รีเซต
Sports Profile : ประวัติ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังที่เก่งที่สุดของวงการฟุตบอล ยุคนี้

Sports Profile : ประวัติ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังที่เก่งที่สุดของวงการฟุตบอล ยุคนี้

Sports Profile : ประวัติ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังที่เก่งที่สุดของวงการฟุตบอล ยุคนี้
BALLYSLAM
5 ธันวาคม 2563 ( 18:00 )
3.2K

ข้อมูล และประวัติล่าสุดของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ ที่พา "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี และว่ากันว่าเขาคือแนวรับที่เทพที่สุดในยุคนี้

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : เฟอร์กิล ฟาน ไดค์

เกิด : 8 กรกฎาคม 1991 (2534) เมืองเบรด้า ประเทศเนเธอร์แลนด์

อายุ : 29 ปี

สัญชาติ : เนเธอร์แลนด์

ตำแหน่ง : เซนเตอร์ฮาล์ฟ

ส่วนสูง : 193 เซนติเมตร

เส้นทางลูกหนัง

เจ้าหนูเฟอร์กิล ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาที่เมืองเบรด้า ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้เขาเป็นคนเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่เกิด โดยพ่อของเขาเป็นคนดัตช์ ส่วนคุณแม่เป็นคนจากประเทศซูรินาม ประเทศบริเวณทวีปอเมริกาใต้ ทำให้เขามีเชื้อสาย ซูรินาม จากคุณแม่ อีกด้วย

ฟาน ไดค์ หลงรักในกีฬาลูกหนังมาตั้งแต่เด็กๆ เขามีความฝันที่จะเป็นนักเตะอาชีพให้ได้ เพื่อที่จะหารายได้มาช่วยเหลือครอบครัวของเขา จนกระทั่งเขามีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในศูนย์ฝีกของ วิลเล่ม ทเว ทู ในปี 2009 ซึ่งที่นี่เองที่เป็นที่แรกที่เขาได้ฝึกฟุตบอลแบบจริงๆ จังๆ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ได้แต่เตะบอลตามสนาม หรือข้างถนน เท่านั้น

ทว่า ฟาน ไดค์ ก็อยู่ที่นี่ได้เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น เพราะด้วยความยอดเยี่ยมของฝีเท้า หรือสโมสรใหม่จะเล็งเห็นอะไรก็ตามแต่ เขาก็ได้ย้ายไปอยู่กับ โกรนิงเก้น ทีมลูกหนังชื่อดังในลีกฮอลแลนด์ ในปีถัดมา ซึ่งในช่วงแรกนั้นเจ้าตัวยังได้ลงเล่นในระดับเยาวชนอยู่ จนกระทั่ง ในปี 2011 เขาก็ถูกดันขึ้นเล่นในทีมชุดใหญ่ และได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะระดับอาชีพแบบเต็มตัว และจาการเซ็นสัญญาครั้งนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการเริ่มเส้นทางลูกหนังสุดมหัศจรรย์ของเด็กหนุ่มจากเมืองเบรด้า คนนี้

ฟาน ไดค์ ได้ลงสนามเกมแรกในฐานะนักเตะอาชีพ ในแมตช์ที่เจอกับ เดน ฮาก เมื่อวันที่ 1 เมษายน ปี 2011 โดยเจ้าตัวลงเล่นในฐานะนักเตะตัวสำรอง นาทีที่ 72 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเจ้าตัวเลยก็ว่าได้ และหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น และกลายเป็นกำลังหลักของทีม ซึ่งเจ้าตัวลงเล่นไปมากกว่า 63 นัด ระหว่าง ปี 2011-2013

และด้วยฝีเท้าอันยอดเยี่ยมนี้เอง ทำให้ไปเตะตา กลาสโกว์ เซลติก ทีมยักษ์ใหญ่จากลีกสกอตแลนด์ จากนั้นทัพ "ม้าลายเขียวขาว" ก็เดินหน้าทาบทามตัวไปร่วมทีม และจัดการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ เมื่อ วันที่ 21 มิถุนายน 2013 ด้วยค่าตัวเพียง 2.6 ล้านปอนด์ เท่านั้น โดยเป็นการเซ็นสัญญายาวถึง 4 ปี เลยทีเดียว

การย้ายมาเล่นในสกอตติช พรีเมียร์ชิพ กับ เซลติก จะถือว่าเป็นที่ฝึกปรือวิชาของเจ้าตัวก็ว่าได้ โดยเขาได้ลงเล่นนัดแรกให้กับทีมด้วยการลงมาเป็นตัวสำรอง ในช่วง 13 นาทีสุดท้าย ในเกมที่ เซลติก เอาชนะ อเบอร์ดีน ไป 2-0 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2013 จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ออกสตาร์ทในตำแหน่งตัวจริงมาโดยตลอด

ฟาน ไดค์ สามารถยิงประตูแรกให้กับ เซลติก ในแมตช์ที่ทีมทุบเอาชนะ รอสส์ เคาน์ตี้ ไปแบบขาดลอย 4-1 ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2013 ซึ่งเขาสามารถทำประตูได้ด้วยลูกโหม่งนั่นเอง และเมื่อจบฤดูกาลนี้เขาก็มีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีก แถมตัวเขาเองยังถูกเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของลีกทันที ทั้งๆ ที่ย้ายมาเล่นเป็นปีแรกเท่านั้น

 

ฤดูกาลถัดมา ดาวเตะดัตช์ ยิ่งตอกย้ำความเป็นกองหลังชั้นยอด เมื่อเขากลายเป็นตัวหลักของทีมที่จะขาดไม่ได้เลย นอกจากจะโชว์ฟอร์มในลีกได้อย่างแข็งแกร่ง เขายังได้ลงเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แสดงฝีเท้าอันยอดเยี่ยมให้แฟนบอลทั่วโลกได้เห็นอีกด้วย ทว่าเขาก็ช่วยทีมไปถึงเพียงรอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น

หลังจากตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก เซลติก ก็กลับมามุ่งมั่นในลีก และ ฟาน ไดค์ ก็ยังเป็นกำลังสำคัญของทีม โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง จนช่วยให้ทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้ง สกอตติช พรีเมียร์ชิพ และ สกอตติช ลีก คัพ

หลังจากเริ่มอิ่มตัวกับความสำเร็จที่ เซลติก เวลานั้น ฟาน ไดค์ ก็คงคิดแล้วว่าลีกสกอตแลนด์อาจจะเล็กไปสำหรับเขาเสียแล้ว และน่าจะถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของตัวเองอีกครั้ง เพื่อเส้นทางลูกหนังใหม่ๆ และการไปหาประสบการณ์ใหม่ในการค้าแข้งกับลีกอื่นๆ ที่ใหญ่ขึ้น นั่นเอง

และแล้วเส้นทางลูกหนังของ ฟาน ไดค์ ก็มุ่งหน้ามาสู่พรีเมียร์ลีกแบบชัดเจน เมื่อ เซาแฮมป์ตัน ทีมลูกหนังชื่อดังลีกอังกฤษ ได้ทาบทามตัวเขามาร่วมทีม และในวันที่ 1 กันยายน 2015 ทัพ "นักบุญ" ภายใต้การคุมทีมของ โรนัลด์ คูมัน กุนซือชาติเดียวกัน ก็ได้ต้อนรับเขาเข้าสู่ทีม ด้วยค่าตัวในการย้ายประมาณ 13 ล้านปอนด์

หลังย้ายมาปุ๊บ เจ้าตัวก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในนัดแรกที่ลงสนามเลยทันที ในวันที่ 12 กันยายน 2015 โดยแมตช์นั้น เซาแฮมป์ตัน เสมอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0-0

