Sports Profile : ประวัติ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ จากแข้งโนเนม สู่การเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก
ข้อมูลและประวัติล่าสุดของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ จากนักเตะที่เล่นอยู่กับทีมเล็กๆ ในลีกรองของอังกฤษมาหลายต่อหลายปี ที่พัฒนาฝีเท้า จนกลายมาเป็นปราการหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก ณ เวลานี้
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : เจค็อบ แฮร์รี่ แม็กไกวร์
เกิด : 5 มีนาคม 1993 (2536) ที่เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ
อายุ : 27 ปี
สัญชาติ : อังกฤษ
ตำแหน่ง : กองหลัง
ส่วนสูง : 194 เซนติเมตร
เส้นทางลูกหนัง
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เกิดวันที่ 5 มีนาคม 1993 ที่ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ จากการที่คุณพ่อของเขาเคยเป็นอดีตนักฟุตบอลมาก่อน ทำให้ แฮร์รี่ ซึมซับ และได้รับอิทธิพลเรื่องฟุตบอลมาจากคุณพ่อแบบเต็มๆ เช่นเดียวกับ โจ และ ลอว์เรนซ์ แม็กไกวร์ น้องชายทั้ง 2 คนของเขา ที่เลือกเดินในเส้นทางสายลูกหนังเช่นกัน
โดย พี่น้อง 3 คน มักจะเดินทางไปคัดตัวด้วยกันตามอะคาเดมี่ของทีมต่างๆ จนในที่สุด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็ได้เริ่มเล่นฟุตบอลระดับเยาวชนให้กับ บาร์นสลี่ย์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในปี 2009 ด้วยวัย 16 ปี ซึ่งในเวลานั้น แม็กไกวร์ เล่นอยู่ในตำแหน่งกองกลาง ทว่าด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ และสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ทำให้ จอห์น เทมเบอร์ตัน โค้ชทีมเยาวชนเห็นว่า เขาน่าจะเหมาะกับตำแหน่ง เซนเตอร์ฮาล์ฟ มากกว่า จึงได้จับเขาไปเล่นในแผงกองหลัง นับตั้งแต่นั้นมา
จากนั้น ในปี 2011 แม็กไกวร์ ในวัย 18 ปี ก็ได้รับโอกาสให้ขึ้นไปเล่นกับทีมชุดใหญ่ และได้ประเดิมสนามเป็นครั้งแรก ในช่วงท้ายของศึกแชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาล 2010/11 ขณะที่ทีมกำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อหนีตกชั้น โดยเขาได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรอง ในเกมที่พวกเขาเปิดบ้านพ่ายให้กับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 0-2 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2011 และหลังจากนั้น แม็กไกวร์ ก็ได้ลงเล่นให้ทีมอีก 4 นัด ทว่าจบซีซั่นนั้น เชฟฟิลด์ ก็ไม่สามารถหนีจากโซนตกชั้นได้ โดยพวกเขาจบในอันดับ 23 หรือรองบ๊วยของตาราง ส่งผลให้ต้องตกชั้นสู่ลีกวัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2011 .. 10 วันให้หลังจากนัดปิดซีซั่น แม็กไกวร์ ก็ได้พาทีมชุดเยาวชน ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศของรายการ เอฟเอ ยูธ คัพ 2010/11 ซึ่งเป็นศึกฟุตบอลถ้วยของแข้งเยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี โดยคู่แข่งในรอบชิงของพวกเขา ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี ปอล ป็อกบา และ เจสซี่ ลินการ์ด นำทัพ ทำให้พวกเขาได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก
ทว่าแม้ทัพ "ดาบคู่" ของ แม็กไกวร์ จะสู้อย่างสุดความสามารถ โดยเก็บผลเสมอ 2-2 ได้ในนัดชิงเกมแรก ที่บ้านของพวกเขา แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่อาจต้านทานความเด็ดขาดของทีมเยาวชนปีศาจแดงได้ หลังบุกไปพ่ายในเกมที่สอง ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด 1-4 ส่งผลให้ แมนยู เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยผลรวม 6-3 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 10 ซึ่งนับเป็นทีมที่ครองแชมป์มากที่สุดของรายการนี้
อย่างไรก็ดี แม็กไกวร์ ได้ก้าวขึ้นเป็นกำลังหลักของ เชฟฟิลด์ แบบเต็มตัวในฤดูกาล 2011/12 โดยเขาได้รับโอกาสให้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในศึกลีกวัน และฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ ก่อนที่พวกเขาจะจบในอันดับ 3 ของลีกวัน ได้สิทธิ์ไปเล่นเพลย์ออฟ ทว่าสุดท้ายแล้ว พวกเขากลับไปพ่ายในการดวลลูกโทษให้กับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ 7-8 ในนัดชิงของการเพลย์ออฟ ทำให้ต้องอกหัก พลาดเลื่อนชั้นอย่างสุดเจ็บปวด
โดยความผิดหวังของทัพ ดาบคู่ และ แม็กไกวร์ ยังคงเกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อในซีซั่น 2012/13 พวกเขาได้ลงเล่นเกมเพลย์ออฟอีกครั้ง หลังจบอันดับ 5 ในตาราง ทว่าสุดท้ายก็ยังคงพ่ายแพ้ในการเพลย์ออฟเช่นเดิม จากนั้นในฤดูกาล 2013/14 เชฟฟิลด์ ก็ยังคงไปไม่ถึงฝั่นฝันอีกเช่นเคย หลังทำได้เพียงอันดับ 7 ของตารางเท่านั้น
แต่แล้วกลางปี 2014 แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในวัย 21 ปี ก็ได้ย้ายซบ ฮัลล์ ซิตี้ ทีมในศึกพรีเมียร์ลีก ณ เวลานั้น ก่อนที่เขาจะได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของประเทศเป็นครั้งแรกในฐานะตัวสำรอง ในเกมที่ ฮัลล์ เปิดบ้านพ่ายให้กับ สวอนซี 0-1 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2014 อย่างไรก็ตาม เขาได้รับโอกาสลงเล่นในลีกให้ทีมเพียง 3 เกมเท่านั้น ก่อนที่เขาจะถูกปล่อยให้ วีแกน แอธเลติก ทีมในศึกแชมเปี้ยนชิพ ยืมตัวไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 และกลายเป็นแข้งตัวหลักของทีมทันที
ทว่าต่อมา หลังจากที่ ฮัลล์ ซิตี้ ตกชั้นสู่แชมเปี้ยนชิพ ในซีซั่น 2015/16 จึงได้ดึงตัว แม็กไกวร์ กลับมาช่วยทีม แล้วเขาก็ไม่ทำให้ต้นสังกัดต้องผิดหวัง เมื่อเขากลายเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้ทันทีในฤดูกาลต่อมา หลังจบอันดับ 4 ของตาราง ก่อนจะเป็นผู้ชนะในการเล่นเพลย์ออฟ
โดยในปี 2016/17 กลายเป็นซีซั่นแรกที่เขาได้โชว์ฟอร์มในพรีเมียร์ลีกแบบเต็มที่ แม้ว่าสุดท้าย ฮัลล์ จะจบในอันดับ 18 ทำให้ต้องตกชั้นอีกครั้ง แต่ผลงานการเล่นของ แม็กไกวร์ ก็โดดเด่น จนไปเข้าตาแมวมองของ "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" เลสเตอร์ ซิตี้ ส่งผลให้อดีตทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก ปี 2015/16 ตัดสินใจคว้าตัวเขาไปร่วมทีม เมื่อช่วงซัมเมอร์ 2017 ด้วยค่าตัวราว 17 ล้านปอนด์
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในวัย 24 ปี ได้กลายเป็นนักเตะตัวหลักของเลสเตอร์ทันที โดยเขาได้ลงสนามให้ทีมตั้งแต่เกมแรกของซีซั่น จากนั้นเขาก็ได้สร้างสถิติอันน่าเหลือเชื่อ เมื่อเขาลงเล่นให้ "เดอะ ฟ็อกซ์" ครบทุกนัด ทุกนาที ในฤดูกาล 2017/18 และพาทีมจบในอันดับ 9 ของตาราง ทำให้ แม็กไกวร์ เริ่มมีชื่อเสียง และก้าวเป็นกองหลังเบอร์ต้นๆ ของลีก จนกลายเป็นที่สนใจของทีมยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม เขายังคงอยู่กับ เลสเตอร์ ต่อไปในฤดูกาล 2018/19 และยังคงทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ และพาทีมจบในอันดับ 9 อีกครั้ง จนกระทั่ง ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเขาก็มาถึง เมื่อ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 80 ล้านปอนด์ เพื่อกระชากตัวเขาเข้าสู่รั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งทำให้เขากลายเป็น กองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกทันที โดยทำลายสถิติของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ไปร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์
โดย แม็กไกวร์ ได้กลายเป็นปราการหลังคนสำคัญใน โรงละครแห่งความฝัน ทันที แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้างในบ้างครั้ง แต่โดยรวมแล้วถือว่า เขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และกลายเป็นกองหลังที่ไว้ใจได้มากที่สุดของทีม อีกทั้งด้วย บุคลิก ความเป็นผู้นำของเขา ยังทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้รับปลอกแขนทำหน้าที่เป็น กัปตันทีม ของแมนยู ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายไปร่วมทีมเลยด้วย
ซึ่งสุดท้ายแล้ว ฤดูกาล 2019/20 ก็กลายเป็นอีกซีซั่นที่ แม็กไกวร์ ลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีกครบทุกนัด และครบทุกนาที พร้อมช่วยให้ ปีศาจแดง จบในอันดับ 3 ของตารางได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หากเทียบกับฟอร์มในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกของพวกเขาที่ทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย
กระทั่งในซีซั่น 2020/21 แม็กไกวร์ ยังคงเดินหน้าทำผลงาน และช่วยต้นสังกัดได้อย่างยอดเยี่ยม จนล่าสุด เขาสามารถพาทีมไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของตารางคะแนนได้สำเร็จ หลังจบเกมนัดที่ 17 ของฤดูกาล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในชีวิตของ กองหลังชาวอังกฤษ ที่ได้สัมผัสกับการเป็นผู้นำในลีกสูงสุดของอังกฤษด้วย
ผลงานทีมชาติอังกฤษ
แม็กไกวร์ มีเส้นทางในการติดทีมชาติ ที่ค่อนข้างจะแตกต่างจาก เด็กดาวรุ่งคนอื่นๆ ที่เล่นให้กับทีมเยาวชนของทีมดังๆ ทำให้มักจะได้รับโอกาสติดทีมชาติชุดต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่สำหรับ แฮร์รี่ เขาเคยติด ทีมชาติอังกฤษ ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2012 ในเกมที่ทัพ สิงโตคำราม U21 เอาชนะ ไอร์แลนด์เหนือ U21 2-0 เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น
ก่อนที่เขาจะได้โอกาสรับใช้ ทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2017 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนยุโรป ที่ อังกฤษ ในยุคของ แกเร็ธ เซาธ์เกต บุกเฉือนชนะ ลิทัวเนีย 1-0 ด้วยวัย 24 ปี 7 เดือน 3 วัน
หลังจากนั้น แม็กไกวร์ ก็ติดทีมชาติเรื่อยมา กระทั่งมีชื่อติดทีม ไปลุยศึก ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย โดยเขาลงเล่นให้ทัพ สิงโตคำราม ครบทุกนัด พร้อมทำไป 1 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ กลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ อังกฤษ คว้าอันดับที่ 4 ไปครองได้สำเร็จ
จากนั้น เขาก็ยังช่วยพา อังกฤษ ไปคว้าอันดับ 3 ในศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2018/19 ตามด้วยการผ่านการคัดเลือก จนได้เข้ารอบสุดท้ายของศึก ยูโร 2020 ที่ถูกเลื่อนมาแข่งขันในช่วงกลางปีนี้ได้สำเร็จ
จวบจนถึงปัจจุบัน แม็กไกวร์ ยังคงเป็นกำลังหลักของ ทีมชาติอังกฤษ โดยเขาติดธงไปแล้ว 30 นัด ยิงได้ 2 ประตู และทำไป 1 แอสซิสต์
เกียรติประวัติ
รางวัลส่วนตัว :
- นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 1 สมัย : 2011/12
- นักเตะยอดเยี่ยมของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3 สมัย : 2011/12, 2012/13, 2013/14
- นักเตะยอดเยี่ยมของ ฮัลล์ ซิตี้ จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีม 1 สมัย : 2016/17
- นักเตะยอดเยี่ยมของ ฮัลล์ ซิตี้ จากการโหวตของแฟนบอล 1 สมัย : 2016/17
- นักเตะยอดเยี่ยมของ เลสเตอร์ ซิตี้ 1 สมัย : 2017/18
- นักเตะยอดเยี่ยมของ เลสเตอร์ ซิตี้ จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีม 1 สมัย : 2017/18
"เอกกี้รีพอร์ต"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
>> Sports Profile : ประวัติ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จากแข้งผู้สร้างตำนาน 3 แชมป์ สู่กุนซือผีแดง
>> Sports Profile : ประวัติ ปอล ป็อกบา ซูเปอร์สตาร์ ค่าตัวแพงสุดในเกาะอังกฤษ
ดูสดฟรี!! ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ทุกสัปดาห์ พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม ต้อง App TrueID เท่านั้น
รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ >> คลิกที่นี่
เก็งไม่มีพลาด! ฟันธงคู่ไหนเด็ด! เจาะลึกก่อนเกมพรีเมียร์ลีก สมัครทาง SMS พิมพ์ R1 ส่งมาที่ 4238066 หรือคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้ ใช้ฟรี 7 วัน!!!!