ไม่เท่…แต่เถื่อน : ทำไมฟุตบอลเกมรับอัดหนัก จึงไม่มีที่ยืนในโลกลูกหนังสมัยใหม่ ? | Main Stand
“ฟุตบอลที่หนักหน่วง ฟุตบอลแทคติกแบบสงครามประสาทของแอตเลติโก มาดริด ส่งผลดีและผลเสียมหาศาลแก่พวกเขาในตอนนี้ แน่นอนว่าถ้าคุณจะเล่นฟุตบอลแบบนี้คุณก็หนีคำวิจารณ์ไม่ได้หรอก”
เดฟ แฟร์แรร์ ผู้บรรยายฟุตบอลชื่อดัง กล่าวถึงแอตเลติโก มาดริด ทีมฟุตบอลจากสเปนที่กำลังขึ้นชื่อและถูกวิจารณ์จากแฟนบอลทั่วโลก ถึงการเล่นหนัก เต็มไปด้วยลูกตุกติก และไม่มีน้ำใจนักกีฬา ที่ไม่เป็นที่ถูกใจของคอลูกหนังทั่วโลกในยุคปัจจุบัน
แน่นอนว่าการเล่นหนักและใช้แทคติกสกปรกไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับการเล่นฟุตบอล และไม่เคยเป็นเรื่องผิดตามกฎกติกา แถมยังช่วยให้ทัพตราหมีประสบความสำเร็จจนคว้าแชมป์ลา ลีกา เหนือสองทีมยักษ์ใหญ่ของสเปน ทั้ง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า มาได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามแม้แทคติกแบบนี้จะช่วยให้แอตฯ มาดริด เป็นแชมป์ แต่ในอีกด้านหนึ่งสโมสรแห่งนี้ก็ต้องยอมรับความเกลียดชังที่เข้ามากับการใช้แทคติกที่ไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอลยุคใหม่อีกต่อไป และแฟนลูกหนังรุ่นใหม่ก็ไม่ได้มองการเล่นแบบนี้เป็น “แทคติกฟุตบอลเล่นหนัก” แต่มองเป็น “การเล่นฟุตบอลแบบป่าเถื่อน ไร้น้ำใจนักกีฬา” ที่ไม่มีใครอยากชื่นชมอีกต่อไป
ไม่ใช่แค่ แอตฯ มาดริด ทีมเดียวที่ถูกวิจารณ์ แต่ทุกทีมฟุตบอลบนโลกที่ยังคงเล่นหนัก เน้นการเตะคนตามแทคติก เล่นโดยมีลูกตุกติกแบบพยายามยั่วอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม จะไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป
อะไรคือสิ่งที่แปรเปลี่ยนความคิดของแฟนฟุตบอลยุคใหม่ให้มาต่อต้านการเล่นฟุตบอลสายหนักหน่วง รวมถึงแทคติกตุกติก จนไม่มีที่ยืนได้อย่างไร ติดตามไปพร้อมกับเรา
การปฏิวัติในวงการฟุตบอลสเปน
หากจะหาจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคงต้องย้อนไปในเดือนพฤษภาคมปี 2008 กับเหตุการณ์ที่สโมสรบาร์เซโลน่า ประกาศแต่งตั้งโค้ชหนุ่มอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร
หลังจากนั้นไม่นาน เป๊ป ก็แสดงให้เห็นถึงฟุตบอลที่สวยงามชนิดที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยการต่อบอลจากเท้าสู่เท้าที่เหมือนไม่มีวันจบสิ้น จากฝีเท้าของสุดยอดนักเตะสายเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นจากแนวรับอย่าง เคราร์ด ปิเก้ มาจนถึงกองกลางอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ, เซร์คิโอ บุสเกตส์ และ อันเดรส อิเนียสต้า จนถึงตัวรุกคนสำคัญอย่าง ลิโอเนล เมสซี่
ฟุตบอลของเป๊ปไม่ได้แค่สวยงามอย่างเดียวแต่ยังทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ด้วยแทคติกของเขา เราได้เห็น เมสซี่, ชาบี และ อิเนียสต้า กลายเป็นสุดยอดนักเตะของโลกโดยที่ไม่ต้องมีเรื่องของสรีระมาเกี่ยวข้อง แต่เป็นความสามารถด้านเทคนิค มันสมองไอ และคิวในการเล่นฟุตบอลล้วน ๆ
