รีเซต
วิธีเช็ครถยนต์ด้วยตัวเองสำหรับพ่อบ้านสายประหยัด ก่อนลุยทริปยาว ปลอดภัยกว่าที่คิด

วิธีเช็ครถยนต์ด้วยตัวเองสำหรับพ่อบ้านสายประหยัด ก่อนลุยทริปยาว ปลอดภัยกว่าที่คิด

วิธีเช็ครถยนต์ด้วยตัวเองสำหรับพ่อบ้านสายประหยัด ก่อนลุยทริปยาว ปลอดภัยกว่าที่คิด
WeenayA
7 สิงหาคม 2568 ( 08:00 )
58

     มาเช็ครถด้วยตัวเองก่อนออกทริปยาว ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและวันหยุดยาวมาถึงแล้ว นอกจากจะวางแผนหาที่เที่ยว ที่พัก การเตรียมความพร้อมของรถยนต์คู่ใจก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ทุกการเดินทางราบรื่นและปลอดภัยไร้กังวล TrueID Sport ได้รวบรวมวิธีเช็ครถด้วยตัวเองก่อนเดินทางไกล แบบง่ายๆ แต่ครบถ้วน ที่จะช่วยให้คุณตรวจสภาพรถได้อย่างมืออาชีพไม่ต้องกังวลเรื่องรถเสียกลางทางอีกต่อไป

 

วิธีเช็ครถยนต์ด้วยตัวเองสำหรับพ่อบ้านสายประหยัด
ก่อนลุยทริปยาว ปลอดภัยกว่าที่คิด

วิธีเช็ครถด้วยตัวเองก่อนออกเดินทางไกล 

1. ยางรถยนต์

  • เช็คแรงดันลมยาง
    เริ่มต้นด้วยการตรวจเช็กแรงดันลมยาง ของยางทั้ง 4 ล้อ รวมถึงยางอะไหล่ ตรวจดูค่า PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) ที่เหมาะสมสำหรับรถของคุณ ในส่วนนี้มักจะระบุไว้ที่สติกเกอร์บริเวณข้างประตูฝั่งคนขับ หรือในคู่มือรถยนต์ของคุณ
    ควรเช็กลมยางในขณะที่ยางยังไม่ร้อน หรือหลังจากที่รถจอดสนิทมาสักพักแล้ว เพราะความร้อนจากการขับขี่อาจทำให้ค่าแรงดันคลาดเคลื่อนได้ การมีแรงดันลมยางที่เหมาะสมจะช่วยให้รถเกาะถนนได้ดีประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งานของยาง

  • ดอกยาง
    ลองสังเกตดอกยางของคุณดูว่ายังอยู่ในสภาพดีและมีความลึกเพียงพอหรือไม่ วิธีเช็คง่ายๆ ให้ใช้เหรียญสิบบาทปักลงไปในร่องดอกยาง โดยเอาด้านที่มีขอบเหรียญหรือตัวเลขปักลงไป ถ้าคุณยังมองเห็นขอบเหรียญหรือตัวเลขบนเหรียญได้ชัดเจน แสดงว่าดอกยางของคุณอาจจะเริ่มสึกหรอมากแล้ว ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับขี่บนถนนเปียก หรือในช่วงที่ฝนตก

  • สภาพยาง
    นอกจากแรงดันและดอกยางแล้ว อย่าลืมตรวจสอบสภาพยางโดยรอบ ด้วยตาเปล่าอย่างละเอียดมองหาว่ามียางบวมตรงไหนหรือไม่ มีรอย ฉีกขาดหรือรอยร้าวที่เห็นได้ชัดเจนหรือเปล่า และที่สำคัญคือ ลองสังเกตดูว่ามีวัตถุแปลกปลอม เช่น ตะปู เศษแก้ว หรือของมีคมอื่นๆ ติดอยู่ตามหน้ายางหรือร่องยางหรือไม่ หากพบสิ่งผิดปกติเหล่านี้ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กทันที

2. ระบบของเหลวต่างๆ ในรถ

  • น้ำมันเครื่อง
    เริ่มต้นด้วยการดึงก้านวัดน้ำมันเครื่อง ออกมาเช็ดทำความสะอาด แล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่จนสุด จากนั้นดึงออกมาอีกครั้งเพื่อ ดูระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำมันที่เหมาะสมควรอยู่ ระหว่างขีด "min" (ต่ำสุด) และ "max" (สูงสุด) ที่ระบุบนก้านวัดหากระดับน้ำมันเครื่องต่ำกว่าขีด "min" ควรเติมน้ำมันเครื่องเพิ่มให้ได้ระดับที่เหมาะสมทันที เพราะน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปอาจทำให้เครื่องยนต์สึกหรอและเสียหายได้

