รีเซต
Sports Profile : ประวัติ เจมี่ วาร์ดี้ จากเด็กโรงงานทำขาเทียม สู่ดาวยิงระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก

Sports Profile : ประวัติ เจมี่ วาร์ดี้ จากเด็กโรงงานทำขาเทียม สู่ดาวยิงระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก

Sports Profile : ประวัติ เจมี่ วาร์ดี้ จากเด็กโรงงานทำขาเทียม สู่ดาวยิงระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก
EkkEReport
24 ธันวาคม 2563 ( 08:00 )
4.2K

ข้อมูลและประวัติล่าสุดของ เจมี่ วาร์ดี้ ชีวิตดั่งเทพนิยายของ ศูนย์หน้าที่เริ่มจากลีกฟุตบอลสมัครเล่น ที่กลายเป็นดาวยิง ผู้สร้างประวัติศาสตร์พา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้แบบสุดเหลือเชื่อ

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้

เกิด : 11 มกราคม 1987 (2530) ที่เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ

อายุ : 33 ปี

สัญชาติ : อังกฤษ

ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า

ส่วนสูง : 179 เซนติเมตร

เส้นทางลูกหนัง

เจมี่ วาร์ดี้ ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 1987 ที่ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดีนัก โดยคุณพ่อของเขา ริชาร์ด กิลล์ วาร์ดี้ มีอาชีพเป็นพนักงานคุมรถเครน ตามสถานที่ก่อสร้าง ส่วน ลิซ่า วาร์ดี้ ผู้เป็นแม่ รับหน้าที่เป็นทนายความ ชีวิตในวัยเด็กของ วาร์ดี้ ต้องดิ้นรนตั้งแต่ยังเล็ก เขาเริ่มหารายได้มาช่วยเหลือครอบครัว ด้วยการเป็นพนักงานในโรงงานทำขาเทียม ที่ซึ่งเขาต้องเผชิญกับสารเคมีอันตรายตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็จำเป็นต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก

อย่างไรก็ตาม ที่โรงงานแห่งนี้เอง ที่ทำให้เขาได้พบกับสิ่งที่เขารัก และได้ค้นพบพรสวรรค์ที่เขามี วาร์ดี้ เริ่มหลงใหลในเกมลูกหนัง หลังจากได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อนที่โรงงาน จากนั้นเขาจึงตัดสินใจเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ทีมในบ้านเกิด ทว่าเขากลับถูกปล่อยตัวออกจากทีมเยาวชนในวัย 16 ปี ทำให้เขาย้ายไปเล่นกับ ทีมสำรองของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ ซึ่งอยู่ใน ดิวิชั่น 8 หรือ ลีกต่ำสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ ในปี 2003

จนกระทั่ง ปี 2007 วาร์ดี้ ในวัย 20 ปี ได้ขยับเลื่อนขึ้นเป็น นักเตะในทีมชุดใหญ่ของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ แต่ทว่าเขากลับได้รับค่าเหนื่อยเพียงแค่ 30 ปอนด์ (ประมาณ 1,618 บาท) ต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงชีพ ทำให้ วาร์ดี้ จึงต้องกลับไปทำงานในโรงงานผลิตขาเทียมอีกครั้ง ควบคู่กับการเตะฟุตบอลไปด้วย

ทว่า แม้จะได้เล่นฟุตบอลในระดับสมัครเล่น ในลีกที่เล็กมากๆ แต่ เจมี่ วาร์ดี้ กลับมีทัศนคติในการเล่นฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม และมีคาแร็คเตอร์ในสนามที่โดดเด่น แตกต่างจากเพื่อนร่วมทีมในตอนนั้น โดย อัลเลน เบเธล ประธานสโมสรของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ เล่าว่า วาร์ดี้ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น อยากเอาชนะ มีความเป็นผู้นำ และยังมีระเบียบวินัยอย่างมาก ในการฝึกซ้อม เขาตั้งใจจะพัฒนาตัวเอง เพื่ออนาคตในเส้นทางสายลูกหนัง ต่างจากนักเตะคนอื่นๆ ที่เล่นฟุตบอลเป็นงานเสริม เพื่อรายได้ และความสนุกสนาน ถึงขนาดที่บางคน ยังเมาค้างไปลงสนามแข่งด้วยซ้ำ "ผมคงต้องบอกว่าเขาคือนักเตะทีดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา" อดีตบี๊กบอสของ วาร์ดี้ กล่าว

ด้วยความจริงจัง และทุ่มเทเต็มร้อย เกินมาตรฐานของลีก ทำให้ฝีเท้าของ วาร์ดี้ โดดเด่น จนได้ย้ายไปร่วมทีม ฮัลลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ทีมในดิวิชั่น 7 ณ ตอนนั้น ในปี 2010 ก่อนที่เขาจะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ และเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 6 ได้สำเร็จ ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายไป และให้หลังเพียงปีเดียว วาร์ดี้ ก็ได้ย้ายไปร่วมทัพ ฟลีตวูด ทาวน์ ทีมในดิวิชั่น 5 ในปี 2011

กระทั่ง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ วาร์ดี้ ก็เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2012 เมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมในลีก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ณ เวลานั้น ตัดสินใจคว้าตัว วาร์ดี้ ไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวราว 1 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะจากนอกลีกอาชีพ ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว อย่างไรก็ดี จากการที่เส้นทางในชีวิตของเขา เกิดพลิกผันแบบก้าวกระโดดเพียงชั่วข้ามคืน มันก็เกือบจะทำให้อนาคตในอาชีพการค้าแข้ง ที่เพิ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ จะต้องจบสิ้นลงด้วยเช่นกัน เมื่อ วาร์ดี้ ที่ไม่เคยได้เงินมากมายแบบนั้น ไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ เขาเริ่มฉลองอย่างหนัก โดยมองว่านี่คือจุดสูงสุดในอาชีพของเขาแล้ว

อย่างไรก็ดี เจมี่ วาร์ดี้ ที่เกือบจะเสียคนไปแล้ว กับความสำเร็จเพียงก้าวแรก กลับมาคิดได้อีกครั้ง ว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร และที่ผ่านมา เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปเพื่ออะไร เขาเริ่มตระหนักได้ หลังได้คุยกับ คุณอัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนั้น ซึ่งจุดนั้นเอง ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เขากลับตัวกลับใจ กลับมาตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม และพัฒนาฝีเท้าตัวเอง เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินมูลค่า 1 ล้านปอนด์ที่ต้นสังกัดจ่ายไป เพื่อเป็นค่าตัวของเขา

โดยในฤดูกาล 2012/13 วาร์ดี้ ลงเล่นให้ เลสเตอร์ ในศึก แชมเปี้ยนชิพ ไป 26 นัด ยิงไป 4 ประตู พร้อมช่วยให้ทีมจบในอันดับที่ 6 ของตาราง คว้าสิทธิ์ไปเล่นเพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นขึ้นสู่ศึกพรีเมียร์ลีก ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็ต้องอกหัก หลังพ่ายให้กับ วัตฟอร์ด ในการเพลย์ออฟ ก่อนที่ วัตฟอร์ด พ่ายให้กับ คริสตัล พาเลซ ในนัดชิง อย่างไรก็ตาม วาร์ดี้ และทัพจิ้งจอกสีน้ำเงิน ไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เมื่อซีซั่น 2013/14 พวกเขาสามารถคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ พร้อมคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ศึก พรีเมียร์ลีก แบบอัตโนมัติได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2014/15 ปีแรกในลีกสูงสุด วาร์ดี้ ต้องเผชิญกับความยากลำบากในลีกที่มีการแข่งขันที่เข้มขัน โดยเขายิงไปได้เพียง 5 ประตู จากการลงสนาม 34 นัดในลีก แต่ก็ยังดีที่สุดท้าย เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถหนีตาย รอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ และจบในอันดับ 14 ของตาราง

แต่แล้ว จุดสูงสุดในเส้นทางค้าแข้งของ วาร์ดี้ ก็มาเยือน แบบไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัวอีกครั้ง เหตุการณ์อันสุดเหลือเชื่อ ที่สร้างความตกตะลึกไปทั่วทั้งโลก และแน่นอนว่าตัวของ วาร์ดี้ เองก็คงจะไม่มีวันลืมเลือน เกิดขึ้นในซีซั่น 2015/16 เมื่อขุนพล "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เพิ่งหนีตกชั้นในปีก่อนมาหมาดๆ กลับสร้างปาฏิหาริย์ คว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก ไปครอง ได้อย่างสุดมหัศจรรย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แล้วก็เป็น เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกชาวอังกฤษรายนี้เอง ที่กลายเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จครั้งนี้ หลังเขาระเบิดฟอร์ม ช่วยทีมยิงไปถึง 24 ประตู คว้าตำแหน่งรองดาวซัลโวของลีก พร้อมพาทีมเถลิงบังลังก์แชมป์ได้อย่างพลิกล็อคช็อกโลก ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด ราวกับเป็น เทพนิยาย เลยก็ว่าได้

จากนั้นมา ถึงแม้ว่า เลสเตอร์ ซิตี้ จะยังไม่สามารถกลับไปยืนยันจุดสูงสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษได้อีก แต่พวกเขาก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้ดี และค่อยๆ รักษามาตราฐานจนกลายเป็นทีมในกลุ่มบนของตารางอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวของ เจมี่ วาร์ดี้ เองก็ยังคงรักษาผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยล่าสุด ในฤดูกาล 2019/20 วาร์ดี้ ที่ยิงไป 23 ประตูในลีก เพิ่งจะคว้าตำแหน่ง ดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีก ไปครองได้สำเร็จ พร้อมสร้างสถิติเป็นนักเตะที่มีอายุมากที่สุดที่ได้รางวัลนี้ ด้วยวัย 33 ปี

ผลงานทีมชาติอังกฤษ

เจมี่ วาร์ดี้ ได้มีโอกาสรับใช้ทัพ ทีมชาติอังกฤษ เป็นครั้งแรก ในยุคของ รอย ฮ็อดจ์สัน ในเกมกระชับมิตร ที่ สิงโตคำราม เจ๊ากับ ไอร์แลนด์ 0-0 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2015 ด้วยวัย 28 ปี 4 เดือน 27 วัน

หลังจากนั้น วาร์ดี้ ก็ติดทีมชาติ เรื่อยมา ในทัวร์นาเม้นต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยูโร 2016 รอบคัดเลือก, ยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส, ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนยุโรป จนกระทั่ง ศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ที่ อังกฤษ ผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนคว้าอันดับที่ 4 ไปครอง แม้ว่า วาร์ดี้ จะไม่สามารถยิงประตูในการแข่งขันครั้งนี้ได้ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หลังจากจบการทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว วาร์ดี้ ในวัย 31 ปี ตัดสินใจหันหลังให้กับทีมชาติ โดยในวันที่ 28 สิงหาคม 2018 เขาได้บอกกับ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ ว่า เขาตั้งใจจะเปิดโอกาสให้กับผู้เล่นดาวรุ่งได้เข้ามาติดธง อีกทั้งเขายังต้องการที่จะมุ่งโฟกัสไปที่การลงเล่นให้กับสโมสร รวมถึงให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น จึงขอเลิกเล่นในนามทีมชาติ หลังจากที่ได้สวมเสื้อสิงโตคำราม ลงสนามไปทั้งสิ้น 26 นัด โดยทำไป 7 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์

เกียรติประวัติ

เลสเตอร์ ซิตี้ :

  • แชมป์ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย : 2015/16
  • แชมป์ แชมเปี้ยนชิพ 1 สมัย : 2013/14

รางวัลส่วนตัว :

  • นักเตะยอดเยี่ยมของ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย : 2015/16
  • นักเตะยอดเยี่ยมของ สมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล (FWA) 1 สมัย : 2015/16
  • ดาวซัลโวสูงสุด (โกลเด้นบูท) ของ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย : 2019/20
  • นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ 1 สมัย : 2019/20
  • ติดทีมยอดเยี่ยมของ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย : 2015/16, 2019/20

 

"เอกกี้รีพอร์ต"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

>> Sports Profile : ประวัติ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จากแข้งผู้สร้างตำนาน 3 แชมป์ สู่กุนซือผีแดง

>> Sports Profile : ประวัติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิงผู้ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกในรอบ 30 ปี

 

ดูสดฟรี!! ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ทุกสัปดาห์ พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม ต้อง App TrueID เท่านั้น

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ >> คลิกที่นี่

เก็งไม่มีพลาด! ฟันธงคู่ไหนเด็ด! เจาะลึกก่อนเกมพรีเมียร์ลีก สมัครทาง SMS พิมพ์ R1 ส่งมาที่ 4238066 หรือคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้

ยอดนิยมในตอนนี้