ประกอบกับการคว้า 3 แชมป์ใหญ่ในปีเดียว ทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ลา ลีกา และ โคปา เดล เรย์ ของบาร์เซโลน่า ในฤดูกาล 2008-09 มันคือการปักหมุดหมายว่าฟุตบอลสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยแทคติกที่โฟกัสเรื่องของฟุตบอลล้วน ๆ ไม่ต้องมีการเล่นตุกติก เกมจิตวิทยา ขณะที่นักฟุตบอลก็ไม่จำเป็นต้องโหด ต้องดุดัน แต่ใช้เทคนิคความสามารถเฉพาะตัวและมีการเล่นที่สวยงามก็สามารถเอาชนะได้เหมือนกัน
ขณะเดียวกันไม่ใช่ว่าเป๊ปจะไม่สนใจเรื่องการเข้าปะทะ แต่แทคติก ติกิ-ตากา ของกุนซือรายนี้ขึ้นชื่อเป็นอย่างมากเรื่องการแย่งบอลกลับคืนมาให้เร็วที่สุด จากกฎของเป๊ปที่บอกว่าต้องแย่งบอลคืนกลับมาให้ได้ภายใน 5 วินาทีเท่านั้น
แต่ผู้จัดการทีมรายนี้ได้แสดงให้เห็นว่าการแย่งบอลและการเข้าปะทะไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง ไม่ต้องเสียบเปิดปุ่มใส่กัน แต่สามารถดึงเทคนิค ชั้นเชิง และการยืนตำแหน่งที่เหนือกว่ามาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบเพื่อช่วงชิงบอลคืนกลับมา
พูดง่าย ๆ คือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และบาร์เซโลน่าของเขาได้ปูทางเอาไว้ว่าการเล่นฟุตบอลคือการเล่นแค่กับลูกฟุตบอลเท่านั้น … แทคติค “ติกิ-ตากา” ของเป๊ปให้ความสำคัญทุกอย่างกับแค่ลูกฟุตบอล ทั้งการครองบอล การแย่งบอล และการเคลื่อนที่เพื่อหาลูกฟุตบอล
แต่ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่แทคติกของเป๊ปบอกเอาไว้ว่าเราต้องอัดนักเตะฝ่ายตรงข้ามให้หนัก ต้องยั่วยุอารมณ์คู่แข่งให้เสียสมาธิ เขาไม่เคยสนใจเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว และความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับบาร์เซโลน่าคือหลักฐานชั้นดีที่บอกว่า ทีมฟุตบอลสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งการเล่นหนักหรือลูกตุกติกในสนามเลย
“ผมว่าตอนนั้นเราเล่นฟุตบอลที่โคตรสุดยอดเลย ผมรู้สึกว่าเราโคตรไร้เทียมทานและพร้อมจะออกไปคว้าแชมป์ทุกถ้วย” อันเดรส อิเนียสต้า กล่าวถึงทีมบาร์เซโลน่าชุดที่เปลี่ยนโลกฟุตบอลไปตลอดกาล
สิ่งที่เป๊ปได้สร้างรากฐานขึ้นได้รับการต่อยอดอย่างรวดเร็วโดยทีมชาติสเปน ชุดลุยฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งมีแกนหลักมาจากทีมบาร์เซโลน่าของเป๊ป และสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ด้วยการได้แชมป์จากการแข่งขันครั้งนั้น ด้วยการเสียประตูแค่ 2 ประตูตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์
สเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนั้นด้วยการเล่นฟุตบอลที่สวยงามไม่แพ้กับบาร์เซโลน่า จนสร้างแฟนคลับของทีมชาติสเปนไปทั่วโลก
ความงดงามของฟุตบอลสเปนเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกขึ้น จากการที่ ไนเจล เด ยอง กองกลางฮาร์ดแมนสายโหดของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ กระโดดถีบอก ชาบี อลอนโซ ยอดกองกลางของสเปน แล้วไม่โดนใบแดง
