TRUE TALK : ตราบใดที่เรายังมี "ความหวัง" - "ความหวัง" นั้นไม่มีวันทำร้ายคุณ ... by "บก.เก้น"
“เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปไม่ได้”
และก็ “เป็นไปได้”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการโกงความตายเฉกเช่นเรื่องราวที่เกิดขึ้นยัง แอนฟิลด์ สังเวียนลูกหนังที่ขึ้นชื่อลือลั่นกับ “European Night” หรือ “ค่ำคืนแห่งยุโรป”
ในวันที่ผมยังเป็นเด็กราวๆ ในยุคที่การดูฟุตบอลสดๆ ยังเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเด็กอ้วนๆ จากอำเภอสันทราย “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” ในความทรงจำของผมคือ การติดตามการถ่ายทอดสดผ่านทางฟรีทีวีช่อง 11 และไอทีวี (ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) ฉากดาวหลายๆ ดวง พร้อมกับเสียงดนตรีก่อนเข้าเกมอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมกับผู้สนับสนุนนามว่า อัมสเทล ได้ทำให้ เด็กชายนิติพงษ์ หัวใจพองโตทุกครั้งที่ได้ยิน ได้เห็น และยอมอดหลับอดนอนเพื่อติดตามทีมรักทีมนี้
ในฤดูกาล 2001/2002 ซึ่งเป็นปีแรกที่ ลิเวอร์พูล พาตัวเองกลับมาอยู่ในอยู่ในถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่ โศกนาฏกรรมที่ เฮย์เซล กับสถานการณ์ในรอบแบ่งกลุ่ม รอบที่สอง (ยังเป็นระบบเดิมที่จะเริ่มต้นการน็อคเอ้าท์ที่รอบ ควอเตอร์ไฟน่อล) ที่พวกเขายังไม่ชนะใครเลยแม้แต่เกมเดียว ดังนั้น โอกาสสุดท้ายที่จะช่วยให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ก็คือ เกมสุดท้ายกับ โรม่า
“หมาป่าแห่งกรุงโรม” ในวันนั้น คือหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในปี 2000/2001 นั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย พวกเขามี ฟรานเชสโก้ ต็อตติ สวมปลอกแขนกัปตันทีม, มี เอเมอร์สัน กับ ดาเมียโน่ ตอมมาซี่ ยืนตัดเกมตรงกลาง ส่วนแนวรับยิ่งไปกันใหญ่ การได้ภูผาหินแกร่งอย่าง วอลเตอร์ ซามูเอล ขนาบข้างด้วย อัลดาเอียร์ ที่พกดีกรีแชมป์โลกบนแผ่นดินลุงแซม บวกกับแข้งระดับ คริสเตียน ปานุชชี่, แว็งซองต์ ก็องเดล่า พร้อมตำนานอาร์เจนไตน์ที่ใครๆ ก็ใช้ใน วินนิ่ง 4 อย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า ลงล่าตาข่าย ตบท้ายด้วย ฟาบิโอ คาเปลโล่ เป็นขงเบ้งประจำการข้างสนาม
ตัดกลับมา ลิเวอร์พูล ในวันนั้นที่ตกเป็นรองแทบทุกๆ อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ยิ่งใหญ่เท่า ฟราสเชสโก้ ต็อตติ, ซามี่ ฮูเปีย เองก็ยังบารมีไม่เท่า อัลดาเอียร์ กับ วอลเตอร์ ซามูเอล ส่วน ยารี่ ลิตมาเน่น เองก็กำลังอยู่ในช่วงขาลงจากความชอกช้ำที่ คัมป์ นู หนักกว่านั้นพวกเขายังมี อาเบล ซาเวียร์ ลงสนามในฐานะ 11 ตัวจริง !!!
