
วิธีกำจัดตะไคร่น้ำ ป้องกันตะไคร่น้ำอย่างไรไม่ลื่นล้ม ผู้ชายรักบ้านต้องลองทำตาม

แจกวิธี วิธีกำจัดตะไคร่น้ำ ป้องกันตะไคร่น้ำ ที่คนรักบ้านต้องหมั่นทำตาม ถ้าหากพื้นลื่น เดินทีเกือบล้ม เสี่ยงเจ็บตัวโดยไม่รู้ตัว บอกเลยว่าสาเหตุมักมาจาก “ตะไคร่น้ำ” ที่ขึ้นตามพื้นเปียกหรือบริเวณอับชื้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นกระเบื้องหน้าบ้าน พื้นหินรอบสวน หรือแม้แต่ในห้องน้ำ ยิ่งปล่อยไว้นาน ตะไคร่ยิ่งจับตัวแน่น และทำให้พื้นผุกร่อน เสียหายง่ายขึ้นอีกด้วย แต่โชคดีที่การกำจัดตะไคร่น้ำไม่ยากอย่างที่คิด แค่ใช้ของใกล้ตัว และรู้เทคนิคที่ถูกต้อง ก็จัดการได้อยู่หมัดแล้ว!
ตะไคร่น้ำเกิดจากอะไร
ตะไคร่น้ำเกิดจาก สปอร์ของพืชขนาดเล็กหรือสาหร่าย (Algae หรือ Moss) ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ พอเจอ “สภาพแวดล้อมที่เหมาะ” อย่างพื้นหรือผนังที่เปียกชื้น อากาศไม่ถ่ายเท และแสงแดดส่องไม่ถึง สปอร์เหล่านี้ก็จะเริ่มเกาะตัว ขยายพันธุ์ และเติบโตจนกลายเป็นคราบเขียว ๆ ที่เราเห็นกัน
น้ำขัง ความชื้นสะสม และฝุ่นสกปรก เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ตะไคร่น้ำขึ้นง่ายขึ้น พอพื้นเปียกนาน ๆ ไม่มีแดดช่วย หรือมีน้ำซึม น้ำรั่วอยู่ตลอดเวลา พื้นผิวตรงนั้นก็จะกลายเป็นแหล่งอาหารและแหล่งเกาะตัวที่ดีเยี่ยมของสปอร์ตะไคร่น้ำ
นอกจากนั้น ถ้าพื้นหรือผนังมีคราบฝุ่น คราบน้ำเก่าที่ไม่เคยทำความสะอาด ก็ยิ่งช่วยให้ตะไคร่น้ำจับตัวหนาและลื่นได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายไม่น้อย โดยเฉพาะพื้นรอบบ้านที่เดินผ่านบ่อย ๆ
พูดง่าย ๆ ว่า "เปียก + ไม่มีแดด + อากาศอับ" คือสูตรสำเร็จที่ทำให้ตะไคร่น้ำขึ้นได้แทบทุกจุดในบ้านครับ ไม่ว่าจะเป็นพื้นระเบียงคอนโด ทางเดินข้างบ้าน หรือแม้แต่ร่องยาแนวในห้องน้ำ ถ้าปล่อยชื้นไว้เมื่อไหร่ ตะไคร่น้ำก็พร้อมขึ้นได้ทันที
ทำไมต้องรีบกำจัดตะไคร่น้ำ?
- ป้องกันอุบัติเหตุลื่นล้ม โดยเฉพาะในบ้านที่มีผู้สูงอายุหรือเด็ก
- ป้องกันความเสียหายของพื้นผิว เช่น กระเบื้อง ผนัง หินธรรมชาติ
- ลดแหล่งสะสมของเชื้อโรคและยุง
- ช่วยให้บ้านดูสะอาด น่าอยู่
พื้นที่ไหนบ้างที่ตะไคร่น้ำชอบขึ้น
- พื้นปูน พื้นกระเบื้องรอบบ้าน ที่โดนน้ำแต่ไม่มีแดด
- ทางเดินรอบสวน
- ร่องยาแนวในห้องน้ำ
- ผนังปูนด้านนอก
- พื้นระเบียงคอนโดที่น้ำขัง
วิธีจัดการตะไคร่น้ำแบบง่าย ๆ
1. น้ำร้อน
เริ่มง่ายสุดก่อน แค่ต้มน้ำให้เดือด แล้วราดตรงจุดที่มีตะไคร่ จากนั้นใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือสบู่เหลวเทซ้ำอีกครั้ง ใช้แปรงแข็งขัดออก ตบท้ายด้วยน้ำสะอาด
2. ใช้น้ำส้มสายชู + เบกกิ้งโซดา
เหมาะกับพื้นกระเบื้องหรือหิน
- ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำเปล่าในอัตรา 1:1
- ฉีดหรือราดลงบริเวณที่มีตะไคร่น้ำ ทิ้งไว้ 15–20 นาที
- โรยเบกกิ้งโซดาตามลงไป
- ใช้แปรงแข็งขัดออก แล้วล้างน้ำสะอาดตาม
ข้อดี: ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง
3. ใช้คลอรีนผงหรือน้ำยาขจัดตะไคร่
เหมาะกับพื้นปูนหรือบริเวณที่ตะไคร่ขึ้นหนา
- โรยคลอรีนผงลงบริเวณที่มีตะไคร่ หรือใช้น้ำยาขจัดตะไคร่ตามคำแนะนำข้างขวด
- ทิ้งไว้ 15–30 นาที
- ขัดออกด้วยแปรงแข็ง
- ล้างน้ำเปล่าหลาย ๆ รอบให้สะอาด
ข้อควรระวัง: ต้องใส่ถุงมือ และระวังการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนัง
4. ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง
เหมาะกับพื้นกลางแจ้งที่มีคราบหนา เช่น ลานจอดรถ ทางเดินสวน
- ฉีดน้ำแรงดันสูงใส่บริเวณตะไคร่โดยตรง
- ใช้แปรงแข็งช่วยขัดออกหากจำเป็น
- ฉีดซ้ำจนแน่ใจว่าสะอาดหมดจด
ข้อดี: ไม่ต้องใช้สารเคมี เหมาะสำหรับคนที่ชอบวิธีเป็นธรรมชาติ
5. ใช้น้ำยาล้างจาน
ผสมน้ำยาล้างจาน 600 มิลลิลิตร กับน้ำ 5 แกลลอน ราดลงบนตะไคร่ ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วขัดออก วิธีนี้ใช้ได้กับคราบไม่หนามาก
6. ใช้สารฟอกขาว
ถ้าคราบเขียวหนามาก ใช้สารฟอกขาว ¾ ถ้วย + น้ำ 1 แกลลอน ราดลงไป ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วขัดออก ควรระวังอย่าให้ไหลไปโดนต้นไม้ เพราะอาจทำให้ใบไม้ไหม้
ถ้าเจอกับคราบตะไคร่ที่เกาะแน่นสะสมมานาน แบบขัดธรรมดาไม่ออก หรือพื้นที่โดนฝนบ่อยจนตะไคร่จับตัวหนา อาจต้องพึ่ง สารเคมีแรงขึ้น เข้ามาช่วย เช่น ไฮเดรตไลม์ (Hydrated Lime), ไตรโซเดียมฟอสเฟต (TSP), แอมโมเนียมซัลฟาเมต หรือแม้แต่ โซเดียมเพนตะคลอโรฟีเนต ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์กำจัดตะไคร่ได้ลึกถึงโครงสร้าง
แต่ต้องระวังให้มาก เพราะสารเหล่านี้มีความกัดกร่อนสูง และอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ สัตว์เลี้ยง รวมถึง ต้นไม้ รอบบริเวณที่ใช้ ฉะนั้นก่อนใช้ควรใส่ถุงมือ แว่นตา หน้ากากกันสารเคมี และทำในวันที่อากาศนิ่ง ไม่มีลม เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของสารเคมี ที่สำคัญอย่าให้ไหลซึมไปโดนต้นไม้หรือพื้นที่อื่นโดยไม่ตั้งใจ เพราะอาจจะทำให้ต้นไม้ตายได้นั่นเอง
เคล็ดลับป้องกันไม่ให้ตะไคร่น้ำกลับมาเร็ว
- หมั่นขัดล้างพื้นเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง
- ลดความชื้นในพื้นที่ เช่น เปิดช่องระบายอากาศ หรือหาทางให้แดดส่องถึง
- ใช้สารเคลือบกันน้ำหรือกันเชื้อราบนพื้นกระเบื้องหรือพื้นปูน
- อย่าปล่อยให้น้ำขังหรือพื้นเปียกนาน ๆ
ตะไคร่น้ำอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่หากปล่อยไว้ เสี่ยงลื่นล้มและทำลายพื้นได้ง่ายมาก ดังนั้นลองใช้วิธีที่เหมาะกับประเภทพื้นผิวและระดับความหนาของตะไคร่ ก็จะช่วยให้จัดการได้เร็วและปลอดภัยไปอีกนาน
บทความที่คุณอาจสนใจ