  • น้ำยาหล่อเย็น (หม้อน้ำ)
    ควรเช็กระดับน้ำยาหล่อเย็นในกระปุกพักน้ำ ในขณะที่เครื่องยนต์เย็นสนิทแล้วเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและได้ค่าที่แม่นยำ ระดับน้ำยาหล่อเย็นควรอยู่ ระหว่างขีด "full" และ "low" น้ำยาหล่อเย็นมีหน้าที่ช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ หากระดับต่ำเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท (ความร้อนสูงเกิน) และเสียหายร้ายแรงได้

  • น้ำมันเบรก
    เปิดฝากระโปรงรถแล้วมองหากระปุกน้ำมันเบรก ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรก ว่าอยู่ ใกล้ขีด "max" (สูงสุด) หรือไม่น้ำมันเบรกเป็นส่วนสำคัญของระบบเบรก หากระดับน้ำมันเบรกลดลงอย่างผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงการรั่วซึมในระบบเบรก หรือผ้าเบรกสึกหรอ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในการขับขี่

  • น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์
    หากรถของคุณใช้ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฮดรอลิก (รถรุ่นใหม่ๆ บางคันอาจเป็นระบบไฟฟ้าที่ไม่ต้องเช็กน้ำมันส่วนนี้) ให้เช็กระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ในกระปุกพักน้ำมันด้วย ระดับน้ำมันที่เหมาะสมจะช่วยให้การบังคับเลี้ยวเป็นไปอย่างนุ่มนวลและง่ายดาย

  • น้ำฉีดกระจก
    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำฉีดกระจกเต็มกระปุก ถึงอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จะมีประโยชน์อย่างมากเมื่อคุณขับรถทางไกลแล้วต้องเจอกับฝุ่นละออง แมลง หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ติดกระจกหน้ารถ การมีน้ำฉีดกระจกที่เพียงพอจะช่วยให้คุณมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนตลอดการเดินทาง

3. ไฟส่องสว่าง

  • ไฟหน้า : ลองเปิดทั้งไฟต่ำ และไฟสูง สังเกตดูว่าไฟติดครบทั้งสองข้างหรือไม่ และมีความสว่างเพียงพอที่จะส่องสว่างเส้นทางข้างหน้าได้ดีแค่ไหน หากพบว่าไฟดวงใดดวงหนึ่งไม่ติด หรือสว่างน้อยกว่าปกติ อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนหลอดไฟแล้ว

  • ไฟท้าย : ตรวจสอบว่าไฟท้ายติดสว่างเมื่อคุณเปิดไฟหน้า เพื่อให้รถคันหลังมองเห็นรถของคุณในที่มืด

  • ไฟเบรก: นี่คือไฟที่สำคัญที่สุดดวงหนึ่งสำหรับการขับขี่ ลองเหยียบแป้นเบรกค้างไว้ แล้วให้คนอื่นช่วยดูว่า ไฟเบรก ทั้งสามดวง (ซ้าย ขวา และดวงที่สามตรงกลาง) ติดสว่างครบทุกดวงหรือไม่ หากเดินทางคนเดียวคุณอาจลองถอยรถเข้าใกล้กำแพง แล้วมองผ่านกระจกมองหลังเพื่อเช็กไฟเบรกจากเงาสะท้อนก็ได้

  • ไฟเลี้ยว: เปิดไฟเลี้ยว ทีละข้าง ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สังเกตว่าไฟกระพริบเป็นจังหวะปกติหรือไม่ และมีความสว่างเพียงพอ หากไฟกระพริบเร็วกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณว่ามีหลอดไฟเลี้ยวขาดไปหนึ่งดวง

  • ไฟฉุกเฉิน : อย่าลืมกดปุ่มไฟฉุกเฉินเพื่อตรวจสอบว่าไฟเลี้ยวทั้งสี่ดวงทำงานพร้อมกันตามปกติหรือไม่

  • ไฟตัดหมอก : หากรถของคุณมีไฟตัดหมอก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ควรทดสอบการทำงานของไฟเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะหากคุณมีแผนจะขับรถผ่านพื้นที่ที่มีหมอกหนาหรือฝนตกหนัก

4. ที่ปัดน้ำฝน

  • ใบปัดน้ำฝน
    เริ่มต้นด้วยการ ตรวจสอบสภาพใบปัดน้ำฝน ด้วยตาเปล่าอย่างละเอียด ลองยกใบปัดขึ้นมาดูว่ายางปัดน้ำฝนมีรอยแตก รอยฉีกขาด หรือเนื้อยางแข็งกระด้าง หรือไม่
    วิธีทดสอบประสิทธิภาพ ลองฉีดน้ำล้างกระจก แล้วเปิดใบปัดน้ำฝนดู หากใบปัดแล้วยังเหลือคราบน้ำเป็นเส้นๆ หรือปัดแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด หรือกระโดดไปมา ไม่ปัดเรียบเนียนนั่นเป็นสัญญาณชัดเจนว่าถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใหม่
    นอกจากนี้ให้สังเกตว่าใบปัดน้ำฝนสามารถ ปัดทำความสะอาดกระจกได้ทั่วถึง ทั้งบานหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจมีบางจุดที่ใบปัดไม่สามารถสัมผัสกับกระจกได้อย่างเต็มที่

