
EXCLUSIVE : ถอดรหัส "ฉัตรชัย บุตรพรม" : "การกระทำ เสียงดังกว่าคำพูด" ... by "บก.เก้น"

EXCLUSIVE : นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมเขียนถึง ฉัตรชัย บุตรพรม…
การเขียนครั้งแรกนั้นต้องย้อนกลับไปสักช่วยท้ายๆ ซีซั่นที่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากจบเกมสุดบีบหัวใจ (ช้าง เอฟเอ คัพ 2018 รอบรองชนะเลิศ) ที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งในวันนั้นผมเองก็อยู่ในสนาม และได้ยลฟอร์มการเซฟแบบ “ของจริง” จาก “ซูเปอร์บอย” เต็มสองลูกตา
วันนั้นถ้าผมจำไม่ผิด ฉัตรชัย เซฟเน้นๆ ในเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง รวมถึงปฏิเสธลูกจุดโทษของฝั่งคู่แข่งไปอีกสามหน จนกลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ไปทั่วบ้านทั่วเมือง
นอกจากนั้นยังไม่พอ ฉัตรชัย ยังสามารถพาต้นสังกัดทะยานบินครั้งไกลที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ได้ผ่านเข้าไปอวดฝีเท้าในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การก่อตั้งสโมสรเหยียบ 1 ทศวรรษพอดิบพอดี
แม้ว่าสุดท้าย “กว่างโซ้งมหาภัย” จะถูกยุติเส้นทางฝันด้วยน้ำมือของเจ้าบุญทุ่มอย่าง เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี แต่ภายใต้ความพ่ายแพ้นั้น กลับถูกซ่อนไว้ด้วยความภูมิใจ และความกล้าหาญที่นักเตะทุกๆ คนได้ลงทำหน้าที่ และต่อสู้อย่างสุดความสามารถ
และหนึ่งในคนที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดในค่ำคืนนั้นก็คือ “ฉัตรชัย บุตรพรม”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในฤดูกาลที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ ส่วนหนึ่งนั้นมาจากผลงานอันยอดเยี่ยมของเจ้าตัวนั่นเอง
เพราะถ้าคุณมีผู้รักษาประตูฝีมือดีที่พร้อมจะยืนปกปักเสมือนปราการภูผาหินด่านสุดท้าย แน่นอน ทุกคนที่เหลือก็คงจะลงเล่นด้วยความอุ่นใจ และมั่นใจ…
ฉัตรชัย ตอบโจทย์ข้อนี้ชัดเจน
7 เซฟมหัศจรรย์ที่ เซี่ยงไฮ้ สเตเดี้ยม แถมยังปฏิเสธประตูจากแข้งระดับโลกอย่าง ออสการ์, ฮัลค์ และเอลเคสัน ได้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่ “ซูเปอร์บอย” ได้ฝากไว้ให้กับแฟนบอลเอเชียรับรู้ว่า เขาคืออีกหนึ่งนายทวารที่ดีที่สุดคนหนึ่งจากโตโยต้า ไทยลีก
และนั่นทำให้เกิดกระแสเรียกร้องดึง ฉัตรชัย บุตรพรหม กลับมาติดทีมชาติไทยอีกหน… ไม่ใช่ในฐานะมือสาม ไม่ใช่ในบทบาทตัวสำรอง
แต่เป็น “ผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติไทย”
ในวันที่ “ตอง” กวินท์ ธรรมสัจจานันท์ อาจจะยังต้องโฟกัสกับการเดินทางครั้งสำคัญในชีวิตกับ โอเอช ลูเวิ่น ในลีกพระรองเบลเยี่ยม, การประกาศอำลาทีมชาติไทยของ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ย่อมส่งผลกระทบต่อตำแหน่งมือหนึ่งของทัพ “ช้างศึก” อยู่ไม่น้อย อีกทั้งเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่ศึกแห่งศักดิ์ศรีที่แฟนบอลไทยทั้งชาติหมายปองโทรฟี่แชมป์อย่าง คิงส์ คัพ 2018 จะเปิดฉากขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 25 มีนาคมนี้ ยิ่งเปรียบนั่งนาฬิกาทรายที่ไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ บีบให้ ราเยวัช ต้องรีบตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง…