แต่เพราะด้วยศักดิ์ศรีแชมป์ 4 สมัย (ณ เวลานั้น) พวกเขารู้ดีว่าทางเดียวที่จะกอบกู้ชื่อเสียง และบารมีเก่าๆ ของการเป็นทีมที่ดีที่สุดในยุโรปให้กลับมานั้น ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องผ่านเข้าสู่รอบต่อไปให้ได้เท่านั้น ด้วยพลังเสียงเชียร์ในถิ่นแอนฟิลด์ สุดท้าย โรม่า ต้องมาเจอทีเด็ดของ ยารี่ ลิตมาเน่น กับเอมิล เฮสกี้ ช่วยให้ยอดทีมจาก เมอร์ซีย์ไซด์ พลิกผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะในเกมนัดสุดท้าย
ปี 2004/2005 ผมเองกำลังอ่านหนังสือ และเรียนพิเศษอย่างหนักตามสไตล์เด็กไทยเพื่อเตรียมสอบโควต้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในอีก 1 ปีข้างหน้า และผมก็ไม่คิดว่า ลิเวอร์พูล จะกลับมาได้ในเกมนัดสุดท้ายกับ โอลิมเปียกอส ที่ได้เปรียบทั้งคะแนน และผลต่างประตูได้เสีย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยอดทีมจากกรีซมีโอกาสจะผ่านเข้ารอบมากขึ้นไปอีก หากบุกมายิง ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ ได้ก่อน เพราะด้วยเงื่อนการเข้ารอบ ได้บีบให้ “หงส์แดง” ต้องยิงถึงสามประตู
บางครั้ง พระเจ้า ก็มันจะเล่นตลกกับ ลิเวอร์พูล เสมอ เพราะสุดท้าย ริวัลโด้ ดันมาทำแสบด้วยการปั่นฟรีคิกทะลุรูกำแพงให้ โอลิมเปียกอส ออกนำไปตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกม เงื่อนไขเดียวที่ ลิเวอร์พูล ต้องทำให้ได้เพื่อต่อลมหายใจพวกเขาเองก็คือ “ยิงสามประตู และห้ามเสียเพิ่ม”
ลูกแท็ปอินของ ฟลอร็องต์ ซินาม่า ปงโกล์ ค่อยๆ จุดประกายความหวังให้กับเหล่า “เดอะ ค็อป” เปรียบดั่งแสงเทียนในกลุ่มพายุ ที่แม้ว่าจวนเจียนจะดับ แต่จนแล้วจนรอด เทียนเล่มนี้ ก็ค่อยๆ ส่องแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ ตามเดซิเบลของเสียงเชียร์ในถิ่นแอนฟิลด์
นีล เมลเลอร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกวางตัวให้เป็นทายาทของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และไมเคิ่ล โอเว่น ในถิ่นแอนฟิลด์ ล้มตัวซัดให้ที่ไล่มาอีกหนในช่วงไม่ถึง 10 นาทีสุดท้าย
ณ จังหวะนั้น ไม่หวังก็ต้องหวังแล้ว เพราะ “ความหวัง” นี่แหละ คือแรงผลักดันที่สำคัญ และขับเคลื่อนวิวัฒนาการของมนุษย์มาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา
กระทั่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตัดสินใจกดสี่เหลี่ยมค้างสุดหลอด (คอวินนิ่งน่าจะเข้าใจผมนะครับ) ก่อนตะบันยิงด้วยขวาเต็มแรง บอลพุ่งแหวกอากาศผ่านมือ อันโตนิโอ นิโคโปลิดิส ที่ว่ากันว่าคือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังแดนเทพนิยาย
สุดท้าย ลิเวอร์พูล ไปไกลถึงตำแหน่งแชมป์ พร้อมกับตำนานที่ อิสตันบูล หนึ่งในแมตช์ที่คลาสสิคที่สุดในชีวิตผม ที่เหล่าแฟนบอลทั้งโลกจะกล่าวขานไปอีกนานแสนนานถึงการคัมแบ็คกลับมาชนิดที่ “เป็นไปไม่ได้” มากที่สุด
“การคัมแบ็ค” จึงกลายเป็น “คาแรคเตอร์” เฉพาะตัวของ ลิเวอร์พูล ไปโดยปริยาย…
เชลซี, อาร์เซน่อล, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ล้วนแต่เคยเอาชื่อมาทิ้งที่ แอนฟิลด์ ในสถานการณ์ที่เรียกว่า “ค่ำคืนแห่งยุโรป” แทบทั้งสิ้น
กระทั่งชื่อของ บาร์เซโลน่า โผล่ขึ้นมาจากเตาอบเบเกอรี่อันหอมกรุ่น…
ไม่มีใครปฏิเสธว่า ด้วยวัย 32 ปี ลิโอเนล เมสซี่ ยังคงเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกไม่เปลี่ยน สองจากสามประตูที่ทัพ “อาซูลกราน่า” ทำได้ที่ คัมป์ นู ในเลกแรก โดยเฉพาะลูกฟรีคิกปลิดวิญญาณ ที่การันตีความเป็นเวิลด์คลาสอย่างแท้จริง ด้วยความสำเร็จทั้งในระดับสโมสร บวกกับรางวัลส่วนตัว เมสซี่ เปรียบดั่งราชันย์ลูกหนังที่ดีที่สุดนับตั้งแต่หมดยุคของ เปเล่ และดิเอโก้ มาราโดน่า เลยด้วยซ้ำ
สกอร์ที่ตามหลังถึงสามประตู บวกกับเงื่อนไขสี่ประตูเพื่อกรุยทางไปลุ้นจ้าวยุโรปจึงเป็นอะไรที่ “แทบหมดหวัง”
ในวันใดที่เราไร้ซึ่งความหวัง ความเป็นมนุษย์ของเราก็คงหมดไปในวันนั้น มนุษย์ถูกสอนให้ใช้ความกลัว บวกกับความกล้าในการขับเคลื่อนชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ขวากหนาม เราถึงมีอารยธรรม มีนวัตกรรมที่บ่งบอกให้เห็นถึงการพัฒนาโลกใบนี้ทุกๆ วินาที
โลกเราคงไม่มีเครื่องบินลอยอยู่เต็มท้องฟ้า หากสองพี่น้องตระกูลไรท์ หมดหวังที่จะเชื่อว่า สิ่งที่พวกเขาคิดนั้นจะย่นโลกทั้งใบให้ใกล้เพียงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
เราคงไม่มีไฟฟ้าใช้ หาก โธมัส อันวา เอดิสัน หมดหวังกับการทดลองครั้งสุดท้ายก่อนที่จะประสบความสำเร็จ
ฉันใดฉันนั้น ลิเวอร์พูล คงไม่มีวันเอาชนะ บาร์เซโลน่า หากพวกเขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถทำได้ในเกมนี้…
ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่มีพลังแฝงที่เรียกว่า “ความหวัง” อบอวลอยู่ใน แอนฟิลด์ อย่างเต็มเปี่ยม ไม่สิ ต้องบอกว่าอยู่ในหัวใจ “เดอะ ค็อป” ทั้งโลกเลยด้วยซ้ำ
ก่อนลงสนาม เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมทุกคนต่างรู้ดีว่า พวกเขาเองคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินหน้าลุยแหลกตั้งแต่วินาทีแรกของเสียงนกหวีด เพราะสุดท้าย จะแพ้อีกสองสามประตู ทุกอย่างก็คงมีค่าเท่ากันนั่นคือ “ตกรอบ”
