เบ็คพลาดโทษ!! ย้อนอดีต อังกฤษ พลิกพ่าย โปรตุเกส ศึกยูโร 2004

ทีมชาติอังกฤษ พ่ายจุดโทษให้กับ โปรตุเกส ไปแบบสุดเหลือเชื่อ หลังในเวลาเสมอกัน 2-2 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกยูโร 2004

วันนี้ขอพาทุกคนย้อนไปลุยศึกฟุตบอลยูโร 2004 ที่โปรตุเกส รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ และแมตช์สุดมันส์ที่เราจะมาย้อนอดีตถึงวันนี้ เป็นรอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่าง "เจ้าภาพ" ที่ต้องโคจรมาเจอกับ "สิงโตคำราม" ทีมชาติอังกฤษ อีกหนึ่งทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์ในปีนั้น

ทัพสิงโตคำราม ชุดที่ว่ากันว่าเจ๋งที่สุด
ทัวร์นาเมนต์นั้น ต้องบอกว่า ทีมชาติอังกฤษ ที่มี สเวน โกรัน อีริคส์สัน เป็นกุนซือ ต่างอัดแน่นไปด้วยนักเตะระดับท็อปทุกตำแหน่ง 11 คนแรกของทีมนั้น ล้วนเป็นซุปตาร์ที่กำลังโชว์ผลงานได้อย่างร้อนแรงให้กับต้นสังกัด แผงแบ็คโฟร์ถือว่าแข็งแกร่งอย่างมาก จอห์น เทอร์รี่ จับคู่กับ โซล แคมป์เบลล์ ทำให้ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ถึงขั้นต้องหลุดเป็นตัวสำรอง แบ็กขวา คือ แกรี่ เนวิลล์ แบ็กซ้ายเป็น แอชลีย์ โคล

แดนกลาง เดวิด เบ็คแฮม ซุปตาร์สุดหล่อ ประจำปีกขวา และรับหน้าที่กัปตันทีม คู่กลางเป็น คือสองสุดยอดดาวเตะของพรีเมียร์ลีก อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ทำให้ต้องขยับ พอล สโคลส์ ไปเล่นเป็นปีกซ้าย และคู่หน้ามหาประลัย เป็นการจับคู่กันของ ไมเคิ่ล โอเว่น และ เวย์น รูนี่ย์ ที่เวลานั้นมีอายุแค่ 18 ปี และติดทีมชาติลงเล่นในรายการใหญ่ครั้งแรก

เก๋าบวกสด ส่วนผสมที่ลงตัวของ เจ้าภาพ
ขุนพล "ฝอยทอง" ชุดนั้น ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ถือว่าเป็นทีมที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม และลงตัวอย่างมาก นำทัพมาโดยดาวเตะตัวเก๋าอย่าง หลุยส์ ฟิโก้, รุย คอสต้า, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, เดโก้ รวมทั้ง ริคาร์โด้ นายทวารจอมเซฟ

ในขณะที่แนวรุกของทีม ได้ฝากความหวังไว้ที่ สองผู้เล่นดาวรุ่ง ที่เวลานั้นฟอร์มกำลังร้อนแรงอย่างมาก อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่รับบทแนวรุกฝั่งซ้าย และมี นูโน่ โกเมส ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า คอยล่าข่าย แถมยังมี เฮลเดอร์ ปอสติก้า เป็นกำลังสนับสนุน ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานที่กลมกล่อม จนช่วยพาทีมมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายนี้ได้

เจ้าภาพ โกงตาย / สิงโตโดนปล้นชัยใน 90 นาที
เกมนัดนั้น ทั้งสองทีมเล่นกันได้อย่างสนุก สูสี ผลัดกันรุกรับตลอด แต่เป็น ทีมชาติอังกฤษ ที่ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากการยิงอย่างสุดเหนือชั้นของ โอเว่น จากนั้นทั้งสองทีมก็มีโอกาสที่จะยิงประตูกันได้หลายครั้ง ทว่าก็พลาดกันไปหมด หรือโดนนายทวารของทั้งสองทีมเซฟได้

เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยชัยชนะของ พลพรรคสิงโตคำราม อยู่แล้ว แต่ในช่วงนาทีสุดท้าย โปรตุเกส ก็มาได้ประตูตีเสมอ 1-1 อย่างไม่น่าเชื่อจากลูกโหม่งของ ปอสติก้า ตัวสำรองที่ลงมา เท่านั้นไม่พอ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อังกฤษ มาได้ฟรีคิกริมเขตโทษ เบ็คแฮม เปิดไปหน้าประตู และเป็น แคมป์เบลล์ ที่โถมตัวโหม่งเข้าไปตุงตาข่าย ทว่า อูร์ส ไมเออร์ ผู้ตัดสินชาวสวิสฯ กลับเป่าเป็นลูกฟาล์วซะอย่างงั้น ทั้งๆ ที่ดูจากภาพช้าแล้วไม่น่าจะฟาล์ว ทำให้ทั้งสองทีมต้องดวลกันต่อ ช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที

ต่อเวลาพิเศษสุดเดือด
ลงมาเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษ ดูเหมือน เจ้าภาพ จะได้กำลังใจ และคึกคักกว่าอย่างเห็นได้ชัด และก็มาได้ประตูขึ้นนำ 2-1 จากกลูกยิงไกลอันสุดสวยของ รุย คอสต้า ถึงเวลานี้ทัพนักเตะ "ฝอยทอง" มั่นใจว่าน่าจะผ่านเข้ารอบได้ แต่ อังกฤษ ก็ไม่ยอมตายง่ายๆ โหมเกมบุกอย่างหนักจนมาได้ประตูตีเสมอ 2-2 จากลูกเตะมุม บอลมาขลุกขลิกในเขตโทษ และเป็น แลมพาร์ด ที่หมุนตัวยิงหน้าประตู ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ดับเสียงกองเชียร์เจ้าถิ่นจนเงียบกริบ และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ต้องตัดสินกันในขั้นสุดท้าย ด้วยการดวลลูกจุดโทษ

ดวลจุดโทษ ของแสลงทัพสิงโตคำราม
ว่ากันว่า ทีมชาติอังกฤษ ไม่ถูกโรคกับการดวลลูกจุดโทษในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างมาก ในอดีตที่ผ่านมา ขุนพลสิงโตคำราม ต้องอกหักเพราะการยิงเป้ามาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อ เบ็คแฮม ผู้ที่รับหน้าที่สังหารคนแรก กลับยิงเหินข้ามคานไปไกลแบบไม่น่าเชื่อ แม้ว่า รุย คอสต้า จะยิงพลาด เช่นกัน ทำให้ยิงจบ 5 คน เสมอกันที่ 4-4 แต่ในช่วงดวลกันตัวต่อตัว ดาริอุส วาสเซลล์ ก็มายิงพลาดอีก และเป็น ริคาร์โด้ นายทวารเจ้าภาพ ที่รับบทฮีโร่ ยิงเข้าไปในลูกสุดท้าย พาทีมเข้ารอบรองชนะเลิศ แบบสุดยิ่งใหญ่ ขณะที่ อังกฤษ ต้องน้ำตาตกอีกครั้ง จากการดวลจุดโทษ

ซึ่งบทสรุปสุดท้าย โปรตุเกส ก็ทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ทว่ากลับไปพลาดท่าให้กับ กรีซ แบบสุดเหลือเชื่อ 0-1 ชวดคว้าแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย และกลายเป็นตำนานเทพนิยายกรีก ที่คว้าแชมป์ยูโร 2004 ไปครองสำเร็จ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

เฟอร์กี้ซะอย่าง!! ย้อนดูทัพ "ผีแดง" สุดพิการ เปิดรังทุบ บาร์ซ่า ปี 2008

สุดประทับใจ!! ชัปปุยส์ ยกแมตช์ อชก. / ซูซูกิ คัพ เจ๋งสุด (ชมคลิป)

– ดูฟรี! พรีเมียร์ลีก มากกว่า 100 คู่ คลิก ID Station
– ดู พรีเมียร์ลีก online คลิกที่นี่
– สมัครชม พรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาล คลิกที่นี่