รีเซต
นักแข่งรถ Formula 1 ฟิตร่างกายอย่างไรบ้าง เพื่อต่อสู้กับความเร็วในการแข่ง

นักแข่งรถ Formula 1 ฟิตร่างกายอย่างไรบ้าง เพื่อต่อสู้กับความเร็วในการแข่ง

นักแข่งรถ Formula 1 ฟิตร่างกายอย่างไรบ้าง เพื่อต่อสู้กับความเร็วในการแข่ง
WeenayA
15 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
15

     กีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่าง Formula 1 นั้น องค์ประกอบของการแข่งขันเป็นที่รู้กันว่ามากกว่ารถแข่งที่มีความเร็ว แต่ยังประกอบไปด้วยเทคโนโลยีด้านวิศวกรรม Data Analytics การประเมินด้านสภาพดินฟ้าอากาศ และสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้คือนักขับ ซึ่งนักขับ F1 นั้น แค่เพียงขับรถได้คงไม่พอเพราะสมรรถนะของรถ Formula 1 นั้นไม่ใช่ว่าใครๆ ที่ขับรถเป็นจะสามารถขับได้ ด้วยความเร็วของเครื่องยนต์ การเร่งทำความเร็วได้สูงภายในเวลาเพียวเสี้ยววินาที จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักขับ F1 นั้นจึงต้องมีการฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก และสม่ำเสมอไม่แพ้กับนักกีฬาประเภทอื่นๆ แล้วนักแข่งรถ Formula 1 นั้นต้องฝึกร่างกายอย่างไรบ้าง TrueID Sport ได้นำมาฝากคุณแล้ว

 

shutterstock / Michael Potts F1

นักแข่งรถ Formula 1 ฟิตร่างกายอย่างไรบ้าง
เพื่อต่อสู้กับความเร็วในการแข่ง

นักขับรถ Formula 1 ต้องฝึกฝนด้านใดบ้าง

     โปรแกรมการฝึกซ้อมนักขับหากไม่นับเรื่องการขับรถหรือการฝึกซ้อมกับเครื่อง Simulator แล้วการฝึกฝนร่างกายจะเน้นเรื่อง ความอดทน (Endurance) ความแข็งแกร่ง (Strength) ความมั่นคงของร่างกาย (Stability) และ การทำงานของสมอง (Cognitive function) เป็นหลัก ซึ่งทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ต้องทำงานสอดประสานกันในขณะการแข่งขันที่กินเวลาร่วม 2 ชั่วโมงในการแข่งขันแต่ละครั้ง

 

การฝึกฝนแบ่งออกไปดังนี้

1. ความแข็งแกร่งของคอเพื่อรับแรง G

     แรง G หรือ G-Force เป็นสิ่งที่นักขับ F1 นักแข่งต้องเผชิญตลอดระยะเวลาการขับ แรง G ที่ต้องเผชิญนั้นอยู่ที่  5–6 G เพราะการเข้าโค้งของรถ F1 นั้นเร็วกว้าการเข้าโค้งในการขับรถปกติหลายเท่า การเข้าโค้งของรถ Fomula 1 ใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่  240 - 300+ กม./ชม. ในโค้งความเร็วสูง ซึ่งนั้นหมายความว่านักขับต้องรับแรง G สูงถึง 4G ถึง 6.5G
     สำหรับการเบรคก็สร้างแรงต้านหนักเช่นกันเมื่อต้องเบรคจากความเร็วสูงภายในระยะเวลาไม่กี่วินาทีนั้นสร้างแรงเหวี่ยงได้หนักมากเช่นกัน ประกอบกับน้ำหนักของหมวกก็เป็นปัจจัยเพิ่มจากน้ำหนักตัวของนักขับเช่นกัน
การฝึกคอจะมีการฝึกออกไปดังนี้

  • สายรัดคอพร้อมน้ำหนัก (Neck Harness) นักขับใช้สายรัดพิเศษเชื่อมต่อกับน้ำหนัก (สูงถึง 30 กก. หรือมากกว่า) หรือเคเบิลแรงต้าน เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ในทิศทาง ก้ม เงย และ เอียงข้าง

  • การฝึกด้วยยางยืดแรงต้าน (Resistance Bands) ใช้สำหรับการฝึกการหมุนและแรงต้านแบบไดนามิก เพื่อจำลองแรงที่หลากหลายในสนามแข่ง อุปกรณ์เช่น Iron Neck จะให้แรงต้านคงที่จากหลายทิศทาง

  • หมวกกันน็อกถ่วงน้ำหนัก (Weighted Helmets) ใช้ในการฝึกซ้อมเพื่อเลียนแบบภาระน้ำหนักจริงของศีรษะที่ต้องแบกรับในรถแข่ง

  • การฝึกเกร็งกล้ามเนื้อ (Isometric Holds) นักขับจะเกร็งคอค้างไว้ต่อต้านวัตถุที่อยู่กับที่ (เช่น ผนัง หรือมือคู่ซ้อม) เพื่อต้านทานการเคลื่อนไหวทั้งสี่ทิศทาง (หน้า หลัง ซ้าย ขวา) เป็นระยะเวลาหนึ่ง

  • การฝึกด้วยเครื่องจำลอง (Simulator Drills) ทีมแข่งบางแห่งใช้โปรแกรมจำลองขั้นสูงเพื่อสร้างแรงต้านผ่านคอพวงมาลัยและเบาะนั่ง บังคับให้กล้ามเนื้อคอทำงานหนักขณะที่นักขับกำลังฝึกการบังคับรถจริง ๆ เพื่อให้การฝึกมีความจำเพาะเจาะจงสูง

2. ความแข็งแกร่งของแกนกลางลำตัวเพื่อรับแรง G

     การฝึกความมั่นคงของแกนกลางลำตัว แกนกลางลำตัวที่แข็งแรงและมั่นคงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ ยึดร่างกาย นักขับไว้กับที่ภายใต้แรง G ที่ต่อเนื่อง ป้องกันความเหนื่อยล้า และช่วยรักษาท่าทางที่เหมาะสมในการควบคุมพวงมาลัย โดยวิธีการฝึกจะมีวิธีดังนี้

การฝึกความทนทานและการเกร็งค้าง (Endurance and Static Holds)

การฝึกเหล่านี้มุ่งสร้างความทนทานของกล้ามเนื้อที่จำเป็นต่อการต้านทานแรงต่อเนื่องตลอดการแข่งขัน

  • ท่าแพลงก์และไซด์แพลงก์ (Planks and Side Planks): เป็นท่าเกร็งค้าง (Isometric Holds) พื้นฐานเพื่อสร้างความแข็งแกร่งแกนกลางลำตัว นักขับมักจะเพิ่มความเข้มข้นด้วยการฝึกบนพื้นผิวที่ไม่มั่นคง หรือการเพิ่มน้ำหนักภายนอก (เช่น วางแผ่นน้ำหนักบนหลัง)

  • ท่าเบิร์ดด็อกและซูเปอร์แมน (Bird-Dog and Superman): เป็นท่าที่เน้นกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและกลุ่มกล้ามเนื้อด้านหลังลำตัว (Posterior Chain) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาตำแหน่งนั่งที่มั่นคงและตั้งตรงในห้องนักขับ

ความแข็งแรงในการหมุนและการต้านการหมุน (Rotational and Anti-Rotational Strength)

แกนกลางลำตัวต้องถูกฝึกให้ต้านทานการบิดหรือการผลักไปด้านข้าง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเตรียมตัวเพื่อต้านทานแรง G ในโค้ง

  • ท่าพัลลอฟ เพรส (Pallof Press): เป็นการฝึกที่เฉพาะเจาะจงมาก โดยนักขับใช้เคเบิลหรือยางยืดแรงต้านเพื่อต้านทานแรงที่พยายามจะบิดลำตัว การฝึกนี้มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงเพื่อต้านการหมุน (Anti-Rotational Stability) โดยตรง

  • ท่ารัสเซียน ทวิสต์ (Russian Twists): ฝึกโดยมีหรือไม่มีลูก Medicine Ball เพื่อสร้างความแข็งแรงและความทนทานในการหมุนของลำตัว

  • ท่าเมดิซิน บอล สแลมและทวิสต์ (Medicine Ball Slams and Twists): เป็นการเคลื่อนไหวแบบไดนามิกที่ฝึกแกนกลางลำตัวสำหรับการออกแรงที่รวดเร็วและรุนแรง ซึ่งจำลองการใช้แรงในการบังคับรถ

 