ภาพที่แฟนฟุตบอลเห็นกันจนชินตาภาพนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกเริ่มไม่ต้อนรับการเล่นฟุตบอลแบบหนักหน่วงอีกต่อไป พร้อมมองว่าวิธีการแบบนี้เป็นความป่าเถื่อนที่ไม่จำเป็น เพราะในขณะที่นักเตะเนเธอร์แลนด์ถีบอกเพื่อนร่วมอาชีพ สเปนแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกได้ด้วยการเล่นฟุตบอลที่สวยงามโดยไม่ต้องทำให้ใครเจ็บตัว
“คูณดูที่จังหวะกระโดดถีบในฟุตบอลโลก 2010 สิ (ไนเจล เด ยอง กระโดดถีบอก ชาบี อลอนโซ และไม่โดนใบแดง) กับดูสิ่งที่เป็ป กวาร์ดิโอลา ทำที่บาร์เซโลนา ผมมองว่านี่คือจุดสุดท้ายที่บอกว่าฟุตบอลแบบฮาร์ดแมนจะไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป”
“ผมคิดว่านี่คือเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้นะ ในเมื่อความสนุกของเกมเปลี่ยนไปเราก็ต้องหาทางปกป้องมันไว้ ทุกวันนี้ฟุตบอลเป็นเรื่องของทักษะไม่ใช่ความแข็งแกร่ง” ไคล์ มาร์ติโน นักวิจารณ์ฟุตบอลกล่าว
ดุดันแต่ไม่ทำร้ายใครแบบเยอรมัน
การปฏิวัติของวงการลูกหนังไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสเปนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กันที่เยอรมัน หลังจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังจากลีกสูงสุดเมืองเบียร์ประกาศตั้งโค้ชหนุ่มที่ชื่อ เยอร์เกน คล็อปป์ มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
ปรัชญาของ คล็อปป์ ไม่ได้ต่างจาก เป๊ป นั่นคือการให้ความสำคัญที่การแย่งบอลคืนกลับมาให้ไวที่สุดหลังจากที่เสียบอล แต่ฟุตบอลที่ถูกเรียกกันว่า “เกเกนเพรสซิ่ง” ของคล็อปป์จะให้ความสำคัญกับการแย่งบอลคืนกลับมาให้มากที่สุด และนี่คือหัวใจของการเล่นรูปแบบนี้
คล็อปป์ใส่ความดุดันเข้าไปในนักเตะของเขา ผู้เล่นทุกคนจะต้องเปี่ยมด้วยพลังงานและความกระหายในการวิ่งไล่บีบคู่แข่งทุกพื้นที่ของสนาม เพื่อกดดันแย่งลูกบอลคืนกลับมาให้ได้
แต่ความ “ดุดัน” ที่เราพูดถึงกับระบบของคล็อปป์ ไม่ใช่การให้ลูกทีมวิ่งไล่เตะคู่แข่งไปทั่วสนามเหมือนกับการเล่นในแบบฟุตบอลโบราณ แต่เป็นการไล่กดดันโดยไม่ต้องใช้การปะทะแต่เป็นการบีบพื้นที่ให้คู่ต่อสู้เล่นได้อย่างยากลำบาก จนสุดท้ายนักเตะคู่แข่งจะจ่ายบอลเสียกันเองจนคืนบอลกลับมาให้ทีมของคล็อปป์ โดยไม่ต้องพึ่งการเข้าปะทะหรือการสกัดอันหนักหน่วงเพื่อแย่งฟุตบอลคืนกลับมา
“เกเกนเพรสซิ่ง ช่วยทำให้เราได้บอลกลับมาในพื้นที่หน้าประตูของคู่แข่ง ซึ่งเรามีโอกาสได้ประตูทันทีหลังจากแย่งบอลกลับคืนมาได้ด้วยการจ่ายบอลเพียงครั้งเดียว” เยอร์เกน คล็อปป์ อธิบายถึงแทคติคของเขา
คล็อปป์ประกาศศักดาฟุตบอลเกเกนเพรสซิ่งของเขาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพาดอร์ทมุนด์จากทีมระดับกลางตารางโผล่พรวดมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกา เหนือ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2011 และ 2012 ได้อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับเป็นการปักธงให้โลกลูกหนังให้เห็นว่า ฟุตบอลที่แข็งแกร่ง ดุดัน และประสบความสำเร็จในยุคใหม่เป็นเช่นไร มันเป็นรูปแบบฟุตบอลที่ไม่ต้องพึ่งพาการเข้าปะทะที่หนักหน่วงหรือการมีแทคติกนอกเกมเลย