และเพียงนัดที่ 2 ของเขาภายใต้สีเสื้อ "นักบุญ" ฟาน ไดค์ ก็สามารถยิงประตูแรกให้กับทีมได้เลย โดยเจ้าตัวสามารถพังตาข่ายคู่แข่งได้ในแมตช์ที่ทีมเอาชนะ สวอนซี ซิตี้ ไปได้ แแบบสวยงาม 3-1

ซึ่งในฤดูกาล 2015-2016 นี้เอง พลพรรค "นักบุญ" โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และร้อนแรงมาก และเมื่อจบซีซั่นทีมก็สามารถจบอันดับที่ 6 ของตาราง เลยทีเดียว

ฤดูกาลถัดมา ฟาน ไดค์ ได้รับบทบาทสำคัญ นั่นคือการถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีม แทนที่ โชเซ่ ฟอนเต้ กัปตันคนเก่าที่ย้ายออกจากทีมไป และในฤดูกาลนี้ เจ้าตัวก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งเหมือนเดิม และช่วยพาต้นสังกัดจบอันดับที่ 8 ของตาราง

และหลังจากจบซีซั่นนี้ กองหลังชาวดัตช์ ก็กลายเป็นนักเตะเนื้อหอม หลายๆ ทีมในยุโรปต้องการดึงตัวเขาไปร่วมทีม โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมของของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังสร้างทีมเพื่อทวงความยิ่งใหญ่คืนมา ให้ความสนใจแบบจริงจังอย่างมาก และน่าจะไม่พลาดที่จะได้ตัวมาร่วมทีมอย่างแน่นอน

ทว่า เรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว เมื่อทัพ "หงส์แดง" ให้ความสนใจในตัว ฟาน ไดค์ มากจนเกินไป และเหมือนจะแอบติดต่อแบบผิดกฎ ทำให้ทาง เซาแฮมป์ตัน ไม่พอใจสุดๆ จน ลิเวอร์พูล ต้องออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการ และสัญญาว่าจะไม่ทำการซื้อตัวนักเตะมาร่วมทีมในฤดูกาลนี้ แต่ทางตัวนักเตะเอง ก็ยังมีความปรารถนาแบบแรงกล้า ที่จะย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ในถิ่นแอนฟิลด์ ให้ได้

จนมาถึง ฤดูกาล 2017-2018 ฟาน ไดค์ ยังคงต้องลงเล่นให้กับ เซาแฮมป์ตัน ทว่าด้วยเหตุที่เจ้าตัวแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้ย้ายทีม ทำให้เขาถูกสโมสรดร็อปเป็นตัวสำรอง รวมถึงบางนัดก็ไม่ส่งชื่อลงเล่นเลย จนกระทั่งถึงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคม ลิเวอร์พูล ก็ได้ทำการติดต่อเข้ามาซื้อตัวเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งทางต้นสังกัดของนักเตะก็เรียกค่ามหาศาลถึง 75 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นค่าตัวของนักเตะกองหลัง ที่แพงที่สุดในโลก

และแล้วมหากาพย์อันยาวนานก็จบสิ้นลง ในวันที่ 27 ธันวาคม 2017 ฟาน ไดค์ ก็ได้ย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ของทัพ "หงส์แดง" อย่างเป็นทางการ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะแนวรับที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลกในเวลานั้น ไปอีกด้วย

ฟาน ไดค์ ลงสนามเกมแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 5 มกราคม 2018 ซึ่งเป็นเกมเอฟเอ คัพ รอบที่สาม ที่ทีมดวลกับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเขาก็ทำสุดยอดสถิติที่ใครก็ยากจะทำลาย เมื่อลงสนามเกมแรกให้กับทีม และสามารถยิงประตูได้ ในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แถมยังช่วยทีมเอาชนะคู่ปรับร่วมเมือง 2-1 อีกด้วย

 