3. ความทนทานของหัวใจ และหลอดเลือด และการจัดการความร้อน

     การแข่งขัน F1 หากเปรียบเป็นการออกกำลังกายแบบเห็นภาพง่าย ก็คือเป็นกิจกรรมประเภทแอโรบิกที่มีความเข้มข้นสูงนานถึง 2 ชั่วโมง อัตราการเต้นของหัวใจของนักขับมักอยู่ที่ 140–170 ครั้งต่อนาที และอาจสูงสุดถึง 200 ครั้งต่อนาที ซึ่งเทียบได้กับนักวิ่งมาราธอน พวกเขายังต้องแข่งในห้องนักขับที่มีอุณหภูมิสูงถึง 50∘C และทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำหนักจากการขับเหงื่อมากถึง 3 กิโลกรัม จึงต้องมีการฝึกร่างกายดังนี้

การฝึกความทนทานของหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular and Endurance)

การฝึกคาร์ดิโอเน้นที่การรักษาระดับไขมันในร่างกายให้ต่ำ และสร้างความฟิตแบบแอโรบิกสูงเพื่อจัดการกับความร้อน การสูญเสียน้ำ และการรักษาความแม่นยำในการขับขี่

  • กิจกรรมหลัก: การปั่นจักรยาน, การวิ่ง, การพายเรือ, และการว่ายน้ำ

  • การฝึกแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training): ใช้เพื่อจำลองความเข้มข้นที่ผันผวนของการแข่งขัน โดยสลับระหว่างช่วงที่ออกแรงหนัก (เพื่อจำลองการเข้าโค้ง หรือการแซง) กับช่วงพัก

การฝึกความแข็งแรงเชิงการใช้งาน (Functional Strength Training)

ร่างกายส่วนบน (แขน หัวไหล่)
     แม้ว่ารถ F1 จะมีพวงมาลัยพาวเวอร์ แต่แรงต้านทานจากพวงมาลัยตลอดการแข่งขันก็ยังคงหนักหน่วงมาก

  • เป้าหมาย: การฝึกเน้นที่ความทนทานและความแข็งแรงเชิงการใช้งานของแขนส่วนปลาย หัวไหล่ และหลัง เพื่อควบคุมพวงมาลัยได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการหักเลี้ยวเพื่อแก้อาการรถและในการเข้าโค้งที่มีแรง G สูง

  • ตัวอย่างท่าฝึก: ท่า Seated Rows (ดึงเคเบิลเข้าหาตัว), Shoulder Shrugs (ยักไหล่), และการฝึกแรงต้านทานต่าง ๆ

ร่างกายส่วนล่าง (การเบรก)
     นักขับใช้ขาซ้ายเหยียบแป้นเบรกซ้ำ ๆ ด้วยแรงที่มักเกินกว่า 80 กิโลกรัม (176 ปอนด์) ซึ่งต้องอาศัยความแข็งแรงและความทนทานแบบแยกส่วนสูง

  • เป้าหมาย: สร้างมวลกล้ามเนื้อและความทนทานในขาซ้ายโดยเฉพาะ

  • ตัวอย่างท่าฝึก: พวกเขาฝึกโดยใช้ท่าทางที่ใช้ขาข้างเดียว (Unilateral) อย่างหนัก เช่น Single-leg presses (เครื่องกดขาด้วยขาเดียว) และ Squats (สควอท) เพื่อเพิ่มกำลังและความทนทานในการเบรกอย่างแม่นยำซ้ำ ๆ

4.การฝึกสมาธิและความสามารถในการตอบสนอง 

     การฝึกสมาธิและความสามารถในการตอบสนองถือเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งในตารางการฝึกของนักขับ Formula 1 เนื่องจากในการแข่งขันต้องอาศัยการตัดสินใจในเสี้ยววินาที สมาธิที่ต่อเนื่อง และปฏิกิริยาที่รวดเร็ว ภายใต้ความกดดันทางร่างกายอย่างมหาศาล การเตรียมความพร้อมรูปแบบนี้มักถูกเรียกว่า การฝึกความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Training) หรือ การปรับสภาพจิตใจ (Mental Conditioning) โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะหลักดังนี้

  • สมาธิที่ต่อเนื่อง (Sustained Concentration): การรักษาสมาธิที่เฉียบคมตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 90–120 นาที แม้ในขณะที่เผชิญกับแรง G สูงและความร้อนสุดขีด

  • การตัดสินใจที่รวดเร็ว (Rapid Decision-Making): ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลภาพและเสียงอย่างรวดเร็ว เช่น ยางสึกหรอ การเคลื่อนไหวของคู่แข่ง เศษซากบนสนามที่ไม่คาดคิด และเลือกกลยุทธ์และการปฏิบัติการที่เหมาะสมที่สุดในหน่วยมิลลิวินาที

  • เวลาตอบสนองที่เหนือกว่า (Superior Reaction Time): ความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ไม่คาดคิด ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการออกตัว, การหลีกเลี่ยงการชน, หรือการแก้ไขรถที่ท้ายปัดกะทันหัน

  • การรับรู้รอบข้าง (Peripheral Awareness): ความสามารถในการติดตามรถและสิ่งกีดขวางที่บริเวณขอบเขตการมองเห็น โดยไม่จำเป็นต้องมองตรงไปที่สิ่งเหล่านั้น

  • การคาดการณ์และคาดเดา (Anticipation and Prediction): ต่างจากการตอบสนองง่าย ๆ นักขับ F1 ระดับผู้เชี่ยวชาญจะเก่งกาจในการคาดการณ์ว่ารถหรือสนามจะตอบสนองอย่างไร ทำให้พวกเขาสามารถเริ่มการขับเคลื่อนได้ก่อนที่สิ่งเร้านั้นจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์

วิธีการและเครื่องมือฝึกฝน (Training Methods and Tools)

การฝึกในส่วนนี้ทีมและนักขับ F1 ใช้การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีขั้นสูงและเทคนิคทางจิตใจ

1. การฝึกด้วยเทคโนโลยี (Technology-Based Drills)

เครื่องมือเหล่านี้ใช้ในการวัดและปรับปรุงความเร็วในการตอบสนองและการประสานงาน

  • Batak หรือ Light Reaction Boards: ระบบนี้มีแผงที่มีไฟกะพริบแบบสุ่ม นักขับจะต้องแตะไฟเหล่านั้นให้เร็วและแม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้ การฝึกนี้ช่วยพัฒนาการประสานงานของตาและมือ และการมองเห็นรอบข้าง

  • เครื่องจำลองการแข่งรถขั้นสูง (Advanced Racing Simulators): เครื่องมือฝึกที่เฉพาะเจาะจงที่สุด โดยจะจำลองสถานการณ์การแข่งขันและอันตรายที่ไม่คาดคิด เช่น ฝนตก Safety Car ความผิดพลาดทางกลไก บังคับให้พวกเขาต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาทีภายใต้ความกดดัน ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย

  • ซอฟต์แวร์ฝึกสมอง (เช่น NeuroTracker): โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการติดตามวัตถุหลายชิ้น (MOT) ซึ่งช่วยเพิ่มการรับรู้เชิงพื้นที่และความสามารถในการติดตามตัวแปรหลายอย่างพร้อมกัน

  • นิวโรฟีดแบค (Neurofeedback): การตรวจวัดกิจกรรมทางสมอง (โดยใช้ EEG) ระหว่างการฝึก เพื่อช่วยให้นักขับเรียนรู้ที่จะควบคุมสมาธิ ลดความวิตกกังวล และรักษาสถานะทางจิตใจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมภายใต้ความกดดัน

2. การฝึกสภาพจิตใจและปฏิกิริยาตอบสนองทางกายภาพ (Mental and Physical Drills)

  • การวาดภาพในใจและการซ้อมในความคิด (Visualization and Mental Rehearsal): นักขับจะ "ขับ" รอบสนามในความคิด โดยวาดภาพโค้ง จุดเบรก การเปลี่ยนเกียร์ และสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมของสมองและช่วยให้การกระทำในการขับขี่เป็นไปโดยอัตโนมัติมากขึ้น

  • เทคนิคสติและการหายใจ (Mindfulness and Breathing Techniques): เทคนิคต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิและการควบคุมการหายใจ ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มสมาธิที่ต่อเนื่องและจัดการความเครียด/ความวิตกกังวล

  • การฝึกรับลูกบอล (Ball Drills): เป็นการฝึกพื้นฐานแต่มีประสิทธิภาพ โดยโค้ชจะโยนลูกเทนนิสใส่ผนัง (มักจะโยนจากด้านหลังนักขับ) และนักขับจะต้องตอบสนองและรับลูกทันที การฝึกนี้ช่วยพัฒนาปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วแบบไม่จำเพาะเจาะจง

 

 

บทความที่คุณอาจสนใจ

ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
สัมผัสโลกไร้ขีดจำกัดกับทรูไอดี