ที่เยอรมันนั้นการเล่นด้วยการเน้นฟุตบอลเพรสซิ่งที่ไม่ได้ ใช้การปะทะแต่ใช้การบีบกดดันเพื่อให้นักเตะคู่แข่งจ่ายบอลเสียพบได้อย่างแพร่หลายในช่วงต้นยุค 2010s โดยเฉพาะกับ บาเยิร์น มิวนิค ของ จุปป์ ไฮย์เกส และ ชาลเก้ 04 ของ ราล์ฟ รังนิก
ซึ่งทั้งสองสโมสรก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยชาลเก้ของรังนิกคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยของเยอรมัน ในปี 2011 และเข้าสู่รอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ในปีเดียวกัน
ขณะที่ บาเยิร์น มิวนิค กวาด 3 แชมป์ ในฤดูกาล 2012-13 ด้วยการคว้าทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล แถมคู่แข่งในเกมนัดชิงฟุตบอลยูซีแอลก็คือ ดอร์ทมุนด์ ของ เยอร์เกน คล็อปป์ อีกด้วย
วงการลูกหนังเยอรมันได้แสดงภาพให้ทั้งโลกได้เห็นว่า คุณไม่จำเป็นต้องเล่นฟุตบอลสวยงามแบบฝั่งสเปนก็ได้โดยที่ยังคงสามารถรักษาความดุดันในการเล่นฟุตบอลไว้ได้เช่นเดิม
แต่ความดุดันในฟุตบอลยุคใหม่ไม่ใช่การไล่เตะขาคน หากแต่เป็นการเพรสซิ่งอย่างมีระบบผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างเข้มข้น การเคลื่อนที่ซึ่งต้องประสานงานกันด้วยทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยมเพื่อชิงบอลของคู่แข่งกลับมา โดยไม่จำเป็นต้องไปเตะขาใครเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้วจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในสเปนและเยอรมันจะเห็นได้ว่า ฟุตบอลเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับแทคติกที่โฟกัสแค่กับการเล่นกับฟุตบอลเท่านั้น ไม่ต้องมาหาวิธีการเล่นตุกติกหรือเกมจิตวิทยากับคู่แข่งมาใช้แต่อย่างใด
นี่คือการเปลี่ยนให้ฟุตบอลหันมาโฟกัสที่การต่อสู้ด้วยเรื่องของฟุตบอลและแทคติกล้วน ๆ ถ้าทีมไหนมีแทคติกที่ดีกว่า มีวิธีการเล่นที่ดึงศักยภาพของนักเตะออกมาได้ดีกว่า คุณก็สมควรเป็นผู้ชนะแค่นั้นจบ
หมดยุคของการไล่เตะทีมคู่แข่งจนเล่นไม่ไหว นอนถ่วงเวลาอย่างไร้ศักดิ์ศรี หรือเล่นแบบใช้อารมณ์เข้ากดดันคู่แข่งและผู้ตัดสิน ไม่มีใครอยากดุฟุตบอลแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อที่ สเปน และ เยอรมัน ซึ่งยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเกมลูกหนังในแต่ล่ะช่วงเวลาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ฟุตบอลสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งลูกตุกติกแบบนั้น
การปะทะที่เกาะอังกฤษ
หากจะแปรเปลี่ยนค่านิยมของแฟนฟุตบอลทั่วโลก ลีกฟุตบอลที่ส่งผลต่ออิทธิพลของแฟนบอลได้มากที่สุดคือ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวถึงความไม่พอใจกับการใช้แทคติกที่ไม่ขาวสะอาดนอกสนามมาพักใหญ่
เชลซี คือหนึ่งในทีมที่เคยขึ้นชื่ออย่างมากในการกดดันกรรมการด้วยการให้นักเตะแทบทุกคนในสนามวิ่งไปล้อมกดดันกรรมการเมื่อมีการตัดสินที่ไม่ถูกใจ เพื่อให้ผู้ตัดสินเกิดความหวั่นเกรงและไม่กล้าที่จะเป่าให้เชลซีเสียผลประโยชน์ในการแข่งขัน
แน่นอนว่าช่วงปี 2014-2015 ที่เชลซีกดดันผู้ตัดสินด้วยแนวทางนี้ก็มีความกังวลจำนวนมากว่าจะเป็นภาพไม่ดีของฟุตบอลยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับแทคติกเชิงจิตวิทยาน้อยลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพแบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในพรีเมียร์ลีกช่วงนั้น และเชลซีก็ยังคงเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากในแนวทางของพวกเขาอยู่ดี
อย่างไรก็ตามเมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มารับงานเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามด้วย เยอร์เกน คล็อปป์ ที่ก้าวมาเป็นนายใหญ่คนใหม่ของลิเวอร์พูล ทุกอย่างก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
เมื่อถึงวันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของเป๊ป กวาดิโอลาร์ และ ลิเวอร์พูล ของเยอร์เกน คล็อปป์ อยู่ในจุดที่พร้อมจะแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีก (และถ้วยอื่น ๆ) ทั้งสองทีมและโค้ชทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแบบไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะเกมที่ทีมเรือใบสีฟ้าและหงส์แดงพบกันทีไร คุณภาพของเกมการแข่งขันก็จะสนุกดุเดือดสมราคาการรอคอยของแฟน ๆ
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแทบทุกเกมที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน ทั้งสองทีมสู้กันด้วยแทคติกและคุณภาพของทีมล้วน ๆ ไม่มีการเปิดสงครามน้ำลายระหว่างผู้จัดการทีมทั้งสองคน ไม่มีการต่อสู้ด้วยลูกตุกติกมากมายในสนามเหมือนที่เราเคยเห็นจากการปะทะกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวงเกอร์
การต่อสู้กันในสนามอย่างตรงไปตรงมาและให้ทีมที่ดีที่สุดเป็นผู้ชนะ คือสิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เลือกทำและยอมรับอย่างเต็มใจ สุดท้ายเราจึงได้เห็นการเคารพกันระหว่างผู้จัดการทีมและนักเตะของทั้งสองทีมโดยไม่ต้องมีดราม่าระหว่างกัน พวกเขาสามารถกอดและจับมือกันได้อย่างเต็มใจเมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง
ทั้ง เป๊ป และ คล็อปป์ ได้เปลี่ยนภาพว่า ต่อให้เป็นทีมคู่ปรับกันจนต้องมาลุ้นแชมป์กันเข้มข้นจนนัดสุดท้ายก็ไม่จำเป็นจะต้องงัดความเกลียดชังมาใช้ ไม่ต้องใช้แทคติกสกปรกเพื่อเอาชนะคู่แข่ง ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะยอมรับหากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้วไปว่ากันใหม่ฤดูกาลหน้า
เพราะสุดท้ายทั้ง เป๊ป และ คล็อปป์ ต่างให้ความสำคัญเพียงแค่ว่า พวกเขาทำเต็มที่หรือยังในสนามแข่งขัน เล่นได้ดีพอหรือยัง ถ้าทำเต็มที่แล้ว เล่นได้ดีที่สุดแล้ว แต่ไม่ดีพอที่จะเป็นแชมป์ ก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ และพวกเขาไม่ขอทำอะไรมากไปกว่านี้ ต่อให้พวกเขาเปิดสงครามประสาทและเพิ่มลูกตุกติกลงไปในสนามแข่งแล้วอาจได้เป็นแชมป์พวกเขาก็จะไม่ทำ
ในเมื่อสองผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกลูกหนังยุคปัจจุบันกับสองทีมที่ดีที่สุดในลีกที่โด่งดังที่สุดแสดงให้เห็นแล้วว่า การต่อสู้เพื่อเป็นแชมป์ในเกมลูกหนังยุคใหม่แค่ต่อสู้กันในเกมฟุตบอลก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งที่ไม่ขาวสะอาดเพื่อชัยชนะ แต่เราสามารถเป็นผู้แพ้ที่ดีได้ และสามารถภูมิใจกับการเล่นที่ดีภายใต้ปรัชญาฟุตบอลที่ยึดมั่น
สิ่งที่คล็อปป์, เป๊ป และผู้จัดการทีมหลาย ๆ คนได้สร้างขึ้นมาคือการเปลี่ยนภาพให้แฟนบอลหันมาโฟกัสกับการเล่นฟุตบอลที่สวยงามและเป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น มากกว่าจะภูมิใจกับชัยชนะที่ไม่ขาวสะอาด และไม่มีใครอยากเห็นสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไปในวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน
มีอีกหลายวิธีที่จะคว้าชัยชนะในเกมฟุตบอลโดยไม่ต้องพึ่งพาการปะทะที่หนักหน่วงเสี่ยงอันตราย การนอนถ่วงเวลา หรือลูกตุกติกต่าง ๆ ซึ่งได้มีการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าสามารถทำได้จริง
บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่โลกฟุตบอลจะต้องทิ้งความไม่ขาวสะอาดในเกม หันมาสู้กันแค่เรื่องแทคติกในสนาม และยอมรับการเป็นผู้แพ้อย่างสง่างาม คงเป็นสิ่งที่ดีกว่าการเป็นผู้ชนะที่โลกรังเกียจ
แหล่งอ้างอิง
https://theathletic.com/3182514/2022/04/14/atletico-madrid-diego-simeone-masters-shithousery/
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-8353943/SPECIAL-REPORT-Pep-Guardiola-transformed-Barcelona-greatest-club-EVER.html
https://www.espn.com/soccer/blog/espn-fc-united/68/post/3087211/english-soccer-hard-men-are-a-thing-of-the-past-as-beauty-and-versatility-reign-supreme
https://www.goal.com/en/news/gegenpressing-how-does-the-football-tactical-style-made/1wc20wx6qtkkq1t36xj0px9mel
https://www.fourfourtwo.com/features/who-really-invented-pressing-game-and-why-it-works
https://www.goal.com/en-gb/news/2914/champions-league/2015/03/12/9749342/chelsea-will-not-stop-putting-pressure-on-referees-insists
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/jurgen-klopp-friends-pep-guardiola-26704571
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ผ่าแทคติก "อันเชล็อตติ" ที่ปรับเปลี่ยนตามโลก แม้ผ่าน 20 ปี แต่ยังประสบความสำเร็จ | Main Stand
- สตีฟ คูเปอร์ : อดีตโค้ชอคาเดมีของ ลิเวอร์พูล ผู้ปลุกฟอเรสต์สู่พรีเมียร์ลีก | Main Stand
-------------------------------------------------
วิธีการดูบอลพรีเมียร์ลีก 2022/23 ที่ TrueID : แพ็กเกจชมครบทุกคู่ - ซิมทรูชมทีมโปรดฟรี!
รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ << คลิกที่นี่
อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
คลิกเลย!! หรือ กด *301*32# โทรออก
หรือ อัพเดทข่าวบอลไทยลีก กด *301*36# โทรออก