เมื่อ "หงส์แดง" ได้ตัว ฟาน ไดค์ มาร่วมทีม ทำให้แนวรับของทีมแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถเข้ามาเล่นร่วมกับ เดยัน ลอฟเรน ได้อย่างแข็งแกร่ง และลงตัวสุดๆ จนพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกด้วย ทว่าทีมก็ต้องอกหักเมื่อพ่ายในนัดชิงให้กับ เรอัล มาดริด ไปแบบสุดเจ็บใจ 3-1 พลาดถ้วยรางวัลอย่างน่าเสียดาย

ฤดูกาล 2018-2019 ถือเป็นซีซั่นที่สอง ของ ฟาน ไดค์ กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งฤดูกาลนี้นี่เองที่เจ้าตัวสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นกองหลังอันดับ 1 ของโลก อย่างแท้จริง เมื่อเขากลายเป็นนักเตะตัวหลักของทีมที่จะขาดไม่ได้เลย เขาโชว์ฟอร์มได้ย่างยอดเยี่ยมมาก ช่วยให้เกมรับของทีมเสียประตูยากมาก จนทีมทะยานเข้าไปชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกครั้ง และครั้งนี้ พลพรรค "หงส์แดง" ก็ไม่พลาดอีกแล้ว เมื่อจัดการเอาชนะ สเปอร์ส คู่แข่งร่วมลีก ไปได้แบบสบาย 2-0 คว้าถ้วยรางวัลหูใหญ่มาปลอบใจ เพราะก่อนหน้านี้ทีมเพิ่งอกหัก พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแบบสุดเจ็บแสบด้วยการมีแต้มตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น

หลังจากอกหักพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างสุดเจ็บช้ำ ฤดูกาลต่อมา ฟาน ไดค์ และพลพรรค ก็เก็บเอาความแค้นมาเป็นเชื้อไฟ และทำให้ทีมเดินหน้าเก็บชัยชนะได้อย่างร้อนแรงตั้งแต่นัดแรกของซีซั่น ทำแต้มทิ้งห่างคู่แข่งเรื่อยๆ จนเมื่อมาถึงครึ่งฤดูกาล หลายๆ คนก็แทบจะยกแชมป์ให้กับพวกเขาแล้ว เพราะแต้มค่อนข้างขาดจากทีมที่ไล่ตามมามากเหลือเกิน

ทว่า ก็เหมือนนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง อีกเพียงไม่กี่นัด ไม่กี่คะแนน ฟาน ไดค์ และพลพรรค ก็จะผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ได้แล้ว แต่แล้วทั่วโลกก็ต้องมาเจอกับวิกฤติของ ไวรัสโควิด-19 ทำให้ทั่วโลกเกิดความโกลาหล ปั่นป่วน รวมทั้งวงการกีฬาด้วย การแข่งขันทุกๆ อย่างถูกยกเลิก เลื่อน หยุดชะงัก ไม่เว้นแม้กระทั่งศึกพรีเมียร์ลีก

จากเดิมคาดกันว่าไม่น่าเกินเดือนมีนาคม ลิเวอร์พูล จะสามารถทำแต้มขาดและคว้าแชมป์ได้ แต่จากการหยุดการแข่งขัน และยังไม่รู้อนาคตว่าการแข่งขันฤดูกาลนี้จะจบแบบไหน ทำให้เหล่านักเตะ "หงส์แดง" รวมทั้งเหล่า "เดอะ ค็อป" หวั่นใจว่าทีมจะพลาดแชมป์อีกครั้ง

แต่อย่างว่า คนมันจะเป็นแชมป์ อะไรก็ไม่สามารถมาฉุดรั้งได้ และแล้วพรีเมียร์ลีกก็สามารถกลับมาแข่งขันกันได้ใหม่อีกรอบ แบบนิวนอร์มอล ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน และเพียงหลังจากการกลับมาแข่งได้ไม่กีวัน ลิเวอร์พูล ก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้อย่างเป็นทางการ ในคืนวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 (ตามเวลาประเทศไทย) หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปพ่ายให้กับ เชลซี 1-2 ทำให้แต้มของ "เรือใบสีฟ้า" ขาดลอย และตามไม่ทันแล้ว

ซึ่งการคว้าแชมป์ในครั้งนี้ ก็ถือเป็นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกของ ฟาน ไดค์ อีกด้วย หลังเกือบจะเอื้อมหยิบได้อยู่แล้วเมื่อฤดูกาลที่แล้ว นั่นเอง ...

