รีเซต
เราหมดศรัทธา : ทำไมเนย์มาร์จึงโดนคนบราซิลชิงชังแม้เคยรักสุดหัวใจ ? | Main Stand

เราหมดศรัทธา : ทำไมเนย์มาร์จึงโดนคนบราซิลชิงชังแม้เคยรักสุดหัวใจ ? | Main Stand

เราหมดศรัทธา : ทำไมเนย์มาร์จึงโดนคนบราซิลชิงชังแม้เคยรักสุดหัวใจ ? | Main Stand
เมนสแตนด์
10 กรกฎาคม 2565 ( 01:00 )
2.5K

เป็นเรื่องปกติที่นักเตะที่ดีที่สุดในประเทศย่อมเป็นที่รักจากแฟนบอลของพวกเขา ซึ่งของแบบนี้ เนย์มาร์ จูเนียร์ ก็เคยได้รับสิ่งนั้นจากชาวบราซิลทั้งประเทศ 

 


ทว่าหลังจากฟุตบอลโลก 2014 จบลง เนย์มาร์ ที่เป็นดั่งพระเจ้าของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป จากคนที่แม้แต่สื่อก็แตะต้องไม่ได้กลายเป็นคนที่โดนวิจารณ์ไม่เว้นแต่ละวัน 

นี่คือเรื่องราวของ เนย์มาร์ และอดีตแฟนคลับที่เริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา ซึ่งมันกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้

ติดตามได้ที่ Main Stand 

 

รักนักเตะเหมือนพระเจ้า 

คนบราซิลบ้าฟุตบอลแค่ไหนทุกคนรู้ นี่คือประเทศที่มีฟุตบอลเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ชาติ เรียกได้ว่าฟุตบอลเคยเป็นกาวที่ยึดเหนี่ยวผู้คนประเทศนี้เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีคำกล่าวว่า "ที่บราซิลฟุตบอลคือศาสนาที่สอง" 

ฟุตบอลเคยยึดเหนี่ยวผู้คนในประเทศนี้ไว้ได้จริง ๆ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่เริ่มมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลในเมืองใหญ่ เช่น ริโอเดอจาเนโร หรือ เซาเปาโล การมีสโมสรฟุตบอลที่มากขึ้นทำให้เกิดการปะทะกันของแฟนบอลสองฝั่ง เนื่องจากมีการแบ่งชนชั้นด้วยฟุตบอล เช่น ฟลาเมงโก้ ทีมจาก ริโอ เป็นตัวแทนของคนจนและเหล่าคนใช้แรงงาน (อันที่จริงสโมสรนี้ก่อตั้งโดยกลุ่มชนชั้นสูง แต่มีการปรับภาพลักษณ์ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกในยุค 1930s ให้เข้าถึงชนชั้นแรงงานมากขึ้น ด้วยการนำนักเตะผิวดำเข้าสู่ทีม) ขณะที่ ฟลูมิเนนเซ่ คือตัวแทนของกลุ่มนายทุนและชนชั้นกลางค่อนบน เป็นต้น 


Photo : fifa.com

ขิงก็ราข่าก็แรง ปะทะกันไปมา แต่สุดท้ายเหตุการณ์มาหยุดเอาง่าย ๆ และทำให้ทั้งสองฝั่งกลายเป็นทีมเดียวกันได้ก็เพราะฟุตบอลเช่นกัน เหตุการณ์เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 1950 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพครั้งแรก โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นมีการสงบศึก และถอดหัวโขน เปลี่ยนจากเสื้อสโมสรมาเป็นชุดสีเหลืองของทีมชาติบราซิล ทุกคนมีเป้าหมายเดียว นั่นคือร่วมกันเชียร์ประเทศของพวกเขาให้เป็นแชมป์ ภาพสะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวคือเกมนัดตัดสินแชมป์กับ อุรุกวัย ที่สนามมาราคาน่า ในวันนั้นมีแฟนบอลเข้าไปชมในสนามมากกว่า 170,000 คนเลยทีเดียว 

