TRUE FEATURES : ชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่เป้าหมายยังคงเดิม "น้องด้อล" เจ้าของจุดโทษบรรลือโลก
“ผมเคยแข่งบอลทั้งน้ำตาตอนเด็ก ผมเป็นโกลทีมนึง ส่วนโกลอีกทีมคือพ่อผม” นี่คือวาทะจากปากของ “น้องด้อล” เจ้าของจุดโทษบรรลือโลก…
ใครจะไปคิดว่า สุดยอดคลิปจังหวะฟุตบอลที่กลายเป็นกระแสโด่งดังทั่วโลกครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา มันจะมีต้นกำเนิดจากประเทศไทย แถมยังมาจากรายการฟุตบอล 7 คน ระดับนักเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่าง ฟุตบอลแชมป์กีฬา 7 สี ประจำปี 2017
หลายคนน่าจะได้เห็นคลิปดังกล่าวไปแล้ว และบางคนคงดูซ้ำไปมาไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้งด้วยซ้ำ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า แท้จริงแล้ว วีระวัฒน์ หน่อหมาด ผู้รักษาประตูของโรงเรียนกีฬากรุงเทพฯ รายนี้ มีชีวิตเบื้องหลังอย่างไร ภายใต้คลิปบรรลือโลก “น้องด้อล” ผ่านอะไรมาบ้าง.. วันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟัง ซึ่งอันที่จริง ผมได้โอกาสโทรหา “น้องด้อล” ตั้งแต่สักสัปดาห์ที่แล้ว แต่เจ้าของลูกยิงแบ็คสปินเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงสัปดาห์หยุดยาว จึงต้องเลื่อนเวลามาพบปะกันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
“ผมเกิดที่อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ตครับ เริ่มเล่นบอลตั้งแต่เจ็ดขวบ ตอนนั้นเล่นกองหลังครับ พอเล่นได้สักพัก ตอน 8 ขวบ ผมก็เข้าไปอยู่อะคาเดมี่ชื่อว่า ดราก้อน จูเนียร์ ในภูเก็ต ก็อยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน ได้ลงสนามบ้างในรายการเด็ก เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และเป็นกัปตันทีมด้วย แต่พ่อผมก็มองว่า มันไม่น่าจะรุ่งนัก เลยจับผมมาฝึกเป็นผู้รักษาประตู”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “น้องด้อล” กับตำแหน่งใหม่ ที่เจ้าตัวยึดมาจนถึงปัจจุบัน…
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมคุณพ่อของน้องด้อลถึงทำเช่นนั้น นั่นก็เพราะ คุณพ่อของเขา (บัญชา หน่อหมาด) เคยเป็นผู้รักษาประตูของทีมบอลเดินสายในภูเก็ต และยังเคยรับหน้าที่เป็นผู้บรรยายฟุตบอลเดินสายในจังหวัดภูเก็ต รวมถึงเคยเป็นผู้บรรยายในสนาม ยามที่ ภูเก็ต เอฟซี ลงสนามในลีก ดิวิชั่น 1 และ ดิวิชั่น 2 อีกด้วย
“พ่อผมเป็นนายประตูเหมือนกันครับ เขาเล่นบอลเดินสาย และก็บรรยายฟุตบอลไปด้วย ตอนที่พ่อเริ่มสอนผมเป็นประตู เขาก็ยังเดินสายอยู่ แล้วพอภูเก็ต เอฟซี ลงแข่ง ผมก็ได้โอกาสไปดูบ่อยๆ เพราะพ่อไปอ่านรายชื่อ เป็นโฆษกในสนาม ตอนนี้เค้าก็ยังเล่นอยู่บ้าง รายการที่มีกำหนดอายุรุ่นอาวุโส”
“ตอน 8 ขวบ ผมเลิกเรียนที่โรงเรียนถลางพระนางสร้างปุ๊ป พ่อก็จะขี่มอเตอร์ไซค์มาหาที่โรงเรียนทุกวัน พกลูกบอลขาวดำใส่ถุงมาเป็น 10 ใบ แล้วผมก็เปลี่ยนชุด ใส่รองเท้า และถูกฝึกตั้งแต่บ่ายสามยันห้าโมง”
“ซ้อมอยู่ทุกวัน เริ่มจากรับบอล จับบอล พอเริ่มเป็น พ่อก็เริ่มให้สไลด์รับ ซ้ายทีขวาที จากนั้นก็พุ่งรับ รับเรียด รับโด่ง ลอยเทคตัว ก้าวรับ ถอยรับ ฝึกทุกอย่าง โดยที่ไม่ได้เอาแบบฝึกมาจากใครนะ แล้วตอนผม 10 ขวบ ฝึกไปได้สักพัก พ่อผมก็จับผมลงสนามกับทีมผู้ใหญ่เลย ผมเป็นโกลฝั่งนึง พ่อก็เป็นโกลอีกฝั่งนึง ตอนนั้นผมกลัวมาก กลัวผู้ใหญ่จะยิงแรง เล่นไปร้องไห้ไป ลงเล่นกับผู้ใหญ่ทั้งน้ำตา”
แต่ด้วยการฝึกฝนของคุณพ่อ ทำให้ “น้องด้อล” กลายเป็นผู้รักษาประตูระดับเยาวชนที่ไม่กลัวบอล และมีทักษะดีระดับหนึ่งในช่วงที่ย้ายโรงเรียนมาเรียนชั้น ม.ต้น ในตัวเมือง จนได้โอกาสเข้ามาฝึกฝนในเมืองหลวงครั้งแรก ที่สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสโมสรหนึ่งของประเทศ นั่นคือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ในอีกไม่กี่ปีให้หลัง
“ตอนนั้น ผมรู้จักกับพี่โบ๊ต (พิพัฒน์พล ทับไทร) ครับ เขาเป็นผู้รักษาประตู ชุดเยาวชนของเมืองทอง (ล่าสุดอยู่ อุดรธานี เอฟซี) ผมก็เลยได้ย้ายมาอยู่อะคาเดมี่เมืองทองตอนอายุ 15 ปี ได้เรียน ม.3 ที่โรงเรียนโพธินิมิต”
“ตอนนั้น ผมไม่ได้เล่นรายการอะไรเลย แต่ก็ยอมรับว่า ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ได้เบสิคเพิ่มขึ้น ได้ซ้อมแบบใหม่ๆ จากเด็กบ้านนอกที่ไม่รู้อะไรเลย รับซ้ายขวาอย่างเดียว ได้มาเจอรูปแบบการฝึกที่แตกต่าง มีลูกเล่นเยอะ แปลกใหม่ ผมก็พัฒนาขึ้นเยอะ และก็ชอบเอามาสอนน้องๆ ที่บ้าน แต่ก็มีท้อนะ เพราะไม่ได้ลงเล่นเลย จนรุ่นพี่อีกคนคือ “พี่ลี” (ทักดนัย กลมเกลี้ยง : อดีตเด็กอะคาเดมี่ของ แบงค็อก ยูไนเต็ด ปีล่าสุดอยู่ กรุงธนบุรี เอฟซี และ เคยมีชื่อติดทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี)”
“พี่ลีบอกกับผมว่า ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ของมึง แต่ที่ต่อไป คือที่ของมึงแน่นอน แต่มึงมีหน้าที่ซ้อม ก็ต้องซ้อมไปให้เต็มที่ มึงต้องตั้งใจซ้อม จำคำของกูไว้”
หลังจากนั้น น้องด้อล ก็ก้มหน้าก้มตาซ้อมตามคำแนะนำของรุ่นพี่ แม้ว่าจะไม่ได้รับโอกาสเลย โดยมีไอดอลคนหนึ่ง ที่เขามักจะแอบมองประจำหลังซ้อม และเคยได้เข้าใกล้หลายรอบ แต่ไม่เคยกล้าไปคุยด้วย นั่นคือ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของ เมืองทอง และทีมชาติไทย
“ผมมองพี่ตองทุกวันเลยนะตอนนั้น อยากเป็นแบบแก ผมชอบนั่งดูแกซ้อม ตอนผมมาแรกๆ ผมไม่มีทักษะเบสิคมากมาย ผมมักจะโดนโค้ชด่าว่า เป็นเด็กที่ไม่ได้เรื่อง ชีวิตเคยจำอะไรได้ไหม เพราะผมจำที่โค้ชสอนไม่ได้ เค้าชอบบอกว่า สอนแล้วไม่จำ ผมก็ได้แค่ก้มหน้า ร้องไห้ แล้วผมก็เริ่มปรับตัว แอบมองพี่ตอง และฝึกตามเค้า ผมเริ่มวิ่งหลังซ้อมเสร็จ ไปซ้อมคนเดียว ไปบ้าเข้าฟิตเนสอยู่ช่วงนึงด้วย (หัวเราะ)”
“บางทีเจอพี่ตองที่ฟิตเนส ผมได้แต่นั่งมอง ไม่เคยคุยอะไรเลย ไม่กล้าเข้าไปทักสักคำ”
หลังจากนั้น ไม่กี่เดือนต่อมา น้องด้อล ก็ต้องย้ายมาอยู่กับโรงเรียนกีฬากรุงเทพฯ ตอนอายุ 16 ปี ซึ่งที่นี่เขาก็ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง จนบอกกับเราว่า “ช่วงตอนเล่นรายการอายุ 16 ปี น่าจะเป็นช่วงที่ฟอร์มดีที่สุดในชีวิตผมเลยครับพี่”
น้องด้อล ได้ลงสนามให้กับโรงเรียนกีฬากรุงเทพฯ ในฐานะตัวจริงติดต่อกัน 2-3 ปี ในหลายรายการ ทั้งฟุตบอล อาลิอันซ์, ฟุตบอลกองทัพอากาศ, ฟุตบอลของมหกรรมโรงเรียนกีฬาฯ, ฟุตบอล 7 คน 7 สี, ฟุตบอลกรมพลศึกษา ฯลฯ ซึ่งแม้จะไม่ประสบความสำเร็จไปไกลถึงแชมป์ แต่เขาก็ภูมิใจที่ได้พิสูจน์ฝีมือรับใช้สถาบัน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ลูกยิงจุดโทษบรรลือโลกที่ทุกคนน่าจะทราบกันดี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