การขาด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไปทำให้กุนซือเลือดด๊อยต์ชรายนี้จำเป็นต้องส่งฮีโร่จาก เซนต์ เจมส์ พาร์ค อย่าง ดิว็อค โอริกี้ ลงสนามมาอีกครั้ง แม้ชื่อนี้อาจจะทำให้แฟนบอลบางคนต้องร้องยี้ถึงภาระอันนักอึ้งที่หัวหอกเลือดเบลเจี้ยนรายนี้ต้องแบก แต่โปรดอย่าลืมว่า โอริกี้ คนนี้นี่แหละ ที่เป็นคนยิงประตูจุดประกายความหวังใน “ค่ำคืนแห่งยุโรป” ถ้วยเล็กอย่าง ยูโรป้า ลีก ในปีแรกที่ คล็อปป์ ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนยัง ลิเวอร์พูล ใส่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก่อนที่ “หงส์แดง” จะโกงความตายก้วยการยิง 4 ประตูได้เช่นกัน
ความ “ไม่มีทางเลือก” ในครั้งนี้ ถือว่ามีนัยยะสำคัญที่ซ่อนอยู่ไม่น้อย
โอกาสยิง 8 ครั้งของ บาร์เซโลน่า บวกกับลูกเตะมุมอีกถึง 6 หน มิอาจแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นประตูได้เลยแม้แต่หนเดียว ความมหัศจรรย์ของ ลีโอ เมสซี่ เพียงแค่คนเดียว มิอาจแบกรับงานหินระดับนี้ได้โดยลำพัง
เพราะฟุตบอลเล่นเป็นทีม…
และบังเอิญว่า “ทีม” ของ ลิเวอร์พูล ดันประกอบไปด้วยพลังเชียร์ในแอนฟิลด์หลักครึ่งแสน
ลิเวอร์พูล ลงสนามด้วยนักเตะห้าหมื่นคน สู้กับ บาร์เซโลน่า 11 คนในสนาม
ดิว็อค โอริกี้ ไม่ทำให้ คล็อปป์ ต้องผิดหวัง หลังซ้ำจ่อๆ ให้แชมป์ยุโรป 5 สมัยขึ้นนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ จอร์จินิโอ้ ไวจ์นัลดุม จะโชว์ความจมูกไววิ่งมาซัดเปรี้ยงให้ “เดอะ ค็อป” ทั้งโลก เริ่มกลับมามีความหวังที่มากขึ้น หลังสกอร์ขยับมาเป็น 2-0
นักเตะที่ถูกลืมอย่าง เซอร์ดาน ชากิรี่ แสดงให้ทุกคนเห็นว่า หากจะยกให้ใครสักคนเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ในยุคนี้ เห็นทีต้องมีเขาอยู่ในโผนั้น หลังบรรจงปั่นโค้งมาให้ ไวจ์นัลดุม ที่จุดนัดพบพอดิบพอดี ก่อนที่แข้งฟลายอิ้ง ดัตช์แมน จะเทคตัวเหนือ เคาร์ด ปิเก้ ก่อนโขกบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปแบบ “เพอร์เฟ็ค”
สองประตูในสองนาที บ้าไปแล้ว !!!
การเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่คับขัน และบีบหัวใจของ ชากิรี่ คงเป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมทีมระดับ บาเยิร์น มิวนิค ถึงต้องยอมทุ่มเงินดึงตัวเขาไปค้าแข้งในบุนเดสลีกา เมื่อหลายปีก่อน
เข็มนาฬิกาที่หมุนไปในทุกๆ วินาที เปรียบดั่งจังหวะหัวใจของแฟนบอลเจ้าถิ่นที่กดดันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหากจบด้วยสกอร์นี้ ทั้งสองทีมต้องสู้กันต่อในเกมยืดเยื้ออีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ซั่งนั่นหมายความว่า บาร์เซโลน่า จะยังมีเวลาให้ได้สงบสติอารมณ์ และรวบรวมสมาธิเพื่อพิชิต ลิเวอร์พูล ให้เสร็จสรรพอีกครั้ง
“จะตีงู ต้องตีให้ตาย” อย่าลืมนะว่าที่นี่คือ แอนฟิลด์ โมเมนตั้มของเกม บวกกับเสียงเชียร์ ขวัญกำลังใจ ทุกสิ่งทุกอย่างได้คอยเร้า และกระตุ้นให้นักเตะลิเวอร์พูลตัดสินใจเดินหน้าหาตะปูชิ้นสุดท้ายเพื่อเอามาตอกฝาโลงฝัง บาร์ซ่า ภายใน 90 นาทีเท่านั้น