และหลังจากฟุตบอลโลกครั้งนั้นไม่นานชาวบราซิลก็ได้พบกับ 1 ในนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาอย่าง เปเล่ ซึ่ง เปเล่ เองนี่แหละที่ยกระดับคำว่านักฟุตบอลไปอีกขั้น เปเล่ เหมือนกับพระเจ้าผู้บันดาลแชมป์โลกให้บราซิล ความมหัศจรรย์ของเขาทำให้บราซิลเป็นชาติฟุตบอลอันดับ 1 ของโลกเป็นสิบ ๆ ปี นักเตะปรากฏการณ์อย่างเปเล่ทำให้ชาวบราซิลเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้เขาจะเล่นให้ซานโตส แต่ความเก่งของเปเล่ ณ เวลานั้นก็เหมือนตัวแทนความเก่งกาจของฟุตบอลบราซิล โดยสื่ออย่าง FourFourTwo เคยอ้างว่าซานโตสยุคเปเล่เก่งขนาดพิชิตทุกแชมป์ในทวีปอเมริกาใต้ จนถึงขั้นมีการส่งสาส์นท้ารบไปยังทีมที่เก่งที่สุดในทวีปยุโรป ณ เวลานั้นอย่าง เรอัล มาดริด มาแล้ว ... เพียงแต่ว่ามาดริดที่ถือไพ่เหนือกว่าทั้งเรื่องชื่อเสียง ดีกรี และการตลาดกลับไม่รับคำท้านั้น 

เรื่องดังกล่าวจะจริงหรือไม่ไม่ใช่ประเด็น เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าคนบราซิลรักพระเจ้าในโลกฟุตบอลพวกเขาแค่ไหน จาก เปเล่ ถึง ซิโก้, โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ รายชื่อเหล่านี้ล้วนได้รับการลุกขึ้นยืนสรรเสริญโดยแฟนบราซิลทั้งสิ้น จนกระทั่งมาถึงพระเจ้าคนล่าสุดของพวกเขาอย่าง "เนย์มาร์ จูเนียร์"

ในช่วงแรก ๆ คนบราซิลนั้นรักเนย์มาร์แบบสุดหัวใจเช่นกัน นักเตะจากซานโตสอดีตทีมของ เปเล่ มีลีลาการเล่นที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความสร้างสรรค์แบบบราซิเลียนแท้ ๆ เหมือนกับโรนัลดินโญ่ และเป็นกองหน้าที่ยิงระเบิดเถิดเทิงเหมือนกับ โรนัลโด้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทุกคนจะไม่ฝากความหวังไว้ที่เขา

เนย์มาร์ ลงเล่นให้ทีมชาตินัดแรกในเกมกับ สหรัฐอเมริกา หลังจบฟุตบอลโลก 2010 และยิงประตูได้ในทันที เช่นเดียวกับอีกไม่กี่นัดถัดมาที่เจ้าตัวซัด 2 ประตูในการพบ สกอตแลนด์ ที่ เอมิเรตส์ สเตเดียม กรุงลอนดอน แต่สิ่งที่เนย์มาร์แสดงออกในเกมนั้นมันเหนือกว่าการยิงได้ มันคือการยกมือขึ้นกระตุ้นขอเสียงเชียร์จากแฟน ๆ การชี้นิ้วสั่งและขอบอลจากรุ่นพี่ และทุกครั้งที่เขาได้บอลมันอันตรายทุกจังหวะและไม่มีทำเสียของ ... ทุกคนที่ดูเกมนั้นเข้าใจได้ทันทีว่า เนย์มาร์ จะก้าวเข้ามาเป็นพระเจ้าคนใหม่ของพวกเขา นักเตะที่ดีที่สุดในประเทศบราซิลแห่งยุค 2010s ได้ถือกำเนิดและพร้อมท้าชิงตำแน่งนักเตะที่ดีที่สุดในโลกในช่วงเวลาที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ กำลังขับเคี่ยวกันแบบเกมต่อเกม 