ผลงานทีมชาติ

ฟาน ไดค์ ลงเล่นในนามทีมชาติ มาตั้งแต่รุ่นเยาวชน ซึ่งครั้งแรกที่เขาได้ลงสนาม เขาลงเล่นในรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี เมื่อปี 2011 ต่อจากนั้น ก็ขยับมาเล่นในชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ในปี 2011-2013

จนถึง 2015 ช่วงที่เขาค้าแข้งให้กับ เซาแฮมป์ตัน เขาก็ได้รับโอกาสถูกเรียกตัวขึ้นมาเล่นให้กับทีมชาติฮอลแลนด์ ชุดใหญ่เป็นครั้งแรก และได้ลงสนามแมตช์แรก ในวันที่ 10 ตุลาคม 2015 ในแมตช์ที่ ฮอลแลนด์ บุกไปเฉือนชนะ คาซัคสถาน 2-1 ในศึกยูโร รอบคัดเลือก นั่นเอง

และจนถึงเวลานี้ เจ้าตัวได้ลงรับใช้ทีมชาติชุดใหญ่ไปแล้ว 34 นัด และยิงได้ 4 ประตู และเขายังช่วยให้ ฮอลแลนด์ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายศึกยูโร 2020 ได้สำเร็จ หลังจากที่ทัพ "อัศวินสีส้ม" ไม่สามารถผ่านเข้าไปเลนในรอบสุดท้ายทัวร์นาเมนต์ ระดับ เมเจอร์ 2 รายการติด นับตั้งแต่ ศึกยูโร 2016 ต่อด้วย ฟุตบอลโลก 2018

เกียรติประวัติ

กลาสโกว์ เซลติก :

  • แชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ชิพ 2 สมัย : 2013-2014 , 2014-2015
  • แชมป์ สกอตติช ลีก คัพ 1 สมัย : 2014-2015

ลิเวอร์พูล :

  • แชมป์ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย : 2019-2020
  • แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย : 2018-2019
  • แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย : 2019
  • แชมป์ ยูฟ่า ซูปเปอร์คัพ 1 สมัย : 2019

รางวัลส่วนตัว :

    • ติดทีมยอดเยี่ยม สกอตติช พรีเมียร์ชิพ : 2013-2014 , 2014-2015
    • นักเตะยอดเยี่ยม PFA : 2018-2019
    • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ของยูฟ่า : 2018-2019
    • กองหลังยอดเยี่ยม ของยูฟ่า : 2018-2019
    • ติดทีมยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก : 2019-2020

-------------------------------------------------

ดูบอลสดพรีเมียร์ลีก ได้ฟรีทางช่อง ไอดี สเตชั่น ง่ายๆเพียงแค่สมัครสมาชิกทรูไอดีและล็อคอิน สมัครสมาชิกทรูไอดีได้ที่นี่ ก็สามารถดูบอลสดได้เลยทันที !!

-------------------------------------------------

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

เดอะค็อปยิ้มเลย!! ฟาน ไดค์ กลับมาซ้อมแล้ว หวังหายทันก่อนจบฤดูกาล

Sports Profile : ประวัติ ดิโอโก้ โชต้า ตัวเทพคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล

-------------------------------------------------

ดูสดฟรี!! ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ทุกสัปดาห์ พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม ต้อง App TrueID เท่านั้น

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ >> คลิกที่นี่

เก็งไม่มีพลาด! ฟันธงคู่ไหนเด็ด! เจาะลึกก่อนเกมพรีเมียร์ลีก สมัครทาง SMS พิมพ์ R1 ส่งมาที่ 4238066 หรือคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้

ยอดนิยมในตอนนี้