รีเซต
เปิดประวัติ.! สโมสร อาร์เซน่อล ตำนานทีมไร้พ่ายจากเกาะอังกฤษ

เปิดประวัติ.! สโมสร อาร์เซน่อล ตำนานทีมไร้พ่ายจากเกาะอังกฤษ

เปิดประวัติ.! สโมสร อาร์เซน่อล ตำนานทีมไร้พ่ายจากเกาะอังกฤษ
TenAkapol
18 มกราคม 2566 ( 16:30 )
6.5K

มาทำความรู้จักประวัติของ สโมสร อาร์เซน่อล สโมสรฟุตบอลที่สร้างตำนานไร้พ่ายในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ได้ยาวนานที่สุดจนถึงปัจจุบัน 

ประวัติสโมสรฟุตบอลอาร์เซน่อล

  • ชื่อเต็ม : Arsenal Football Club
  • ฉายา : เดอะ กันเนอร์ส / ปืนใหญ่ (ในไทย)
  • ก่อตั้ง : ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์
  • สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม (ความจุ: 60,704 ที่นั่ง)
  • เจ้าของ : โครเอนเก้ สปอร์ต แอนด์ เอนเตอร์เทนเมนต์
  • ประธาน : เซอร์ ชิปส์ เคสวิก
  • ผู้จัดการทีม : มิเกล อาร์เตต้า

สโมสรฟุตบอลอาร์เซน่อล (อังกฤษ: Arsenal Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ตั้งอยู่ในเขตอิสลิงทันในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับสามของอังกฤษ

โดยชนะเลิศลีกสูงสุด 13 สมัย, เอฟเอคัพ 14 สมัย (สถิติสูงสุด), ลีกคัพ 2 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 16 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ 1 สมัย อาร์เซนอลยังเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษติดต่อกันยาวนานที่สุด (ปี1920-ปัจจุบัน)

อาร์เซน่อลก่อตั้งขึ้นในปี 1886 โดยคนงานในเขตวูลิช ในชื่อ สโมสรฟุตบอลไดอัล สแควร์ และในปี 1893 พวกเขาเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนใต้ที่ได้ร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีก ก่อนย้ายมายังลอนดอนเหนือในปี 1913  พร้อมทั้งย้ายสนามมายังอาร์เซน่อล สเตเดี้ยม ในย่านไฮบิวรี่ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น อาร์เซน่อล ในฤดูกาล 1914-15

ปี 1925 อาร์เซน่อลได้แต่งตั้งให้ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีมหลังจากเขาเคยพาฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัย ในฤดูกาล 1923-24 และ 1924-25 ซึ่งแชปแมนถือเป็นคนแรกที่พาอาร์เซน่อลก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคแรก เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและนำแทคติคใหม่มาใช้ และยังเป็นผู้ริเริ่มการปรับปรุงระบบไฟในสนามไฮบิวรี่ ทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นมหาอำนาจในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930

โดยคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรก เริ่มจากแชมป์เอฟเอคัพ สมัยแรก ในฤดูกาล 1929-30 และคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้ 2 สมัยในฤดูกาล 1930-31 และ 1932-33 นอกจากนี้ แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานี "อาร์เซนอล" ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล

แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมในช่วงต้นปี 1934 โดยเป็น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน เข้ามารับตำแหน่งต่อและพาทีมประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีก 3 สมัย และเอฟเอ คัพ 1 สมัย อย่างไรก็ตาม อาร์เซน่อลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลงส่งผลให้สโมสรกลับไปประสบปัญหาการเงินอีกครั้ง

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ เข้ามาคุมทีมแทน อัลลิสันได้ พร้อมกับพาอาร์เซน่อลกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งโดยได้แชมป์ดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย ในฤดูกาล 1947 และ 1948 และแชมป์เอฟเอ คัพอีก 1 สมัย ในฤดูกาล 1949-50

แต่หลังจากนั้น สโมสรกลับไม่สามารถดึงดูดนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีมเหมือนที่เคยทำได้ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 อาร์เซน่อลกลายเป็นเพียงทีมกลางตารางและไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรเพิ่มได้เลย แม้แต่ บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วง ค.ศ. 1962-66

อาร์เซน่อลแต่งตั้ง เบอร์ตี มี นักกายภาพบำบัดคุมทีมในปี 1966 โดยพาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีก คัพ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ยังคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ (ปัจจุบันยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว) ได้ในฤดูกาล 1969-70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกของสโมสร ตามด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรกคือแชมป์ลีก และ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1970-71

แต่ในทศวรรษต่อมาอาร์เซน่อลทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์เป็นส่วนมาก โดยได้รองแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1972-73 ,รองแชมป์เอฟเอ คัพในฤดูกาล 1971-72, 1977-78 และ 1979-80 และยังแพ้จุดโทษบาเลนเซียในยูฟ่าคัพ วินเนอร์ส คัพ รอบชิงชนะเลิศอีกด้วย ซึ่งสโมสรประสบความสำเร็จเพียงถ้วยเดียวในช่วงนี้คือแชมป์เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1978-79 ในยุคของ เทอร์รี่ นีล ที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

ปี 1986 จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะของสโมสรเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีพร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ได้หลายรายการในยุคที่มี โทนี่ อดัมส์ ตำนานกัปตันทีมเป็นผู้เล่นตัวหลัก เริ่มจากแชมป์ลีก คัพ ในฤดูกาล 1986-87 ตามด้วยแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ในฤดูกาล 1988-89 และได้แชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1990-91 ด้วยผลงานแพ้เพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล

และยังคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์ด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ พร้อมกับลีก คัพ ในฤดูกาล 1992-93 และคว้าแชมป์ยุโรปใบที่ 2 ได้ในยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1993-94 ด้วยการชนะปาร์ม่า 1-0

อย่างไรก็ตาม แกรแฮม ตกเป็นข่าวฉาวได้รับเงินสินบนจาก รูน ฮาวก์ เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวผู้เล่นส่งผลให้เขาถูกไล่ออกในปี 1995 และ บรูซ ริออช เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่คุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร

ฤดูกาล 1996-97 สร้างเซอร์ไพรส์ดึงตัว อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศสมาจาก นาโกย่า แกรมปัส สโมสรในเจลีก ที่เคยสร้างผลงานเยี่ยมกับโมนาโกมาคุมทีมท่ามกลางความสังสัยของแฟนบอลว่าเขาคนนี้เป็นใคร ซึ่งเพียงฤดูกาลแรกในถิ่น ไฮบิวรี่ เขาทำให้สาวกกันเนอร์รู้จักเขามากขึ้น

เมื่อประเดิมการคุมทีมนัดแรกด้วยการบุกไปชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 2-0 และพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับสามในพรีเมียร์ลีกมีคะแนนเท่ากับรองจ่าฝูง นิวคาสเซิ่ล และห่างจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์ 7 คะแนน ส่วนบอลถ้วยในประเทศทั้งสองรายการตกรอบ 4 ด้วยการพ่ายให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล

เวนเกอร์ส เข้ามาเปลี่ยนวิธีการซ้อมใหม่ และยังเข้มงวดเรื่องโภชนาการกับนักเตะ รวมถึงมีนโยบายการสร้างทีมด้วยงบประมาณจำกัด  พร้อมพาอาร์เซน่อลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 8 จาก 10 ฤดูกาลแรกรวมทั้งคว้าดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีก และ แชมป์เอฟเอคัพ) ได้สองครั้ง ในฤดูกาล 1997-98 และ 2001-02

นอกจากนี้ยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1999-00 แต่แพ้จุดโทษ กาลาตาซาราย รวมทั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2003-04 โดยไม่แพ้ทีมใดเลยทั้งฤดูกาลจนได้รับฉายาว่า "ผู้ไร้เทียมทาน" (The Invincibles) และทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกัน 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดตลอดกาลของอังกฤษ และยังได้แชมป์เอฟเอ คัพเพิ่มในปี 2003 และ 2005 รวมทั้งชนะเลิศคอมมิวนิตีชีลด์หลายสมัย โดยทีมชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ เช่น เธียร์รี่ อองรี, ปาทริค วิเอร่า, เดนนิส เบิร์กแคมป์, โรแบร์ ปิแรส และ แอชลีย์ โคล 

เวนเกอร์พาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในปี 2006 โดยถือเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้ แต่แพ้บาร์เซโลน่า 1-2 จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2006 อาร์เซน่อลได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปี ที่ไฮบิวรี่ลง ด้วยการย้ายสนามเหย้ามาเป็นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม และยังเข้าชิงลีก คัพ ได้สองครั้งใน ปี 2007 และ 2011 แต่แพ้เชลซี และ เบอร์มิงแฮม 1-2 ตามลำดับ และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2011-12 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ได้มีการโหวตจากแฟนบอลปรากฏว่า อาร์เซนอล ในฤดูกาล 2002-03 ที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลได้รับเลือกให้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปีของฟุตบอลอังกฤษ

อาร์เซน่อลยุคเวนเกอร์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้อีกสองสมัยติตต่อกัน ในฤดูกาล 2013-14 (ชนะฮัลล์ซิตี 3-2) และ 2014-15 (ชนะแอสตัน วิลล่า 4-0) ก่อนจะทำสถิติได้แชมป์เอฟเอ คัพมากที่สุด 13 สมัยในฤดูกาล 2016-17 (ชนะเชลซี 2-1) โดยเวนเกอร์ถือเป็นผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพ มากที่สุด 7 สมัย

แต่ฤดูกาล 2017-18 พวกเขาหลุดจากการจบ 4 อันดับแรกเป็นครั้งแรกด้วยการรั้งอันดับ 6 ในลีก ส่วนเอฟเอ คัพ ต้องกระเด็นตกรอบตั้งแต่รอบแรก ด้วยการพ่ายให้กับทีมระดับดิวิชั่นต่ำกว่าอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ สุดท้าย เวนเกอร์ ตัดสินใจอำลาสโมสรในเดือนพฤษภาคม 2018 โดยเขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของสโมสรคว้าแชมป์ 17 รายการ และคุมทีมยาวนานที่สุด 22 ปี 

อูไน เอเมรี่ กุนซือชาวสเปนเข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2018-19 และถือเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่ไม่ได้มาจากสหราชอาณาจักร โดยพาทีมจบอันดับ 5 และได้รองแชมป์ยูโรปา ลีก หลังจากแพ้เชลซี 1-4 ก่อนโดนปลดในฤดูกาล 2019-20

หลังจากพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 4 จากเกมลีก 13 นัดที่ผ่านมาและไม่ชนะ 7 นัดติดต่อกันหลังแพ้ แฟร้งก์เฟิร์ต 1-2 ในถ้วยยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่มเมื่อ 28 พ.ย. 2019 โดยให้ เฟรดริก ลุงเบิร์ก อดีตนักเตะระดับตำนานของทีมเข้ามารักษาการแทน จากนั้น มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมที และพาทีมจบอันดับ 8 ซึ่งเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1995 แต่ยังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้ด้วยการเอาชนะเชลซี 2-1

ฤดูกาล 2020-21 อาร์เตต้า ที่ได้คุมทีมแบบเต็มซีซั่นยังพาทีมทำผลงานในลีกย่ำแย่ต่อเนื่องจบอันดับ 8 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ไม่ได้ไปแข่งขันฟุตบอลยุโรปในฤดูกาล 2021-22 และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่สโมสรไม่ได้ไปเล่นรายการยุโรป ก่อนจะจบอันดับ 5 ในฤดูกาลต่อมา ทำได้เพียงไปเล่นยูโรปาลีก และตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ

ฤดูกาล 2022-23 อาร์เตต้า ที่ยังคงได้โอกาสคุมทีมต่อเนื่องพาทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมชนะ 12 จาก 14 เกมแรกในลีกแพ้เพียงนัดเดียวรั้งจ่าฝูงนำแมนฯ ซิตี้ 5 แต้มก่อนโดนฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายมาเบรกซึ่งต้องติดตามว่ากุนซือชาวสแปนิช วัย 40 ปี จะพาทีม "ปืนใหญ่" ไปถึงแชมป์ได้หรือไม่

เกียรติประวัติ

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชันหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก) ( 13 สมัย ) : 1930-31, 1932-33, 1933-34, 1934-35, 1937-38, 1947-48, 1952-53, 1970-71, 1988-89, 1990-91, 1997-98, 2001-02, 2003-04

แชมป์เอฟเอ คัพ ( 14 สมัย ) : 1929-30, 1935-36, 1949-50, 1970-71, 1978-79, 1992-93, 1997-98, 2001-02, 2002-03, 2004-05, 2013-14, 2014-15, 2016-17, 2019-20

แชมป์ลีก คัพ ( 2 สมัย ) : 1986-87, 1992-93

แชมป์ยูฟ่าคัพ วินเนอร์ส คัพ ( 1 สมัย ) : 1993-94

แชมป์อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ ( 1 สมัย ) : 1969-70

ชนะเลิศคอมมิวนิตีชิลด์ ( 16 สมัย ) : 1930, 1931, 1933, 1934, 1938, 1948, 1953, 1991 (แชมป์ร่วม), 1998, 1999, 2002, 2004, 2014, 2015, 2017, 2020

แชมป์เอมิเรตส์คัพ ( 5 สมัย ) : 2007, 2009, 2010, 2015, 2017

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

-------------------------------------------------

วิธีการดูบอลพรีเมียร์ลีก 2022/23 ที่ TrueID : แพ็กเกจชมครบทุกคู่ - ซิมทรูชมทีมโปรดฟรี!

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ << คลิกที่นี่

อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
คลิกเลย!! หรือ กด *301*32# โทรออก

หรือ อัพเดทข่าวบอลไทยลีก กด *301*36# โทรออก

ยอดนิยมในตอนนี้