"ในเกมนั้นแฟนบอลสกอตแลนด์ทำเหมือนกับนักเตะวัย 18 ปีอย่าง เนย์มาร์ เป็นซูเปอร์สตาร์ของโลก พวกเขาโห่ทุกจังหวะที่เนย์มาร์เล่นงานนักเตะของพวกเขา ยิ่งมากเข้าเนย์มาร์ถึงกับโดนเหยียดเชื้อชาติจากแฟนบอลตาร์ตัน จนสมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์ต้องส่งจดหมายมาขอโทษเนย์มาร์กับสิ่งที่เกิดขึ้น" แอนดี้ แคมป์เบลล์ จาก BBC ที่อยู่ในสนามวันนั้น กล่าว 

ขณะที่ Eurosport ก็บรรยายหลังเกมถึงเนย์มาร์ว่า "กองหน้าจากซานโตสคนนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมเขาจึงเกี่ยวพันกับสโมสรชั้นนำของยุโรป เกมนี้เขาพาลูกทีมของ เคร็ก เลวีน (โค้ชสกอตแลนด์) วิ่งชนกันหัวหมุนตลอดทั้งเกม"

ตัดภาพไปข้างหน้าในอีก 4 ปีให้หลัง เนย์มาร์ ไม่เคยมาตรฐานตก ไม่ได้ผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนกับดาวรุ่งบราซิลอย่าง โรบินโญ่ และคนอื่น ๆ เขาย้ายไป บาร์เซโลน่า ในปี 2013 และไม่มีอาการแกว่งแม้จะเจอกับเกมระดับสูง เหนือสิ่งอื่นใดคือเขากลายเป็นตัวความหวังและขึ้นชั้นเป็นหนึ่งในซีเนียร์ของทีมชาติบราซิล ก่อนที่ฟุตบอลโลก 2014 จะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ 

 

ใคร ๆ ก็รักเนย์มาร์

ฟุตบอลโลก 2014 คือฟุตบอลโลกที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ไม่แปลกที่ทุกคนจะตั้งความหวัง และคนที่ต้องแบกความหวังนั้นมากที่สุดก็ไม่ใช่ใคร นักเตะเบอร์ 1 ในประเทศอย่างเนย์มาร์นั่นเอง 

แฟนบอล เพื่อนนักเตะ ต่างออกมาชื่นชมความยอดเยี่ยมของเขาและยกย่องความสามารถที่เขามี ขณะที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือของทีมชุดนั้นก็ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า "เนย์มาร์จะเป็นความหวังสูงสุดของพวกเรา" นั่นหมายความว่าเนย์มาร์กำลังแบกความกดดันของคนทั้งประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้ง ๆ ที่เขาอายุแค่ 23 ปีเท่านั้น 

ก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม เปเล่ ที่เคยผ่านสถานการณ์ดังกล่าวพูดถึงเนย์มาร์ว่า แม้เจ้าตัวจะโตเกินอายุ แต่ความคาดหวังระดับทั้งประเทศแบบนี้มันหนักหนาว่าที่ใคร ๆ คิด และการให้เขามีสถานะเป็น "คนแบกทีม" คือสิ่งที่อันตรายสำหรับทีมชาติบราซิล 

เนย์มาร์ เริ่มฟุตบอลโลก 2014 ได้อย่างเร่าร้อน ยิง 4 ประตูจาก 3 เกมแรก พาบราซิลทะลุเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในเกมนั้น บราซิล เจอกับ โคลอมเบีย และเอาชนะไปได้ 2-1 แต่ข่าวร้ายคือเนย์มาร์มีอาการบาดเจ็บที่หลังจากการที่ ฮวน ซูนิก้า แทคเกิลหนักใส่ที่บริเวณกระดูกสันหลัง จนเขาต้องรูดม่านทัวร์นาเมนต์ 

เท้าความกันสักเล็กน้อย เนย์มาร์ ในปี 2014 นั้นคือเนย์มาร์ที่ปราดเปรียว เฉียบขาด สร้างสรรค์ และยังเป็นคนที่เล่นเพื่อผลประโยชน์ของทีมมากกว่าเนย์มาร์ในปัจจุบัน เขาเป็นที่รักของชาวบราซิล เป็นนักเตะที่สโคลารี่พยายามจะใช้อย่างทะนุถนอมที่สุดตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ ขณะที่เพื่อน ๆ ในทีมชาติบราซิลชุดนั้นเรียกว่าสู้ตายถวายหัวเพื่อปกป้องเนย์มาร์ก็คงไม่ผิดหนัก พวกเขาจะเป็นคนคอยทำงานสกปรกทั้งหมด ปล่อยให้เนย์มาร์ทำในสิ่งที่เขาถนัดที่สุด นั่นคือการสร้างเกมรุกและยิงประตู  

แต่อย่างที่หลายคนรู้กัน ในเกมรอบตัดเชือก เนย์มาร์ลงไม่ได้ และ บราซิล แพ้ เยอรมนี ไป 1-7 ความพ่ายแพ้ยับเยินนำมาซึ่งข้ออ้างที่บอกว่า "เพราะบราซิลไม่มีเนย์มาร์" และหลังจากจบทัวร์นาเมนต์นั้น แม้บราซิลจะไม่ได้แชมป์โลก แต่เนย์มาร์ก็เปลี่ยนสถานะของตัวเองไปเรียบร้อย เขาคือนักเตะที่มีสื่อในประเทศและแฟนบอลหนุนหลังเปรียบเหมือนสมบัติของชาติ ซึ่งจะใช้คำว่า "โดนสปอยล์" ก็คงจะไม่ผิดเท่าไรนัก  

 

ยิ่งสูงยิ่งหนาว

เมื่อกลายเป็นเทพเจ้าของชาวบราซิล เนย์มาร์มีคอนเน็กชั่นมากมายเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือสื่อที่ชื่อว่า Globo สำนักข่าวใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีผู้ติดตามมากกว่า 100 ล้านคน โดยมีการเปิดเผยกันว่าเนย์มาร์มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับทาง Globo ด้วย ดังนั้นหากเนย์มาร์จะออกรายการสัมภาษณ์ในประเทศ ต้องเป็นสื่อ Globo เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการสัมภาษณ์นั้น 

หลังจบเกมแพ้เยอรมนี 1-7 ไม่กี่วัน Globo ก็ขอคิวตั้งโต๊ะสัมภาษณ์เนย์มาร์ โดยมีการจัดแจงวันเวลาเรียบร้อย และด้วยความที่เป็นสตาร์ บางครั้งมันก็ต้องมีคำขอพิเศษ ... คำขอนั้นมาจาก เนย์มาร์ ซีเนียร์ พ่อของนักเตะคนดัง ที่ทำหน้าที่เหมือนเอเยนต์ส่วนตัวด้วย โดยเขาส่งอีเมลเน้นย้ำว่า "ห้ามถามเกี่ยวกับเรื่องเกมแพ้เยอรมนีที่ลูกของเขาไม่ได้ลงเล่น" 

อย่างไรก็ตามทาง Globo ไม่ได้ตอบอีเมลนั้นกลับ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างทั้งสองฝ่าย และ Globo เองก็มีสัญญาว่าจ้างเนย์มาร์อยู่ด้วย และเมื่อถึงวันสัมภาษณ์จริง พวกเขาก็ถามเนย์มาร์เรื่องเกม ๆ นั้น (เรื่องราวดังกล่าวถ่ายทอดผ่าน FourFourTwo) ซึ่งทำให้เนย์มาร์รู้สึกว่าตัวเองถูกหักหลัง ขณะที่พ่อของเขาก็เล่นใหญ่ประณาม Globo ว่าพยายามทำลายลูกชายของเขา ... สิ่งที่ชาวบราซิลเริ่มเอะใจในตอนนั้นคือทั้ง ๆ ที่ทุกคนสนับสนุนเขา แต่การพูดถึงสิ่งที่คนอยากฟังมากที่สุดทำไมจึงพูดไม่ได้ ? 

เนย์มาร์ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องนั้น เขาลอยตัวเหนือดราม่า ขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดกระแส "เนย์มาร์ไม่เหมือนเดิม" ในหมู่แฟนบอลบราซิลบางกลุ่ม ซึ่งเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้นี่แหละที่ลุกลามขึ้นในเวลาต่อมา และคนที่เติมเชื้อไฟนั้นก็คือเนย์มาร์เอง

หลังฟุตบอลโลก 2014 เนย์มาร์เข้าขั้นคำว่าเทพเลยก็ว่าได้ ด้วยการเล่นร่วมกับ เมสซี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่บาร์เซโลน่า สโมสรกวาดทุกถ้วยที่ลงแข่งขัน และว่ากันว่าตอนนั้น เนย์มาร์ จะเป็นเบอร์ 1 ของโลก ในวันที่เมสซี่และโรนัลโด้ชราลง 

ความเทพแบบที่ยอมรับกันทั้งโลก ทำให้เนย์มาร์เริ่มเปลี่ยนไป สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ เมื่ออยู่ในสนาม เขาเริ่มเห็นตัวเองมาก่อนทีมแล้ว ซึ่งทัศนคติแบบนี้ในปี 2014 มีให้เห็นน้อยกว่านี้มาก 

"เนย์มาร์ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยเวลาเล่นให้ทีมชาติ ในทัวร์นาเมนต์โอลิมปิก 2016 เขาคือนักเตะที่ดังที่สุดและเขารู้ดีว่าทั้งโลกจับตามอง เขาแสดงกิริยาออกมามากมาย โดยเฉพาะการแสดงความโกรธใส่ทั้งกรรมการและเพื่อนร่วมทีม" ทอสเทา อดีตนักเตะดีกรีแชมป์โลกทีมชาติบราซิล ปี 1970 เล่าถึงเนย์มาร์ที่เปลี่ยนไป 

ขณะที่ Juca Kfouri นักเขียนระดับ บก. ของสื่อท้องถิ่นในซานโตส ที่เห็นเนย์มาร์มาตั้งแต่ยังเด็กก็พูดไม่ต่างกัน โดยเขาบอกว่าเนย์มาร์ยังต้องตามหาฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองกลับคืนมา และเรื่องนอกสนามก็เปลี่ยนเขาไปไม่น้อย

"เนย์มาร์เป็นคนที่มีความสามารถที่สุดในโลก ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นเหมือนนกน้อยในกรงทอง มีทุกคนคอยหนุนหลัง มีเพื่อนร่วมทีมคอยปกป้องเขาอย่างกล้าหาญ และเขาก็พึ่งพาเพื่อนร่วมทีมมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากำลังมีชีวิตที่หรูหราสุขสบายกับ เนย์มาร์ ซีเนียร์ พ่อของเขา เขายังคงเป็นปีเตอร์แพน ซินโดรม (เด็กไม่ยอมโต)" 

หากมองไปที่เนย์มาร์ตอนนี้ หลายคนก็พอจะนึกภาพออก โดยเฉพาะในช่วงหลังย้ายออกจากบาร์เซโลน่าและได้รับการประคบประหงมจาก เปแอสเช ที่เขาได้สิทธิพิเศษมากมาย นั่นยิ่งทำให้ภาพของเนย์มาร์ที่มีต่อชาวบราซิลยิ่งเปลี่ยนไป เขายังไปไม่ถึงขั้นของ เปเล่, โรนัลโด้ หรือ โรนัลดินโญ่ ที่เป็นตำนานขวัญใจมหาชนได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

แม้จะยิ่งโดนวิจารณ์ แต่เนย์มาร์ก็ยิ่งชอบประชดประชัน เพื่อเอาชนะเสียงวิจารณ์พวกนั้น นับวันเขายิ่งออกอาการเล่นยาก บางจังหวะหลอกคู่แข่งได้แล้ว ยังต้องวนกลับมาหลอกใหม่อีกครั้ง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะที่ไม่จำเป็นและช้าเกินไปสำหรับฟุตบอลสมัยใหม่ แต่สำหรับทีมชาติบราซิลเขายังคงเป็นนัมเบอร์วัน แม้จะเปลี่ยนโค้ชกี่คน แต่เนย์มาร์ก็ได้รับการหนุนหลังอย่างไร้ข้อสงสัยเสมอมา โดยเฉพาะในช่วงฟุตบอลโลก 2018 ที่เขาโดนวิจารณ์เรื่องการพยายามพุ่งล้ม เขาก็ยิ่งทำมันให้กลายเป็นไวรัล ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ 

"ติเต้ต้องหนักแน่นและตรงไปตรงมากับเนย์มาร์มากกว่านี้ สิ่งที่เฮดโค้ชทำคือการบอกเขา เรียกร้องให้เขาหยุดเล่นด้วยความโมโห หยุดการบ่นเพื่อนร่วมทีม การโต้เถียงผู้ตัดสิน และการพุ่งล้ม เหมือนกับที่เขาทำในเกมกับคอสตาริกา" ทอสเทา พูดถึงเนย์มาร์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018 

"เรื่องทั้งหมดมันวุ่นวายไปหมด พฤติกรรมนอกสนามแบบวิถีคนดังของเขากำลังสร้างปัญหาให้กับตัวเขาเอง จริง ๆ ไม่มีใครว่าใครได้หรอกนะเรื่องไลฟ์สไตล์ หากเขายังคงเป็นเนย์มาร์คนเดิมได้ยามลงสนาม เขาควรโฟกัสเกมของเขาเป็นอันดับแรก เพราะเขาคือนักเตะอาชีพ และนั่นสำคัญที่สุด" 

ฟุตบอลโลก 2018 คือปรากฏการณ์ที่ชาวบราซิลมองเนย์มาร์ใหม่อย่างแท้จริง การพยายามเป็นสตาร์และใหญ่คับทีมของเขาสร้างความไม่พอใจให้กับหลาย ๆ คน เขาไม่สนใจแทคติกของติเต้ และทำให้ทีมเสียจังหวะการเล่น และมักจะมีอารมณ์ต่อว่าเพื่อนร่วมทีมที่ส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้องของเขาอยู่ประจำ 

ขณะที่กูรูฟุตบอลชาวบราซิลก็เบื่อหน่ายเนย์มาร์เต็มทน ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายกับ เซอร์เบีย นักวิจารณ์ของช่อง Globo ที่ชื่อว่า "บวยโน่" (Bueno) แสดงอารมณ์อย่างชัดเจน เขาไม่เอ่ยชื่อเนย์มาร์เลยตลอดการวิจารณ์และบอกว่า ฟิลิเป้ คูตินโญ่ ต่างหากคือนักเตะที่ดีที่สุดในทีมชุดนั้น 

เนย์มาร์สวนกลับทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา เมื่อทุกคนขว้างก้อนหินมาเขาก็ขว้างก้อนหินกลับ ยิ่งเจอคำวิจารณ์เขาก็ยิงทำตัวต่อต้าน หลังเกมกับคอสตาริกามีสื่อกว่า 400 ชีวิตมารอสัมภาษณ์เขา เนย์มาร์ก็เดินผ่านทุกคนแล้วพูดสั้น ๆ ว่า "ไว้ก่อน ไม่ใช่วันนี้" 

เรื่องหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทุกคนได้ติดตามข่าวสารกันทุกวันนี้ เนย์มาร์เก่งแค่ไหนทุกคนรู้ แต่เขาไม่สามารถพาตัวเองไปอยู่ในระดับ โรนัลโด้ และ เมสซี่ ได้เลย แม้กระทั่งในทีมชาติบราซิล นับวันเขาก็ยิ่งห่างไกลจากการแบกทีมเหมือนกับที่ เปเล่, โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ เป็น 

การปฏิบัติตัวนอกสนามที่ใช้ชีวิตเยี่ยงสตาร์ฮอลลีวูด สนใจเรื่องฟุตบอลน้อยลง และเริ่มปฏิบัติต่อแฟนบอลแบบไม่ให้เกียรติ คือสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวบราซิลเริ่มหมดศรัทธาในหมายเลข 10 คนปัจจุบันของพวกเขา ... ชาวบราซิลไม่ได้โดนหลอกและไม่ได้ใจโลเลกลับกลอกแต่อย่างใด เรื่องราวของเนย์มาร์นั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือพวกเขาเป็นประเทศที่บ้าฟุตบอลจริง และนักฟุตบอลที่เก่งกาจสร้างความสำเร็จให้กับทีมชาติ ไม่ว่าจะคุณจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน พวกเขาก็ไม่สนใจ ทั้ง โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ เอง ก็เป็นขาปาร์ตี้สำมะเลเทเมาไม่แพ้กัน แต่เมื่อถึงเวลาต้องเอา พวกเขาก็ใส่เต็มสูบในสนาม ชนิดที่ว่าไม่มีใครจับได้ ... ซึ่งเนย์มาร์ไม่เคยทำได้ใกล้เคียงเลยนับตั้งแต่ปี 2014 ในมุมมองของชาวบราซิล พวกเขาร้างราแชมป์โลกมา 20 ปีแล้ว บราซิลแทบไม่เคยต้องรอแชมป์โลกนานขนาดนี้มาก่อน (นานสุดคือ 24 ปี จากปี 1970 ถึง 1994) พวกเขามีสตาร์ผลัดกันขึ้นมาพาทีมคว้าแชมป์โลกได้ถึง 5 สมัย ... และนี่คือสิ่งที่บราซิลยุคเนย์มาร์ยังทำไม่ได้ 

หากฟุตบอลโลก 2022 ยังคงจบลงด้วยทัศนคติและผลงานแบบเดิม ๆ ยุคสมัยของ เนย์มาร์ ตำแหน่งเบอร์ 1 ทีมชาติบราซิลอาจจะต้องเปลี่ยนมือ และต้องหาคนมารับแรงกดดันคนใหม่ แทนที่อดีตพระเจ้าอย่างเนย์มาร์แล้วก็เป็นได้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://theathletic.com/2518636/2021/04/14/seriously-what-is-it-that-makes-you-hate-neymar/
http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/scotland/9431234.stm
https://www.fourfourtwo.com/features/brazil-versus-neymar-how-a-superstar-lost-love-his-country
https://www.espn.com/soccer/club/brazil/205/blog/post/3545710/neymar-is-such-a-divisive-figure-in-brazil-why-and-can-he-change-it
https://www.travel-brazil-selection.com/informations/brazilian-culture/sports/football/
https://www.worldsoccer.com/features/flamengo-symbolise-change-in-brazilian-football-409039
https://www.bbc.com/sport/football/27785808
https://bleacherreport.com/articles/2079942-why-neymar-is-under-most-pressure-for-brazil-at-the-2014-world-cup

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

-------------------------------------------------

ดูสด ดูฟรี ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ... พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม
ต้อง App TrueID เท่านั้น โหลดเลย!!

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ << คลิกที่นี่

อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
คลิกเลย!! หรือ กด *301*32# โทรออก

หรือ อัพเดทข่าวบอลไทยลีก กด *301*36# โทรออก

ยอดนิยมในตอนนี้

สิทธิประโยชน์แนะนำ

541