และลูกยิงลูกนี้แหละ ที่ทำให้การกลับบ้านที่จังหวัดภูเก็ตครั้งล่าสุดของน้องด้อล มีบรรยากาศไม่เหมือนเก่า
“ตั้งแต่ข่าวเริ่มออก คนก็เริ่มโทรหาผม มีทั้งคนไทย และต่างชาติเลยนะ ทักเฟสบุ๊คมา บางคนก็โทรมา ชีวิตเปลี่ยนไปเลยนะ จากคนที่ไม่มีใครรู้จัก ก็มีคนต่างชาติมาถามว่า คลิปนั้นใช่คุณหรือเปล่า ผมก็ตอบว่าใช่ แล้วก็ให้แฟนช่วยคุยด้วย”
“เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมกลับบ้าน ก็มีคนโทรมาบอกให้ไปที่สนามบอลที่พ่อผมกำลังบรรยายเกมเดินสายอยู่ พอไปถึง พ่อก็พูดแซวว่า “เอ้า ยินดีต้อนรับ นักเตะระดับเอเชียหน่อยครับ” หลังจากนั้น ก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปเต็มเลย ตอนนี้ไปที่ไหนก็มีคนแซว มีคนทักทาย มีคนมาขอถ่ายรูป”
“ตกใจนะครับ ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปเยอะ แต่จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ผมดังในเรื่องของฟอร์มการเล่นฟุตบอลมากกว่า”
ช่วงท้ายของการพูดคุย ผมได้ถามถึงการวางแผนชีวิตข้างหน้าของน้องด้อล เพราะปีหน้าก็จะเข้าเรียนในชั้นมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งเจ้าของความสูง 182 เซนติเมตรรายนี้ ก็มีท่าทางเศร้าหมองลง ก่อนจะเล่าว่า
“ในใจผมอยากเรียนที่นี่ (กรุงเทพฯ) แต่ตอนกลับบ้านล่าสุด ได้คุยกับพ่อ เค้าอยากให้กลับไปเรียนที่บ้าน เค้าอยากให้ผมเรียนให้จบ และทำงาน เพื่อซื้อบ้าน เพราะตอนนี้ครอบครัวของผมยังอยู่ในบ้านพักของราชการ ที่อยู่มาเป็น 20 ปีแล้วครับ เพราะพ่อของผมทำงานประจำเป็น กองอาสารักษาดินแดน ในอำเภอถลาง”
“ผมก็เลยคิดว่า ผมอาจจะต้องกลับบ้าน ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่บ้าน ไปเรียนเอกพละ เพื่อจบไปเป็นครู แล้วก็เล่นบอลเดินสายไปด้วย เพื่อเก็บเงินซื้อบ้านสักหลังไว้ให้กับครอบครัว”
“ผมเป็นพี่คนโต มีน้องอีกสามคน น้องชายสองคน อายุ 13 กับ 8 ขวบ ส่วนน้องสาวคนเล็กเป็นผู้หญิง อายุ 2 ขวบกว่า ผมยังต้องรับผิดชอบอะไรอีกหลายอย่าง ผมมีภาระที่ต้องช่วยดูแลน้องๆ อีกในอนาคต”
“ถ้าต้องกลับไปเรียนที่บ้าน ผมก็คงต้องกลับไปเล่นฟุตบอลที่นั่น บางทีก็อาจจะไปคัดสโมสรในภาคใต้แทน อย่าง ภูเก็ต เอฟซี ที่มีเพื่อนของผมอยู่หลายคน แต่ผมก็ยังคาดหวังอยู่นะครับว่า จะมีอะไรดีๆ เข้ามาในเทอมสุดท้าย ถ้าผมคัดติดสโมสรไหนสักที่ ผมก็อาจจะได้เล่นฟุตบอลต่อในกรุงเทพฯ อีกสักตั้งครับ”
***********
บางทีชีวิตมันก็เหมือนลูกจุดโทษลูกนั้นเหมือนกันนะ
ถ้าวันนั้นมันชนคาน ลอยขึ้นฟ้า แล้วตกมาโดนตัวน้องด้อล
หรือถ้ามันชนคานแล้วลอยโด่งไปที่อื่น
เราคงจะไม่รู้จัก “ด้อล” วีระวัฒน์ หน่อหมาด กันขนาดนี้
และบางที จังหวะชีวิตต่อจากนี้ของน้องด้อล
มันอาจจะเป็นจังหวะที่ “ลูกบอลกำลังสปินตัวกลับเข้าประตู แล้วได้รับชัยชนะได้ในที่สุด ก็ได้นะ….”
***********
ชมสด!! ศึกไทยลีก พร้อมติดตามข่าวสารทีมชาติไทย ได้ที่ Trueid App และ เว็บไซต์ Sport Trueid หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line@Trueid