสื้อหมายเลข 22 เพื่อเป็นการยกย่องความสำเร็จของเขาในฐานะนักเตะเยาวชนที่เติบโตมาจากระบบอะคาเดมี่ของสโมสร ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ เพราะโดยปกติแล้ว การรีไทร์เบอร์เสื้อมักจะทำให้กับคนที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นตำนานของสโมสร การที่ เบลลิงแฮม ที่เพิ่งจะอายุ 16 ปี และขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ได้เพียงปีเดียวแต่ได้รับเกียรตินี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา

แจ้งเกิดเต็มตัวกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (2020-2023)

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2020 หลังตกเป็นข่าวย้ายทีมอย่างหนักกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายแล้ว เบลลิงแฮม ในวัย 17 ปี ได้เลือกที่จะเซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว 1,075 ล้านบาท) ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะวัย 17 ปีที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล

การย้ายมายัง ดอร์ทมุนด์ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่งสำหรับเขา เพราะที่นี่ เบลลิงแฮม ได้โอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องและพัฒนาตัวเองได้อย่างก้าวกระโดด เขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถรอบด้านทั้งในเกมรุกและเกมรับ

ในฤดูกาล 2020-21 ซึ่งเป็นซีซั่นแรกกับทีมเสือเหลือง เบลลิงแฮม ได้ประเดิมสนามและทำประตูแรกให้กับ ดอร์ทมุนด์ ในนัดที่พบกับ ดุ๊ยส์บวร์ก ในศึก เดเอฟเบ โพคาล ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ให้กับสโมสร และเขายังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ รวมแล้วในปีแรก เบลลิงแฮม ลงเล่นไป 46 นัดในทุกรายการ ทำไป 4 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ด้วยกัน

ฤดูกาลถัดมา ในปี 2021-22 เบลลิงแฮม ยกระดับฟอร์มการเล่นของตัวเองอย่างชัดเจน เขากลายเป็นแกนหลักในแดนกลางของ ดอร์ทมุนด์ และเป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดของสโมสรในฤดูกาลนั้น นอกจากนี้เขายังได้ลงเล่นในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และสร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก โดยซีซั่นนี้ เบลลิงแฮม ระเบิดฟอร์มทำไป 6 ประตูกับ 14 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 44 เกมในทุกรายการ

จากนั้นในฤดูกาล 2022-23 ฤดูกาลนี้เป็นปีที่ เบลลิงแฮม โดดเด่นที่สุดกับ ดอร์ทมุนด์ เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีมในบางนัด แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในสนาม นอกจากนี้ เขายังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการทำประตูและแอสซิสต์ ทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของบุนเดสลีกาได้สำเร็จ โดยในฤดูกาลนี้ เขายกระดับการยิงประตูเพิ่มเป็น 14 ลูก และทำไปอีก 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 42 นัด

ตลอด 3 ฤดูกาลที่อยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เบลลิงแฮม ได้พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดจากดาวรุ่งสู่ผู้เล่นระดับโลก ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่เนื้อหอมที่สุดในตลาดนักเตะ และตกเป็นข่าวกับทีมดังอย่างมากมาย โดย ลิเวอร์พูล ที่ตอนนั้นยังมี เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือ คือทีมแรกๆ ที่ตกเป็นข่าวว่าอยากจะได้เขาไปร่วมทีมเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะมีชื่อของ เรอัล มาดริด ตามมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวขึ้นสู่ระดับโลกของ เบลลิงแฮม

ความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่กับ เรอัล มาดริด (2023-ปัจจุบัน)

ในเดือนมิถุนายน ปี 2023 หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุด เบลลิงแฮม ก็ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 103 ล้านยูโร (ประมาณ 3,832 ล้านบาท) พร้อมกับมีโบนัสที่สามารถเพิ่มไปได้สูงสุดที่ 133.9 ล้านยูโรในอนาคต (ราว 4,982 ล้านบาท) ซึ่งทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล และเป็นการปิดดีลที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีของสโมสร รวมถึงยังเป็นนักเตะอังกฤษรายที่ 6 ในประวัติศาสตร์ที่ได้ย้ายมาเล่นให้กับทีมราชันชุดขาว

ในฤดูกาล 2023-24 ซึ่เป็นฤดูกาลแรกในสีเสื้อ เรอัล มาดริด นั้น เบลลิงแฮม สามารถระเบิดฟอร์มออกมาได้ในทันที ภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ เขาถูกปรับไปเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก ซึ่งทำให้เขามีโอกาสเข้าทำประตูมากขึ้น และเขาก็ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งเกินความคาดหมาย เมื่อทำไป 23 ประตู กับ 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 42 นัดในทุกรายการ พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ในทันที รวมถึงแชมป์รายการสำคัญอื่นๆ อย่าง ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ในปี 2024 อีกด้วย

จากฟอร์มอันร้อนแรงในฤดูกาลแรก ทำให้เขาคว้ารางวัลส่วนตัวอันทรงเกียรติมากมาย เช่น นักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของ ลาลีกา, ผู้เล่นยอดเยี่ยมใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และรางวัล โกลเดน บอย อวอร์ด ซึ่งจะมอบให้กับนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของวงการฟุตบอลยุโรป

แม้ว่าในฤดูกาลถัดมา 2024-25 เบลลิงแฮม จะทำไปอีก 15 ประตูกับอีก 15 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 58 เกมรวมทุกรายการ แต่ เรอัล มาดริด กลับไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดมาครองได้เลย แต่กระนั้นในส่วนของผลงานส่วนตัวแล้ว เบลลิงแฮม ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีม ในการเล่นร่วมกับสุดยอดแนวรุกอย่าง คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ และ วินิซิอุส จูเนียร์ และเขาก็ยังเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางของ เรอัล มาดริด ในการไล่ล่าแชมป์ในฤดูกาล 2025-26 ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่อย่าง ชาบี อลอนโซ่ อย่างแน่นอน

ผลงานกับทีมชาติอังกฤษ

จู๊ด เบลลิงแฮม ติดทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ชุดเยาวชนในรุ่นอายุไม่เกิน 15, 16 และ 17 ปี และได้รับโอกาสลงประเดิมสนามให้กับ ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2020 ด้วยวัยเพียง 17 ปี 136 วัน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสามที่ลงสนามให้กับทีมชาติอังกฤษ

เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึก ยูโร 2020 ที่เลื่อนมาแข่งในปี 2021 และ ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ โดยเขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมชาติชุดใหญ่ได้ในรายการฟุตบอลโลก 2022 ในนัดที่พบกับอิหร่าน

ใน ยูโร 2024 ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ เบลลิงแฮม ยังเป็นแกนหลักในแดนกลางของทีม และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ฟอร์มโดดเด่นที่สุดในทัวร์นาเมนต์ เขาเป็นผู้ทำประตูชัยในนัดแรกที่ อังกฤษ ชนะ เซอร์เบีย และพาทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว อังกฤษ จะไปไม่ถึงดวงดาว หลังพ่ายต่อ สเปน ในรอบชิงชนะเลิศก็ตาม ทำให้ทีมสิงโตคำรามเป็นได้แค่รองแชมป์ในศึกยูโรเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน หลังใน ยูโร 2020 ก็เป็นแค่รองแชมป์

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถพา อังกฤษ คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ แต่ในยุคของ เบลลิงแฮม ก็ถือว่าเข้าใกล้ความจริงมากๆ แล้ว โดย เบลลิงแฮม ติดทีมชาติไปแล้วทั้งสิ้น 43 นัด ทำไปแล้ว 6 ประตูด้วยกัน

จู๊ด เบลลิงแฮม คือนักฟุตบอลที่มาพร้อมกับพรสวรรค์ที่โดดเด่น ความมุ่งมั่น และความเป็นมืออาชีพที่สูงเกินวัย จากเด็กหนุ่มที่สร้างชื่อในลีกรองของอังกฤษ สู่การเป็นดาวเด่นในบุนเดสลีกา และในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกกับ เรอัล มาดริด การเดินทางของเขายังคงดำเนินต่อไป และด้วยศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้เขาคืออนาคตที่สดใสของวงการฟุตบอลอย่างแท้จริง...

คอฟุตบอลไม่ควรพลาด! แพ็กเกจ NOW FOOTBALL ดูบอลครบทั้งลีก และถ้วยยุโรปชั้นนำ อาทิ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก / ยูฟ่า ยูโรปา ลีก / ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก / ลาลีกา / บุนเดสลีกา / เซเรีย อา และอีกมากมายกว่า 2,000 แมตช์ ตลอดฤดูกาล 2025/26

สมัครและดูได้แล้ววันนี้ รายเดือน และ รายฤดูกาล

Now Football 199 บาท/เดือน (1 จอ ดูได้ทุกอุปกรณ์) สมัครเลยคลิก : https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/z24yxt2h

Now Football Season Pass 1,789 บาท/ฤดูกาล (1 จอ ดูได้ทุกอุปกรณ์) ถึง 30 กันยายน 68 เท่านั้น สมัครเลยคลิก : https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/73bpecqr

ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
สัมผัสโลกไร้ขีดจำกัดกับทรูไอดี