5. เบรก

  • เสียงเบรก
    ขณะที่คุณขับรถลองฟังเสียงผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อคุณเหยียบแป้นเบรก หากมีเสียงแหลมๆ คล้ายเสียงโลหะเสียดสีกัน (เสียงเอี๊ยด หรือหวีด) หรือ เสียงดังครืดคราด/ขูดขีด (เสียงครืดๆ หรือ กึกๆ) ในขณะที่เหยียบเบรก นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบเบรกของคุณ
    เสียงแหลมๆ มักเกิดจากผ้าเบรกที่เริ่มบางลงจนถึงตัวเตือน หรือมีสิ่งสกปรกเข้าไปติดอยู่ ส่วนเสียงครืดคราดอาจบ่งบอกถึงผ้าเบรกที่สึกหรอจนถึงจานเบรก หรือจานเบรกมีปัญหา หากคุณได้ยินเสียงผิดปกติเหล่านี้ ควรรีบนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบทันที 

6. แบตเตอรี่

  • ขั้วแบตเตอรี่
    ลองเปิดฝากระโปรงรถแล้ว สังเกตดูที่ขั้วแบตเตอรี่ (ที่เป็นจุดเชื่อมต่อสายไฟเข้ากับตัวแบตเตอรี่) ทั้งขั้วบวก (+) และขั้วลบ (-)
    เช็คความสะอาด ของขั้วแบตเตอรี่ หากพบว่ามีคราบสีขาวหรือสีฟ้าคล้ายผงแป้งเกาะอยู่ นั่นคือสัญญาณของ คราบขี้เกลือหรือคราบออกไซด์ ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อนคราบเหล่านี้จะไปขัดขวางการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้า ทำให้ประสิทธิภาพการจ่ายไฟของแบตเตอรี่ลดลง และอาจทำให้รถสตาร์ทติดยาก หรือระบบไฟฟ้าในรถทำงานไม่เต็มที่
    หากมีคราบเกาะอยู่ ควรทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง โดยอาจใช้แปรงลวดเล็กๆ หรือแปรงสีฟันเก่าๆ ขัดเบาๆ ร่วมกับน้ำร้อน หรือน้ำยาทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่โดยเฉพาะ ควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อนทำความสะอาดเสมอ โดยถอดขั้วลบก่อนแล้วค่อยถอดขั้วบวก และใส่กลับในลำดับย้อนกลับคือใส่ขั้วบวกก่อนแล้วค่อยใส่ขั้วลบ เพื่อป้องกันการลัดวงจร
    หลังจากทำความสะอาดแล้ว ควรตรวจสอบการยึดแน่นของขั้วแบตเตอรี่ด้วยว่าแน่นหนาดีหรือไม่ หากหลวมก็ควรขันให้แน่น เพื่อให้การส่งกระแสไฟฟ้าเป็นไปอย่างราบรื่น

7. อุปกรณ์ฉุกเฉิน

  • สายพ่วงแบตเตอรี่: นี่คืออุปกรณ์ช่วยชีวิตอันดับต้นๆ หากแบตเตอรี่รถของคุณหมดกลางทาง การมีสายพ่วงแบตเตอรี่จะช่วยให้คุณสามารถพ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่นเพื่อสตาร์ทรถได้ ทำให้คุณไม่ต้องติดอยู่กลางทางเป็นเวลานาน

  • ชุดเครื่องมือพื้นฐาน: ควรมีประแจ ไขควง คีม และอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่จำเป็นติดรถไว้เสมอ เผื่อกรณีที่ต้องขันน็อต หรือซ่อมแซมอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เช่นการเปลี่ยนยางอะไหล่ หรือการขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น

  • ชุดปฐมพยาบาล: อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เช่นมีดบาด แผลถลอก หรืออาการปวดหัวระหว่างทาง สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ การมีชุดปฐมพยาบาลที่มีพลาสเตอร์ ยาฆ่าเชื้อ ผ้าพันแผล และยาสามัญประจำบ้าน จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองหรือผู้ร่วมเดินทางเบื้องต้นได้ทันท่วงที

  • ไฟฉาย: เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในเวลากลางคืน หรือในที่มืดไฟฉายจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในการส่องสว่างเพื่อตรวจสอบสภาพรถ หรือเพื่อความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟฉายของคุณมีแบตเตอรี่ที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

  • พลุไฟฉุกเฉินแบบ LED หรือป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง: หากรถของคุณเสียข้างทาง โดยเฉพาะในที่มืด หรือบริเวณที่มองเห็นได้ยาก การมีพลุสัญญาณ หรือป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง สำหรับตั้งเตือนเหตุฉุกเฉิน จะช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถของคุณได้จากระยะไกล ลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน และเป็นการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้อีกทางหนึ่งด้วย

บทความที่คุณอาจสนใจ

ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
สัมผัสโลกไร้ขีดจำกัดกับทรูไอดี