คล็อปป์ และนักเตะคิดตรงกัน…
ประตูที่สี่ของ ลิเวอร์พูล จะกลายเป็นอีกหนึ่งช็อตที่ถูกพูดถึงไปอีกนานแสนนาน ผมไม่รู้ว่าช็อตการเดินออกจากมุมธงของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ กับการเดินก้มหน้ากดตาของ ชากิรี่ คือบทละครที่เขียนขึ้นโดย คริส โนแลนด์ รึเปล่า เพราะจู่ๆ ไอ้หนูเทรนต์ ก็ตัดสินใจวิ่งกลับมาหวดบอลจากมุมธงไปให้ โอริกี้ เข้าฮอร์สแบบไม่ต้องลังเลใจใดๆ ทั้งสิ้น
พาย้อนเวลาไปชม 4 อภิมหาการคัมแบ็คของ ลิเวอร์พูล ในเวทียุโรป … by “ม. มีนบุรี”
บอลพุ่งผ่านช่องว่างระหว่าง เคราร์ด ปิเก้ กับ มาร์ค อันเดร แทร์ ชเตเก้น กระทบตาข่ายแทบขาด เสียงดีใจในแอนฟิลด์จากจังหวะนี้ อาจจะเป็นเสียงที่ดังที่สุดบนผืนพิภพ ณ ห้วงเวลานั้น และนี่อาจจะเป็นประตูที่มีความหมายมากที่สุดในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ โอริกี้
HIGHLIGHT
ในช่วงเวลาที่เหลือ ลิเวอร์พูล ไม่ยอดพลาดไปอีกแล้ว พวกเขารู้ดีว่าต้องทุ่มทั้งแรงกาย และแรงใจมากแค่ไหนกว่าจะได้มาซึ่งสี่ประตูตามเงื่อนไขที่ต้องการทุกประการ
เสียงนกหวีดดังขึ้น เกมจบลง แต่อารมณ์ของเหล่าพี่น้อง “เดอะ ค็อป” ยังไม่จบ ชัยชนะเหนือทีมที่ดีที่สุดในโลกอย่าง บาร์เซโลน่า ถึง 4-0 พร้อมกับการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการนี้ได้สองฤดูกาลติดต่อกัน คือความภูมิใจที่มิอาจจะกลั้นไหว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเสียน้ำตาให้กับเกมนัดนี้ด้วยความดีใจ… ผมเองก็เหมือนกัน
ช่างเป็นความสุขในหัวใจที่ยากเกินกว่าจะสรรหาคำใดๆ ในโลกใบนี้มาอธิบายเสียจริงๆ
ผมเคยพูดกับสื่อฟุตบอลชื่อดังระดับเอเชียเจ้าหนึ่งถึงทีมรักทีมนี้เอาไว้ว่า…
หากเราชนะ เราจะชนะด้วยกัน เช่นเดียวกันถ้าหากเราแพ้ เราก็จะแพ้ด้วยกัน ดั่งปรัชญาที่ว่า
“คุณจะไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย”
You’ll never walk alone…
จริงแน่แท้ที่สุดครับว่าคุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย หากคุณเดินก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีชื่อว่า “ลิเวอร์พูล”
ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า จะตรึงหัวใจทุกคนไปอีกนานแสนนาน แม้ว่าสุดท้ายบทเฉลยตอนจบอาจจะไม่ใช่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ได้ชูถ้วยก็ตาม… นั่นคงไม่สำคัญมากไปกว่า เราใช้ชีวิตด้วย “ความหวัง” จริงๆ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ตราบใดที่เรายังมี “ความหวัง”
“ความหวัง” นั้นไม่มีวันทำร้ายคุณ
เหมือนกับที่ ลิเวอร์พูล มีความหวัง และลงมือทำมันอย่างสุดหัวใจ ณ แอนฟิลด์ เมื่อคืนที่ผ่านมา…
“บก.เก้น”
ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports