รีเซต
ย้ายเมืองเพื่อแชมป์ : แอลเอ แรมส์ กับเบื้องหลังการคว้าแชมป์ที่เต็มไปด้วยการเมือง, ผลประโยชน์ และความคลั่ง | Main Stand

ย้ายเมืองเพื่อแชมป์ : แอลเอ แรมส์ กับเบื้องหลังการคว้าแชมป์ที่เต็มไปด้วยการเมือง, ผลประโยชน์ และความคลั่ง | Main Stand

ย้ายเมืองเพื่อแชมป์ : แอลเอ แรมส์ กับเบื้องหลังการคว้าแชมป์ที่เต็มไปด้วยการเมือง, ผลประโยชน์ และความคลั่ง | Main Stand
เมนสแตนด์
16 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:00 )
627

NFL ฤดูกาล 2021 จบลงแล้ว ด้วยการคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ของ ลอสแอนเจลิส แรมส์ ที่เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในสนามเหย้าของพวกเขาเอง

 


แต่ความสำเร็จครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้น หากไม่เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ นั่นคือการย้ายแฟรนไชส์แรมส์ จากเมืองเซนต์หลุยส์มาที่ลอสแอนเจลิส

การย้ายทีมในครั้งนี้ไม่ได้เพียงแค่เป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ให้กับแรมส์ แต่ยังวางรากฐานอนาคตให้กับ NFL อีกด้วย 

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand

 

จากแอลเอ สู่เซนต์หลุยส์

ลอสแอนเจลิส แรมส์ ถือเป็นทีมอเมริกันฟุตบอลดั้งเดิมของเมืองดังจากรัฐแคลิฟอร์เนีย แม้ว่าจุดเริ่มต้นของทีมจะอยู่ที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ แต่แฟรนไชส์นี้ก็ได้ย้ายมาตั้งที่แอลเอตั้งแต่ปี 1946 และเป็นทีมอเมริกันฟุตบอลทีมแรกที่ย้ายมาอยู่ฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา

แอลเอ แรมส์ มีช่วงเวลาที่ดีในลอสแอนเจลิส โดยเฉพาะยุค 70s ที่เรียกได้ว่าผูกขาดการไปเล่นรอบเพลย์ออฟแทบทุกปี 

อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ยุค 80s ทีมแกะเขาเหล็กผลงานตกต่ำลงเรื่อย ๆ บวกกับมีทีมใหม่เข้ามาในแอลเอ นั่นคือ ลอสแอนเจลิส เรดเดอร์ส ที่ย้ายมาจากเมืองโอคแลนด์ ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย แถมทีมโจรสลัดดำหน้าใหม่ของแอลเอ ยังคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้ทันทีหลังจากย้ายเมืองมา 

บทสรุปคือเมื่อมีแฟรนไชส์ใหม่มาเป็นขวัญใจให้คนในลอสแอนเจลิสทำให้แรมส์เสียฐานแฟนคลับ ขณะที่คนดูน้อยลงเรื่อย ๆ สภาพการเงินของทีมก็ย่ำแย่ จนสุดท้ายกลุ่มเจ้าของทีมในเวลานั้นจึงเลือกที่จะวางแผนย้ายทีมออกจากลอสแอนเจลิส ไปที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี

บวกกับเวลานั้นฝั่งเซนต์หลุยส์ก็ต้องการทีมอเมริกันฟุตบอลประจำเมืองเช่นกัน พวกเขาจึงเปิดประตูพร้อมทำทุกอย่างให้แรมส์ย้ายจากฝั่งตะวันตกมาเล่นฟุตบอลทางตอนกลางของสหรัฐฯ 

หลังจากกลุ่มเจ้าของทีมแรมส์ปฏิเสธที่จะสร้างสนามใหม่บริเวณใกล้ใจกลางเมืองลอสแอนเจลิสเพื่อดึงดูดแฟนคลับ ก็เป็นการปิดฉากช่วงเวลาของแรมส์ในลอสแอนเจลิส เพราะ NFL บีบให้แรมส์ต้องหาเมืองใหม่ เพื่อยกระดับสถานการณ์ของแฟรนไชส์ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของแรมส์ เนื่องจากพวกเขามีเซนต์หลุยส์เปิดประตูรอรับอยู่แล้ว 

ลอสแอนเจลิส แรมส์ จึงกลายเป็น เซนต์หลุยส์ แรมส์ ในปี 1995 และการย้ายเมืองก็เหมือนการปฏิวัติทีมใหม่ในทันที จากการเป็นแฟรนไชส์ที่จืดชืดไม่มีใครสนใจและไร้ความสำเร็จ … ความมีชีวิตชีวากลับมาหาทีมแกะเขาเหล็กอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะพวกเขาได้แฟนบอลกลับมาเต็มสนามอีกครั้ง ซึ่งไม่เกิดขึ้นมาหลายปีในระยะสุดท้ายที่แรมส์อยู่กับลอสแอนเจลิส 

นอกจากนี้การย้ายมาอยู่ที่เมืองเซนต์หลุยส์ ทีมแรมส์ยังได้สนามเหย้าใหม่เป็นของตัวเองอีกด้วย นั่นคือ The Dome at America's Center ซึ่งทางเมืองเซนต์หลุยส์ได้ทุ่มเงินสร้างสนามนี้ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสนามเหย้าของทีมแรมส์ โดยเริ่มเปิดใช้ครั้งแรกในปี 1995 เพื่อทีมนี้โดยเฉพาะ ถือเป็นการเริ่มหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของเซนต์หลุยส์ แรมส์ ได้เป็นอย่างดี

สุดท้ายแรมส์กลับมาเป็นทีมที่อันตรายอีกครั้ง และพวกเขาคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์เป็นสมัยแรกให้แฟรนไชส์ได้สำเร็จในฤดูกาล 1999 พร้อมกับเกมรุกสุดแกร่งกับฉายา "The Greatest Show on Turf" หนึ่งในความตื่นตาตื่นใจของประวัติศาสตร์การทำเกมบุกของลีก NFL พร้อมกับสตาร์ดังอย่าง เคิร์ท วอร์เนอร์ (Kurt Warner) และ มาร์แชล ฟอล์ค (Marshall Faulk)

อย่างไรก็ตามเหมือนจะเป็นลูปของทีมแรมส์ที่ไม่น่าประทับใจนัก หลังจากออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมดังของเซนต์หลุยส์ไม่สามารถเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้อีกเลย นับตั้งแต่ฤดูกาล 2005 เป็นต้นมา 

ซึ่งในระหว่างนั้นเองมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้น นั่นคือเจ้าของทีมได้ถูกเปลี่ยนมือสู่ สแตน โครเอนเก้ นักธุรกิจมากประสบการณ์ที่เข้ามือถือครองทีมแกะเขาเหล็กในปี 2010 ด้วยการจ่ายเงิน 929 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาทไทย ซื้อหุ้น 70 เปอร์เซ็นต์ของทีม (จากเดิมถือหุ้นอยู่ 30 เปอร์เซ็นต์) 

และทันทีที่โครเอนเก้กลายเป็นเจ้าของทีม มีข่าวประโคมออกมาอย่างหนักว่านักธุรกิจรายนี้กำลังจะพาทีมแกะเขาเหล็กย้ายหนีออกจากเซนต์หลุยส์ ไปอยู่กับเมืองใหม่ที่จะชุบชีวิตแฟรนไชส์นี้กลับมาอีกครั้ง 

 

จากเซนต์หลุยส์ สู่ลอสแอนเจลิส 

"ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า แรมส์จะเล่นที่เซนต์หลุยส์ต่อไป" สแตน โครเอนเก้ แถลงทันทีหลังจากมีการเทคโอเวอร์ เพื่อสยบข่าวลือที่ว่ากลุ่มเจ้าของใหม่จะพาทีมย้ายเมือง

นักธุรกิจอย่างไรก็คือนักธุรกิจ พวกเขาสนใจเรื่องผลประโยชน์มากกว่าทุกสิ่งเสมอ และไม่มีใครจะเหมาะกับคำนี้ไปมากกว่า สแตน โครเอนเก้

โครเอนเก้คือหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังของการพาแฟรนไชส์แรมส์ย้ายมาอยู่ที่เมืองเซนต์หลุยส์ โดยในปี 1995 เขาซื้อหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์ของทีม เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าทีมแรมส์จะมีเงินหนุนหลังและเดินหน้าได้เต็มที่เมื่อย้ายมาที่เซนต์หลุยส์ ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ หลังจากทีมประสบความสำเร็จมากมายในช่วงแรก

แต่สถานการณ์ในปี 2010 ไม่ได้เหมือนในปี 1995 สแตน โครเอนเก้ รู้ดีว่าสถานะของทีมกำลังย่ำแย่ เพราะแรมส์กลับไปเจอปัญหาเดิมเหมือนช่วงท้ายก่อนออกจากแอลเอคือการที่แฟนบอลเลิกเข้าสนาม คนดูหันหลังให้กับทีม และถ้าหากอยู่เซนต์หลุยส์ต่อก็มีแต่จะพาให้ทีมเสียเงินไปเปล่า ๆ

ถึงจะออกมาพูดว่าไม่พาแรมส์ย้ายเมือง แต่โครเอนเก้วางแผนหาทางหนีทีไล่ไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหากสบโอกาสก็พร้อมจะพาทีมแกะเขาเหล็กไปเริ่มต้นใหม่กับเมืองใหม่ในทันที 

จนกระทั่งปี 2012 ทุกอย่างก็เข้าทางของโครเอนเก้ เมื่อทีมแรมส์ต้องเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับสนาม The Dome at America's Center (ชื่อในตอนนั้นคือ Edward Jones Dome) ที่จะหมดลงในปี 2015 ซึ่งทางเมืองเซนต์หลุยส์ต้องการให้ฝั่งทีมแรมส์ช่วยออกเงินปรับปรุงสนามใหม่ หลังจากมีการประเมินว่ารังเหย้าของทีมแห่งนี้มีคุณภาพสนามที่ตกต่ำลงและเริ่มจะไม่ได้มาตรฐานในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามแบบที่ NFL ตั้งเอาไว้

แน่นอนว่าทางแรมส์ไม่ยอมที่จะจ่ายเงินก้อนนี้ ขณะที่ทางเมืองก็ไม่อยากจะจ่ายเงินเพื่อปรับปรุงสนามด้วยตัวเองเช่นกัน จนกลายเป็นสงครามการเมืองระหว่างทั้งสองฝ่าย เพื่อจะต้องหาผู้แพ้มาจ่ายเงินในการปรับปรุงสนาม

ด้วยความสัมพันธ์ที่แย่ลงเรื่อย ๆ คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ สแตน โครเอนเก้ อยากพาทีมของเขาย้ายหนีออกจากเซนต์หลุยส์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีเมืองหนึ่งที่พร้อมอยู่แล้ว นั่นคือบ้านเก่าของทีม อย่าง ลอสแอนเจลิส

เพราะย้อนไปในปี 1995 ไม่ใช่แค่แรมส์ที่ย้ายออกจากแอลเอ แต่รวมถึงเรดเดอร์สที่ย้ายกลับไปอยู่ที่โอคแลนด์ด้วยเช่นกัน ทำให้ในพริบตาเดียวเมืองใหญ่อย่างลอสแอนเจลิส ไม่มีทีมอเมริกันฟุตบอลเหลืออยู่เลย

NFL พยายามอย่างมากที่จะพาสักแฟรนไชส์มาตั้งอยู่ที่แอลเอ เพราะนี่คือตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล และจะยกระดับเพดานธุรกิจของลีกได้เป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย เพราะทีมส่วนใหญ่ลงตัวอยู่แล้วกับเมืองปัจจุบันของตัวเอง

ดังนั้นด้วยความสัมพันธ์ที่ร้าวลึกของแรมส์กับเซนต์หลุยส์ ก็เปิดช่องว่างที่เหมาะเจาะกับการพาทีมแกะเขาเหล็กกลับไปที่ลอสแอนเจลิสอีกครั้ง เพราะงานนี้ทั้ง NFL ก็ได้ทีมกลับไปอยู่ที่แอลเอตามต้องการ ส่วนแรมส์ก็ได้ไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แถมเป็นบ้านเก่าของพวกเขาอีกด้วย

หลังจากที่ NFL ได้ทำการประเมินและตัดสินว่าสนาม The Dome ที่เซนต์หลุยส์ไม่เข้าข่ายการเป็นสนามอเมริกันฟุตบอลระดับท็อปของลีก ก็กลายเป็นการเปิดช่องที่ NFL อนุญาติให้แรมส์สามารถหาเมืองใหม่ให้กับทีมได้

สุดท้าย สแตน โครเอนเก้ จ่ายเงิน 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,800 ล้านบาท เป็นค่าย้ายเมืองจากเซนต์หลุยส์ไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งทางลีกและแฟรนไชส์สมาชิกของ NFL ก็อนุมัติแต่โดยดี 

มีความเชื่อกันว่า NFL ร่วมมือกับ สแตน โครเอนเก้ ในการทำทุกวิถีทางที่จะทำให้แรมส์ย้ายกลับไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิส ทั้งการเปิดช่องให้แรมส์ย้ายเมืองแบบง่าย ๆ ซึ่งผิดวิสัยของ NFL ที่มักจะหาวิธีทำให้การย้ายเมืองของแฟรนไชส์ใน NFL เกิดขึ้นได้ยากเสมอ

รวมทั้งในช่วงที่มีปัญหา ทางเมืองเซนต์หลุยส์พยายามยื่นเรื่องให้ NFL ออกกำหนดบังคับให้แรมส์ต้องจ่ายเงินค่าบำรุงสนามใหม่ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 22,600 ล้านบาท แต่ทาง NFL กลับมองว่านี่คือราคาที่แพงเกินไปและแรมส์ไม่จำเป็นต้องจ่าย 

สุดท้ายเซนต์หลุยส์ก็ต้องเสียทีมอเมริกันฟุตบอลของพวกเขาให้กับลอสแอนเจลิสอย่างเป็นทางการ ในปี 2016 และแม้ว่าปัญหาทั้งหมดจะเริ่มต้นมาจากเรื่องสนาม แต่สุดท้ายแล้วทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นข้ออ้าง เพราะตั้งแต่เริ่มต้น สแตน โครเอนเก้ ก็มีแผนจะพาทีมย้ายหนีจากรัฐมิสซูรีอยู่แล้ว และเมื่อการย้ายทีมเกิดขึ้นจริง พวกเขาก็ไม่กลัวที่จะบอกว่าเราย้ายทีมเพราะอยากได้เงินมากขึ้น 

"หากเทียบกับเมืองอื่นในสหรัฐฯ เซนต์หลุยส์คือตัวเลือกที่จะทำให้ทีมของคุณมีปัญหา เซนต์หลุยส์ไม่ใช่ตลาดสำหรับลีกกีฬาใหญ่ในอเมริกา"

"ในขณะที่เซนต์หลุยส์เป็นตลาดที่แสดงให้เห็นแนวโน้มว่ามีโอกาสที่จะทำให้ทีมกีฬาอยู่ไม่ได้ในระยะยาว แต่ลอสแอนเจลิสคือตลาดที่ใหญ่และแข็งแกร่ง มีโอกาสอีกมากมายรอเราอยู่ที่นี่" ข้อความบางส่วนในแถลงการณ์ของทีมแรมส์ หลังจากมีการประกาศย้ายเมือง

ถึงจะดูโหดร้ายกับเมืองเซนต์หลุยส์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างมาก เพราะเพียงแค่การย้ายกลับมาที่แอลเอ ก็ส่งผลให้มูลค่าของทีมลอสแอนเจลิส แรมส์ เพิ่มขึ้นแบบประเมินค่าไม่ได้ และก้าวไปเป็นทีมกีฬาที่มูลค่าเป็นอันดับ 12 ของโลกจากการจัดอันดับของ Forbes โดยทันที แซงหน้าทีมฟุตบอลชื่อดังอย่าง บาเยิร์น มิวนิค, อาร์เซน่อล, เชลซี แบบทันตาเห็น 

รวมถึงแซงทีมเบสบอลชื่อดัง อย่าง ลอสแอนเจลิส ดอดเจอร์ส และ บอสตัน เรดซ็อก ในขณะที่ทีมบาสเกตบอลชื่อดัง อย่าง โกลเดนสเตท วอร์ริเออร์ส, ชิคาโก บูลส์ และ บอสตัน เซลติกส์ ก็ไม่รอด โดนแอลเอ แรมส์ แซงเรื่องมูลค่านอกสนามขึ้นไปหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่มาอยู่ในลิสต์ของ Forbes เลยสมัยอยู่ที่เมืองเซนต์หลุยส์

นอกจากนี้ผลกระทบของการย้ายเมืองแบบในครั้งนี้ ยังทำให้ ดัลลัส คาวบอยส์ แซงหน้า สโมสรฟุตบอล เรอัล มาดริด ก้าวขึ้นมาเป็นทีมกีฬาที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเมื่อปี 2016 อีกด้วย และยังคงครองตำแหน่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน 

เพียงแค่การย้ายเมืองก็ทำให้ ลอสแอนเจลิส แรมส์ กลายเป็นแฟรนไชส์ผู้ชนะนอกสนามไปแล้ว ดังนั้นจึงมีอีกหนึ่งภารกิจที่ยังเหลือที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ นั่นคือการเป็นผู้ชนะในสนาม 

 

สู่แชมป์ซูเปอร์โบวล์

หากคุณคุ้นชินกับภาพของ สแตน โครเอนเก้ จอมขี้เหนียวในฐานะเจ้าของทีมอาร์เซน่อล ก็ลบภาพนั้นทิ้งออกไปได้เลย เพราะโครเอนเก้คือสุดยอดเจ้าของทีมกีฬากับทีมแอลเอ แรมส์ เขาทุ่มทุกอย่างให้กับแฟรนไชส์นี้ หลังจากได้กลับมาที่ลอสแอนเจลิสอีกครั้ง

ในฤดูกาลแรกที่แรมส์กลับมาเล่นที่แอลเอ ในปี 2016 แรมส์ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการยอมทุ่มสิทธิ์ดราฟต์รอบแรก 2 สิทธิ์ สิทธิ์ดราฟต์รอบสอง 2 สิทธิ์ และสิทธิ์ดราฟต์รอบ 3 อีก 2 สิทธิ์ เพื่อแลกเอาสิทธิ์ดราฟต์อันดับ 1 ในปีนั้นมาจากทาง เทนเนสซี ไททันส์ เพื่อเลือกตัว จาเร็ด กอฟฟ์ (Jared Goff) ควอเตอร์แบ็คหนุ่มท้องถิ่นชาวแคลิฟอร์เนีย แถมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มาเป็นอนาคตคนใหม่ของแฟรนไชส์

ก่อนจะตามมาด้วย ชอน แม็คเวย์ (Sean McVay) โค้ชหนุ่มวัยเพียง 30 ปี ณ เวลานั้น มาคุมทีมในฤดูกาล 2017 ซึ่งกลายเป็นโค้ชที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกอเมริกันฟุตบอลยุคใหม่ 

ความกล้าได้กล้าเสียนี้ ทำให้ ชอน แม็คเวย์ จับคู่กับ จาเร็ด กอฟฟ์ พาทีมก้าวไปสู่รอบเพลย์ออฟได้ในทันที และส่งให้แม็คเวย์กลายเป็นโค้ชยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2017 ส่วนกอฟฟ์ก็ได้ติด Pro-Bowl หรือทีมออลสตาร์ของ NFL เป็นครั้งแรก 

นอกจากนี้แรมส์ยังเสริมทีมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทุ่มเงินดึงผู้เล่นฟรีเอเยนต์เข้าสู่ทีม ไม่ว่าจะเป็น เอ็นดามูคอง ซูห์ (Ndamukong Suh) และ แอนดรูว์ วิตเวิร์ธ (Andrew Whitworth) รวมถึงยอมเทรดเอาผู้เล่นตัวดังอย่าง แบรนดอน คุ้ก (Brandin Cooks) และ มาร์คัส ปีเตอร์ (Marcus Peters) เข้ามาสู่ทีม

เท่านั้นยังไม่พอแรมส์ยังประเคนค่าเหนื่อยมหาศาลให้กับสตาร์ดังของทีม ทั้งการให้สัญญา 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับรันนิ่งแบ็คคนเก่ง อย่าง ท็อดด์ เกอร์เลย์ (Todd Gurley) ซึ่งถือเป็นสัญญาที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำแหน่งนี้

รวมถึงการให้สัญญา 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับดีเฟนซีฟเอนด์ อย่าง แอรอน โดนัลด์ ซึ่งกลายเป็นสัญญาผู้เล่นเกมรับที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ NFL ด้วยเช่นกัน

ทั้งหมดที่ ลอสแอนเจลิส แรมส์ ทุ่มหมดหน้าตักนี้ก็เพื่อสิ่งเดียวคือการคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ ซึ่งพวกเขาก็สามารถเข้าชิงชนะเลิศได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ฤดูกาล 2018 เท่านั้น หรือ 3 ปีหลังจากย้ายกลับมาที่แอลเอ

น่าเสียดายที่ในซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 53 แรมส์ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว เพราะแพ้ต่อ นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ 3-13 แต่แทนที่แรมส์จะท้อ มันกลับทำให้พวกเขาบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม

แรมส์ไม่กลัวที่จะปล่อยผู้เล่นหลายคนที่ไม่ตอบโจทย์ออกจากทีม ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีหลังจากความพ่ายแพ้ พวกเขาโละอดีตสตาร์ดังที่ทีมคิดว่าดีไม่พอออกจนหมดเกลี้ยง ทั้ง จาเร็ด กอฟฟ์, แบรนดอน คุก, มาร์คัส ปีเตอร์, เอ็นดามูคอง ซูห์ รวมถึง ท็อดด์ เกอร์เลย์

ขณะเดียวกันแรมส์ก็สร้างทีมใหม่ขึ้นมาที่พวกเขาเชื่อว่าแกร่งกว่าเดิม เริ่มต้นจากการยอมเสียสิทธิ์ดราฟต์รอบแรก 2 ปี ให้กับ แจ็คสันวิลล์ จากัวร์ส เพื่อคว้าตัว เจเลน แรมซีย์ (Jalen Ramsey) สุดยอดตัวคุมปีกหรือคอร์เนอร์แบ็คแห่งยุคสมัยมาร่วมทีม 

รวมถึงจ่ายสิทธิ์ดราฟต์รอบแรก รอบสอง และรอบสาม ให้กับ ดีทรอยต์ ไลออนส์ เพื่อเอาตัว แมทธิว สแตฟฟอร์ด (Matthew Stafford) มาเป็นควอเตอร์แบ็คคนใหม่ของทีม 

นอกจากนี้ยังได้เทรดเอาตัว วอน มิลเลอร์ (Von Miller) ผู้เล่นตัวรับประสบการณ์สูง มาจาก เดนเวอร์ บรองโกส์ แม้จะเสียสิทธิ์ดราฟต์รอบสองกับรอบสามไปด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเซ็นสัญญา โอเดลล์ เบ็คแฮม จูเนียร์ (Odell Beckham Jr.) ปีกชื่อดังที่ถูก คลีฟแลนด์ บราวน์ส ปล่อยทิ้งมาร่วมทีมอีกด้วย

การยอมทุ่มเสียสิทธิ์ดราฟต์ไปเยอะมากของแรมส์ ทำให้ทีมถูกมองว่ายอมเอาอนาคตไปขายเพื่อที่จะประสบความสำเร็จระยะสั้น แต่แรมส์ก็ยอมทำ เพราะพวกเขาต้องการจะประสบความสำเร็จให้ได้ โดยเฉพาะในฤดูกาล 2021 ที่เกมซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 56 จะมาจัดในรังเหย้าของพวกเขา So-Fi Stadium

นอกจากนี้ในช่วงการระบาดของ COVID-19 สแตน โครเอนเก้ ยังยอมทุ่มเงินสร้างสนามซ้อมชั่วคราวกลางแจ้งขึ้นมาให้กับทีมแรมส์ เพื่อให้ผู้เล่นและทีมงานโค้ชทำงานกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งหมดก็เพื่อนำแชมป์ซูเปอร์โบวล์กลับมาที่ลอสแอนเจลิสให้ได้

ท้ายที่สุดความฝันของพวกเขาก็เป็นจริง เพราะในฤดูกาล 2021 ลอสแอนเจลิส แรมส์ สามารถเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ในรังเหย้าของตัวเอง และคว้าแชมป์มาครองได้หลังจากเอาชนะ ซินซิเนติ เบงกอลส์ ด้วยสกอร์ 23-20 คว้าแชมป์ให้กับแฟรนไชส์ได้เป็นสมัยที่ 2 และเป็นครั้งแรกที่คว้าแชมป์ในฐานะ ลอสแอนเจลิส แรมส์

สุดท้ายแล้วการคว้าแชมป์ครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้นหากแรมส์ไม่ได้กลับมาที่ลอสแอนเจลิส ในทางกลับกันมันคือการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการอเมริกันฟุตบอล กับการได้ทีมที่น่าดึงดูดน่าตื่นตาตื่นใจกลับมาที่ลอสแอนเจลิสอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ NFL กลายเป็นลีกกีฬาที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกไปอีกนาน

 

แหล่งอ้างอิง

http://www.stltoday.com/sports/columns/from-the-archives-kroenke-s-pledge-to-keep-the-rams/article_3b49e97d-2799-50aa-8b7b-5a82bf5d5a4b.html
https://www.youtube.com/watch?v=VdP1T9-LSiI
https://www.si.com/nfl/2019/01/20/when-did-rams-move-los-angeles-franchise-history-locations
https://www.usatoday.com/story/sports/nfl/2016/01/06/st-louis-rams-la-relocation-bid-nfl/78344012/

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

-------------------------------------------------

ดูสด ดูฟรี ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ... พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม
ต้อง App TrueID เท่านั้น โหลดเลย!!

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ << คลิกที่นี่

อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
คลิกเลย!! หรือ กด *301*32# โทรออก

หรือ อัพเดทข่าวบอลไทยลีก กด *301*36# โทรออก

ยอดนิยมในตอนนี้