จริงอยู่ที่ทีมชาติใน ณ ตอนนี้ยังมีทั้ง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน, ประสิทธิ์ ผดุงโชค รวมถึงนายประตูดีๆ ที่ยืนเฝ้าเสาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในลีกทั้ง นนท์ ม่วงงาม, สมพร ยศ และกัมพล ปฐมอรรฆย์กุล ที่เคยถูกเรียกเข้าแคมป์ช้างศึกมาแล้ว แต่ผมเชื่อว่า หาก ราเยวัช จะต้องหนีบผู้รักษาประตูสามคนไปลงเล่นในทัวร์นาเม้นต์ หรือเกมนัดสำคัญๆ ภายใต้สถานการณ์ความกดดัน และความคาดหวังจากแฟนบอลชาวไทย บางที ฉัตรชัย ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมหากพิจารณาผลงานในช่วงขวบปีกว่าๆ ที่ผ่านมา
นี่คือสิ่งที่ผมเคยกล่าวไว้เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ผมเองยังคงยืนยันคำเดิมว่า ฉัตรชัย เองพร้อมแล้วสำหรับการท้าชิงตำแหน่งในครั้งนี้ ด้วยประสบการณ์ ฟอร์มการเล่น ความนิ่ง และทัศนคติฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ จากการที่เราสองคนได้สนทนากันในวันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2561)
“ก่อนเกม (กับ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี) จะเริ่ม ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ผม และทีมมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความมุ่งมั่น ถามว่ากลัวพวกเค้ามั๊ย ผมไม่กลัวเลยนะ มันมีแต่ความอยากล้วนๆ” ฉัตรชัย หรือพี่บอยที่ผมเรียก ค่อยๆ เผยความรู้สึกด้วยน้ำเสียงที่สัมผัสได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกเช่นนั้นอยู่จริงๆ
“ความอยากในที่นี้คือ อยากจะพิสูจน์ว่า ตัวเราเองเหมาะสมรึยังที่จะต้องมาเจอกับนักเตะระดับโลก อยากพิสูจน์ว่า ทีมของเราดีพอแล้วรึยัง อยากจะรู้ว่าในวันนี้เรายืนอยู่ตรงไหนในฟุตบอลเอเชีย”
“ผมย้ำกับตัวเองตลอดว่า ผมไม่ได้เดินทางไกลมาเพื่อหาประสบการณ์ ประสบการณ์คุณจะหาจากเกมอุ่นเครื่องนัดไหนก็ได้ หาจากการซ้อมก็ได้ แต่ไม่ใช่หาในเกมที่สำคัญแบบนี้ ถ้าคุณคิดว่ามาหาประสบการณ์ ผมว่าคุณแพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
“กับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น ผมไม่เสียดายเลยนะ เพราะผมรู้ว่าทุกคนทำเต็มที่แล้ว เราทำกันเต็มที่จริงๆ ยิ่งเราแพ้ ผมกลับยิ่งรู้สึกอยากจะกลับมายืนตรงจุดนี้ใหม่ให้ได้ ผมอยากจะพา เชียงรายฯ กลับมา เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้โดยที่ไม่ต้องลงเล่นเกมเพลย์ออฟ ซึ่งมันก็มีอยู่ทางเดียวคือการเป็นแชมป์ไทยลีกเท่านั้น”
เมื่อผมถามถึงความหนักใจในการต้องรับมือกับแนวรุกระดับพระกาฬที่ผ่านประสบการณ์กับทีมชาติบราซิลชุดใหญ่มาแล้วมากมายอย่าง ฮัลค์, ออสการ์ รวมถึงนักเตะระดับเอเชียอย่าง อู๋ เล่ย (ทีมชาติจีน) คุณรู้สึกยังไงบ้าง ?
“ผมพยายามมีสมาธิกับเกมให้มากที่สุด ฉะนั้นทุกจังหวะการขึ้นเกมบุกของ เซี่ยงไฮ้ ผมจะตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะผมรู้ดีว่านักเตะระดับ ฮัลค์, ออสการ์ หรือแม้กระทั่ง อู๋ เล่ย แค่พวกเขาขยับก้าวเดียว เขาก็หาเหลี่ยมยิงได้แล้ว อย่าง อู๋ เล่ย นี่อันตรายมากๆ ไม่ได้หนักใจอะไร แต่ใช้คำว่า ตื่นตัว และมีสมาธิอยู่เสมอ น่าจะดีกว่า”
“กับการประสานงานในเกมรับ ปีนี้เราได้ วิคเตอร์ คาร์โดโซ่ มาเสริม วิคเตอร์ เป็นนักเตะที่มีคาแรคเตอร์ เราไม่มีปัญหาการสื่อสารกันเลย เพราะจริงๆ แล้วเค้าก็แอบพูดไทยได้นะ (หัวเราะ) แม้ว่าเราจะเพิ่งได้ร่วมงานกัน แต่ผมกับ วิคเตอร์ ก็มอบความเชื่อมั่นให้กันอย่างเต็มที่ ช่วยกระตุ้นกัน ก็มั่นใจว่าผลงานของทีมโดยเฉพาะเกมรับก็น่าจะดีขึ้นตามลำดับ”
แน่นอนว่าอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่แฟนบอลชาวไทยเริ่มมีกระแสเรียกร้องออกมาอีกครั้งนั่นก็คือ โอกาส / ความเป็นไปได้ที่จะเห็น ฉัตรชัย คัมแบ็คสู่รั้วทีมชาติไทยในฐานะ “ผู้รักษาประตูมือหนึ่ง” ตรงนี้ “ซูเปอร์บอย” บอกกับผมตรงๆ ว่า พร้อมเสมอกับโอกาสในสีเสื้อทีมชาติไทยไม่ว่าจะไปเล่นในมืออะไรก็ตาม แต่ย้ำว่าโฟกัสหลักในเวลานี้ก็คือ การทำผลงานกับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ให้ดีที่สุดซะก่อน
“ผมยอมรับว่าโฟกัสหลักของตัวเอง ณ ตอนนี้ก็คือ เชียงรายฯ ผมตั้งใจที่จะพาทีมบินให้ไกลที่สุด เพราะอย่างที่รู้กันว่าปีที่ผ่านมาผมเองก็มีช่วงเวลาที่ไม่ค่อยสู้ดี ต้องเผชิญกับการบาดเจ็บหนัก ก็มีสโมสรฯ และแฟนบอลเชียงรายที่คอยยืนเคียงข้างผมจนสามารถกลับมาทำผลงานได้ดี เป้าหมายกับทีมปีนี้คือการคว้าแชมป์ให้ได้ ไม่ว่าจะรายการไหน ผมก็จะทำทุกอย่างให้เต็มที่ และดีที่สุด”
“ส่วนกระแสที่มีแฟนบอลเชียร์ให้ ราเยวัช เรียกผมกลับไปติดทีมชาติไทยในฐานะมือหนึ่ง ตรงนี้มันก็คงเหมือนกับที่ผมบอกไปก็คือ ถ้าผมทำผลงานให้กับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ได้ดี ผมก็มีโอกาสสูงที่จะได้กลับไปอยู่ตรงจุดนั้น ก็ขอบคุณทุกคนมากๆ ครับที่ยังคิดถึงกัน”
“ผมบอกเลยว่าพร้อมเสมอกับการลงเล่นให้กับทีมชาติไทย ไม่ว่าจะไปในฐานะมือหนึ่ง มือสอง หรือมือสาม ผมเองเต็มที่ และเต็มใจรับใช้ทีมชาติไทยเสมอ มันคือความภูมิใจ ถ้าเค้ากล้าเรียก ผมเองก็กล้าเล่น จะไปเป็นมืออะไรมันไม่สำคัญหรอกครับ เพราะเมื่อคุณคือนักเตะทีมชาติไทย เราล้วนแต่มีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือ ชัยชนะ”
จากคนที่ ต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าขาดจนต้องพักยาวร่วมครึ่งปี
จากคนที่ ถูกมองว่าแทบจะหมดอนาคตกับการเล่นฟุตบอลอาชีพ
จากคนที่ ถูกปรามาสว่าไม่มีวันกลับมาติดทีมชาติไทยได้
วันนี้ ฉัตรชัย คือผู้รักษาประตูที่แฟนบอลทั้งประเทศ ซูฮกในความมุ่งมั่น ความอดทน ด้วยผลงานในสนามที่ยอดเยี่ยม จนกลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้ง
ฉัตรชัย คือคนที่ทำให้ผมนึกถึงประโยคๆ หนึ่งอย่าง … “การกระทำ เสียงดังกว่าคำพูดเสมอ” จริงๆ …
FYI
ฉัตรชัย ฝากกระซิบมาว่า จริงๆ แล้ว การเขียนนามสกุลของเจ้าตัวที่ถูกต้องนั้นก็คือ “บุตรพรม” แบบนี้ ไม่มี หอ-หีบ นะครับ
บก.เก้น
ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports