รีเซต
10 โมเมนต์ชวนเรียกน้ำตาแห่งความทรงจำของโอลิมปิก | Main Stand

10 โมเมนต์ชวนเรียกน้ำตาแห่งความทรงจำของโอลิมปิก | Main Stand

10 โมเมนต์ชวนเรียกน้ำตาแห่งความทรงจำของโอลิมปิก | Main Stand
เมนสแตนด์
1 สิงหาคม 2564 ( 16:30 )
134

โอลิมปิก ไม่ได้มีแค่เรื่องของเหรียญรางวัลและผลการแข่งขันให้พูดถึงเท่านั้น เพราะที่จริงแล้ว สตอรี่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้การชิงความเป็นเลิศนั้นก็ถือเป็นเสน่ห์ที่สร้างความประทับใจได้ทุกยุคทุกสมัย

 


และนี่คือ 10 เหตุการณ์ที่พีคจนทำให้แฟนกีฬาทั่วโลกลงมติว่า “พีคจนน้ำตาไหล” ตลอดกาลจากทุกการแข่งขันโอลิมปิกก่อนหน้านี้ 

 

คบเพลิงอันสั่นไหวของ มูฮัมหมัด อาลี

มูฮัมหมัด อาลี ยอดนักมวยชาวอเมริกันเคยขึ้นโพเดี้ยมรับเหรียญทองโอลิมปิกมาแล้วในปี 1966 ในเวลานั้นร่างกายของเขาแข็งแรง ท่าทางสง่างาม และได้คล้องเหรียญทอง จนกลายเป็นขวัญใจของคนทั้งชาติ เขากลายเป็นสัญลักษณ์ถึงความแข็งแกร่งสำหรับโลกนี้ ตลอดช่วงอาชีพนักชกและราชารุ่นเฮฟวี่เวตของเขา

อย่างไรก็ตาม 30 ปีต่อมา อาลี กลับมาสู่การแข่งขันโอลิมปิก 1996 ที่กรุงแอตแลนต้า อีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อแข่งขัน แต่มาเพื่อเป็นผู้เชิญคบเพลิงโอลิมปิก และความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างคือ เขาไม่ใช่อาลีคนเดิมอีกต่อไปแล้วหากมองจากภายนอก

อาลี ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน (โรคที่เกิดจากการเสื่อมของสมอง สาเหตุของโรคนี้เกิดขึ้นจากเซลส์สมองตาย) ซึ่งส่งผลให้อาลีมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ และมือจะสั่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเขาต้องสู้กับโรคนี้มาตั้งแต่ปี 1984  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้รับเชิญจากฝ่ายจัดให้เป็นผู้จุดคบเพลิงโอลิมปิก ซึ่งเจ้าตัวตอบรับ และให้เหตุผลว่า นี่คือการแสดงความเข้มเเข็งของมนุษย์ เพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจกับคนที่ท้อแท้และสิ้นหวังในการเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ

แม้ในวันจริงการจุดคบเพลิงของ อาลี จะเป็นไปอย่างทุลักทุเลและต้องลุ้นกันแทบลืมหายใจ เพราะมือของเขาสั่นตลอดเวลา และสีหน้าของเขานิ่งจนน่ากลัว ร่างกายของเขาก็ดูอ่อนแรงเหมือนพร้อมจะล้มตลอดเวลา แต่สุดท้ายเเล้ว อาลี ก็ค่อย ๆ ประคองตัวเองจนจบภารกิจจุดคบเพลิงได้สำเร็จ พร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้องจากแฟน ๆ ที่เข้ามาชมพิธีเปิดในวันนั้น ซึ่งวินาทีการจุดคบเพลิงของ อาลี นั้น ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์โอลิมปิกที่คลาสสิกที่สุดเหตุการณ์หนึ่งจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ 

 

จิม และ ดีเร็ค ... ลูกแพ้ แต่พ่อไม่ยอม 

ดีเร็ค เร้ดมอนด์ คือนักกรีฑาของทีมสหราชอาณาจักรที่มาเเข่งขันในโอลิมปิก 1992 ที่พยายามอย่างมากในการล่าเหรียญทองเหรียญแรกของตัวเองให้ได้ เขาเคยพลาดหวังกับการแข่งขันเมื่อ 4 ปีก่อน และครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาในโอลิมปิกเเล้วก็ได้ ดีเร็ค จึงทุ่มทุกอย่างที่มีเพื่อสานฝันที่รอมาทั้งชีวิต และคนที่คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเขามาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นอย่าง จิม เร้ดมอนด์ ผู้เป็นพ่อก็รู้ดีว่าครั้งนี้ลูกชายของเขาจะทุ่มสุดตัว

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันจริงไม่ง่ายดั่งใจคิด ดีเร็ค ผ่านรอบคัดตัวมาด้วยการทำเวลาดีที่สุด จนกระทั่งมาถึงรอบ เซมิ ไฟนอล หรือรอบรองชนะเลิศ อีกก้าวเดียวเขาจะมีโอกาสไปถึงเหรียญทองเเล้ว ทว่าหลังจากออกสตาร์ตได้ไม่ถึงครึ่งทางเสียงในร่างกายของเขาก็ดังเปรี๊ยะ ซึ่งมาจากอาการของ กล้ามเนื้อด้านหลังขา (Hamstring) ฉีกขาด ทำให้เขาล้มลงในทันที 

จิม ผู้เป็นพ่อที่เชียร์ลูกชายอยู่บนอัฒจันทร์ คิดว่าลูกชายของเขาคงยกมือถอนตัวจากการเเข่งขันหลังจากล้มลงด้วยท่าทางเจ็บปวด ทว่า ดีเร็ก กลับลุกขึ้นยืนและค่อย ๆ เดินไปทีละก้าวอย่างช้า ๆ ด้วยความทรมาน จิม จึงอดไม่ไหวต้องลงไปถึงข้างสนามและบอกให้ลูกชายของเขาถอนตัว 

"ผมถูกส่งมาให้เข้าเส้นชัย ไม่ได้ถูกส่งมาให้ล้มลงแบบนี้" ดีเร็ค ว่าแบบนั้น และพ่อของเขาก็ตอบไปว่า " งั้นเรามาเข้าเส้นชัยไปด้วยกัน พ่อจะพยุงแกเหมือนตอนแกหัดเดินตอนเด็ก ๆ แกล้มมากี่ครั้งพ่อยังพยุงได้ ทำอีกทีคงไม่ลำบากอะไร "

เขาพยุงลูกชายจนเข้าเส้นชัยไปพร้อมกันในท้ายที่สุด แม้ว่าจะเป็นการแพ้ฟาวล์และผิดกติกา แต่วินาทีที่สายสัมพันธ์ของพ่อลูกได้แสดงออกให้คนทั้งโลกรู้ มันคือความประทับใจที่คลาสสิกที่สุดบทหนึ่งในการแข่งขันโอลิมปิกอย่างไม่ต้องสงสัย 

 

เฮือกสุดท้ายของ มาเธียส สไตเนอร์  (Matthias Steiner) 

นักยกน้ำหนักชาวเยอรมันแข่งขันโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่งด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ภรรยาของเขาเพิ่งจากไปจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อปีก่อน และคำพูดตอนที่เขาพูดกับเธอสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่คือ "ผมจะเป็นแชมป์ให้คุณดู"  ... แต่มันก็ไม่ทันเวลา เธอไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกเเล้ว

อย่างไรก็ตามหน้าที่ก็ต้องมาก่อน มาเธียส ลงเเข่งขันขันในรุ่นน้ำหนัก 105 กิโลกรัม โดยในการแข่งขันเขากำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะยังขาดน้ำหนักอีกถึง 10 กิโลกรัม ในการยกครั้งต่อไปถึงจะได้เหรียญทอง 

มาเธียส มีทางเลือก 2 ทาง 1. เพลย์เซฟ เพื่อลุ้นเหรียญทองเเดงหรือเหรียญเงินกลับบ้าน หรือ 2. เขาจะต้องเรียกน้ำหนักเกินกว่าที่ตัวเองเคยฝึกมาเพื่อเดิมพันว่าจะเอาเหรียญทองหรือกลับบ้านได้หรือเปล่า ... เขารู้อยู่แต่แรกเเล้วว่าจะต้องมาแข่งเพื่อเอาเหรียญทอง ดังนั้นเขาจึงเรียกน้ำหนักให้มากที่สุดในการยกครั้งสุดท้ายที่เป็นการเดิมพันทุกอย่าง

มาเธียส ขึ้นเวทีพร้อมส่งเสียงคำรามและตัดสินใจยกลูกเหล็กขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี และยืดค้างเป็นระยะเวลาราว 5 วินาที สุดท้ายเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณว่า "ผ่าน" มาเธียส จึงระเบิดอารมณ์สุดเหวี่ยงในทันที 

ตอนแรกโลกไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงสะใจได้ขนาดนั้น จนกระทั่งตอนขึ้นโพเดี้ยม เขาเอารูปของผู้หญิงคนหนึ่งออกมา และนั่นคือ ซูซาน ภรรยาผู้จากไปของเขานั่นเอง จากนั้นทุกคนก็เลิกสงสัยทันทีว่าเขาเอาเเรงเฮือกนี้มาจากไหน 

"ผมแค่อยากแสดงให้โลกเห็นว่าใครอยู่ข้างผม ผมไม่อยากขึ้นเวทีเพื่อรับเหรียญทองนี้เพียงคนเดียว" มาเธียส กล่าวทิ้งท้าย 

 

วลีเด็ดในตำนาน "ผมเจ็บมาเยอะ" 

"ผมเจ็บมาเยอะ ผมโดนมาเยอะ อยากให้คนไทยสู้ สู้อย่างผม" วลีเด็ดของ สมจิตร จงจอหอ เกิดขึ้นในการแข่งขันมวยสากลในโอลิมปิกเมื่อปี 2008  

กว่าจะมาเป็นคำพูดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการปั้นคำสวย ๆ เพื่อเรียกความประทับใจ เพราะสมจิตรผ่านความเจ็บปวดมาจริง ๆ เพราะเขามีประสบการณ์ความพ่ายแพ้นับไม่ถ้วน รวมถึงโอลิมปิก 2004 ที่ กรีซ ที่ สมจิตร ไม่ได้เหรียญกลับมา และเจ้าตัวยังเล่าอีกว่าในวันที่เดินทางกลับประเทศไทยและเห็นเพื่อน ๆ ร่วมอาชีพได้รับการต้อนรับแบบฮีโร่ แต่ตัวของเขาเป็นได้เพียงแค่ตัวประกอบฉาก มันคือเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเกือบจะตัดสินใจเลิกเล่น ก่อนกลับมาตั้งใจและลบจุดอ่อนทั้งหมดที่ตัวเองมี ... และสุดท้ายเขาก็ผงาดในโอลิมปิกที่ปักกิ่งจนได้ 

หากใครได้ชมการถ่ายทอดสดในวันนั้นก็น่าจะจำน้ำตาแห่งความตื้นตันและสัมผัสได้ถึงการปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมาทั้งหมดได้เป็นอย่างดี และประโยค "ผมเจ็บมาเยอะ" ก็กลายเป็น ไวรัล ระดับประเทศในช่วงเวลานั้นอีกด้วย 

 

แก้ว พงษ์ประยูร น้ำตาของผู้แพ้อันแสนเจ็บปวด 

แก้ว พงษ์ประยูร นักชกชาวไทยรายนี้ใช้เวลาถึง 12 ปี บนสายอาชีพหมัดมวย กว่าจะผลักดันตัวเองให้ได้ไปแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรก ที่กรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพ 

แก้ว ไม่ใช่ตัวเต็งประจำรายการนี้ ทว่าเมื่อการแข่งขันจริงมาถึง เขาสามารถรีดฟอร์มเก่งออกมาได้ถูกที่ถูกเวลา เขาพีคขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรอบชิงชนะเลิศที่ต้องพบกับ ซู ชิหมิง (หรือ โจว ซื่อหมิง ตามชื่อภาษาจีนที่ถูกต้อง) และในครั้งนั้นคนไทยทุกคนจำได้ดีว่าเป็นอีกแมตช์ที่ แก้ว ต่อยได้สนุก มันได้ใจคนดูจนดูยังไง แก้ว ก็น่าจะเป็นผู้ชนะ ทว่าสุดท้ายหลังจบ 3 ยก กรรมการยกมือให้ ซู ชิหมิง เป็นผู้ชนะและคว้าเหรียญทองไปครองอย่างค้านสายตาชาวไทย

แม้เหรียญเงินจะเป็นสิ่งที่เกินเป้า แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันทำให้ แก้ว ต้องร้องไห้ เพราะเขารู้สึกว่าเขาเข้าใกล้ความฝันจนแทบจะเอามือไปแตะมันได้เเล้วแท้ ๆ ทว่าสุดท้ายเขากลับโดนกระชากเหรียญไปต่อหน้าต่อตา 

สิ่งที่คนไทยได้เห็นจนกระทั่งการขึ้นรับเหรียญคือ "จ่าเเก้ว" ต้องเสียน้ำลูกผู้ชาย เขาทรุดตัวลงกับพื้นแบบหมดอาลัยตายอยาก และเมื่อมีโอกาสสัมภาษณ์กับสื่อไทยเขาก็ร้องไห้จนทำให้ชาวไทยจำภาพนั้นได้อย่างติดตา จนกลายเป็นกระแสอยู่พักใหญ่ … และวันที่ แก้ว เดินทางกลับประเทศ แฟน ๆ ก็มาต้อนรับและให้กำลังใจเขาเพื่อบอกให้เขารู้ว่า "เขาชนะใจคนดูเเล้ว" 

"มันตื้นตันมากที่ทุกคนมองเห็นและเข้าใจ ว่าผมทำเต็มที่แล้วแต่ได้มาแค่นั้น แล้วก็ ... (หยุดนิ่งไปสักพัก พยายามกลั้นน้ำตา) มีคนไทยมาให้กำลังใจเยอะมาก ... ทั้งที่ผมเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่แย่สุด ๆ มาแท้ ๆ" แก้ว เล่าเหตุผลที่ทำให้ความเจ็บปวดครั้งนั้น ไม่ได้ทำร้ายเขามากจนชีวิตต้องพังทลาย 

 

Like A Boss

เคอร์รี่ สตรัก คือนักยิมนาสติกสาวชาวอเมริกัน ได้รับการจับตามองมาก ๆ ในการแข่งขันโอลิมปิกที่แอตแลนต้า เมื่อปี 1996 เพราะเธอเคยผ่านโอลิมปิกที่ บาร์เซโลน่า มาเเล้ว 1 ครั้ง (ได้เหรียญทองเเดง) และในช่วงเวลา 4 ปี เธอก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเบอร์ 1 ของวงการ 

อย่างไรก็ตามเส้นทางในการแข่งขันจริงไม่ได้ง่ายราวกับเป็นพล็อตของภาพยนตร์ หาก เคอร์รี่ ฟิตเต็ม 100% อย่างไรเสียเธอก็มีโอกาสชนะสูงแน่นอน ดังนั้นพระเจ้าจึงส่งบททดสอบสำคัญมาให้กับเธอ ด้วยการเล่นในศึกชิงเหรียญทอง และมีอาการข้อเท้าพลิกอย่างรุนแรงจากการตีลังกาและลงพื้นไม่ดีในช่วงแรก 

เธอเจ็บสุดขีด แค่ยืนลงน้ำหนักยังทำไม่ไหว ทว่านี่คือโอกาสคว้าเหรียญทองครั้งสำคัญ ขณะที่โค้ชของเธอส่งสัญญาณบอกมาว่า "ยังมีโอกาสชนะ" ถ้าเธอสามารถปิดโชว์ด้วยการแลนดิ้งสวย ๆ ได้ ... ซึ่งมันยากมากกับสภาพที่เป็นอยู่ 

อย่างที่ได้กล่าวไว้นี่คือพล็อตหนังระดับฮอลลีวูด เคอร์รี่ สูดลมหายเข้าและพ่นออกเฮือกใหญ่ ก่อนจะวิ่งเต็มแรงราวกับขาไม่มีอาการเจ็บปวด และเริ่มขึ้นตีลังกาเกลียวปิดท้าย 

"ฉึบ" เธอลงพื้นอย่างนิ่มนวลจนผู้บรรยายบอกว่า "เหนือชั้นสุดขีด (Like A Boss)" และนั่นคือเเรงเฮือกสุดท้าย เพราะหลังจากได้รับการตัดสินว่าเป็นผู้ชนะ โดยมีคะแนนเป็นอันดับ 1 พร้อมคว้าเหรียญทองมาได้นั้น เธอก็เดินไม่ไหวอีก จนถึงขั้นต้องให้โค้ชอุ้มขึ้นไปรับเหรียญรางวัลและให้สัมภาษณ์กับสื่อเลยทีเดียว

 

ถ้าอยากชนะ ใจอย่าแพ้ 

ซอฟต์บอล อาจจะเป็นกีฬาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเล่นกันเยอะ และพวกเขาก็มีทีมที่ดีพอใช้ได้ แต่มันยากมากหากต้องเจอกับเจ้าตำรับอย่าง สหรัฐอเมริกา

ญี่ปุ่น จะต้องมาเจอกับ สหรัฐอเมริกา ในการแข่งขันซอฟต์บอลหญิงในโอลิมปิกปี 2008 ณ เวลานั้น อเมริกา คือเบอร์ 1 ของโลกและมีทีมที่ไม่เคยแพ้ใครในโอลิมปิกเลยมาตลอด 20 ปีหลังสุด (แข่ง 4 ครั้ง เหรียญทอง 4 ครั้ง) ดังนั้นนี่จึงเป็นงานที่โหดหินที่สุดของสาวญี่ปุ่น 

อย่างไรก็ตามทีมญี่ปุ่นชุดนี้กลับกลายเป็นทีมที่ลงเล่นด้วยความมุ่งมั่น สีหน้าของผู้เล่นแต่ละคนในทีมแสดงถึงแพชชั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาพุ่งสุดตัวในทุกจังหวะ และจากที่เป็นรองอเมริกาในช่วงแรก ๆ ของการแข่งขัน แต่เมื่อทีมญี่ปุ่นเครื่องติด ออร่าแห่งความเป็นผู้ชนะก็บังเกิด ... อเมริกา ยิ่งเล่นยิ่งผิดพลาด ขณะที่ญี่ปุ่นยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ เล่นไปเล่นมากลายเป็นว่าผู้เล่นญี่ปุ่นตัวใหญ่ขึ้นและข่มอเมริกาจนอยู่หมัด สุดท้ายทีมซอฟต์บอลหญิงของญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายชนะไป 

เหนือกว่าชัยชนะคือพลังใจที่เเข็งแกร่ง พวกเธอร้องไห้กันด้วยความตื้นตัน และนั่นช่วยแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขา "เดิมพัน" ความพยายามทั้งหมดไปกับการแข่งขันครั้งนี้อย่างแท้จริง 

 

น้ำตานองที่เอเธนส์ 

พอลล่า แรดคลิฟฟ์ คือนักวิ่งมาราธอนหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก และรางวัลเดียวที่เธอไม่เคยทำได้คือรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิก ดังนั้นเธอจึงฟิตซ้อมมาอย่างดีเพื่อจะเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในการแข่งขันที่เอเธนส์ 

แน่นอนเธอออกสตาร์ตแบบตัวเต็งและดูแล้วไม่น่ามีใครสู้ไหว ทว่าหลังออกสตาร์ตแลัววิ่งไปได้สักพัก เธอก็ช้าลงเรื่อย ๆ และน้ำตาของเธอก็เริ่มไหลออกมา สุดท้ายแล้วเธอไปต่อไม่ได้จริง ๆ อาการบาดเจ็บที่ขาที่เรื้อรังมาตั้งแต่ก่อนเเข่งมากำเริบเอาในช่วงเวลาสำคัญ สุดท้ายเธอประกาศถอนตัวจากการเเข่งขันทั้ง ๆ ที่เหลือระยะทางอีกแค่ 3 ไมล์เท่านั้น 

เธอถอยตัวออกจากลู่วิ่งและไปนั่งบนสนามหญ้า นั่งรอดูทุกคนเข้าเส้นชัย เส้นชัยที่เธอควรจะเป็นผู้ไปถึงก่อนใคร ด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ เพราะนี่คือโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของเธอเเล้ว... 

 

ไม่ต้องการชัยชนะจากการเพิกเผยต่อความตาย

นี่คือเรื่องราวสุดคลาสสิกจากการแข่งขันเรือใบเชลลิ่ง จากการแข่งขันโอลิมปิก ปี 1988 และชายที่เป็นพระเอกของงานคือ ลอว์เรนซ์ เลอเมอซ์ ( Lawrence Lemieux ) กะลาสีชาวเเคนาดา 

Photo : www.independent.co.uk

เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น เลอเมอซ์ ทำผลงานได้ดีเกินคาด เขาเริ่มออกนำและอาจจะนำพาไปสู่การชนะแบบม้วนเดียวจบ ทว่าทุกอย่างก็ต้องสะดุดในทันที เมื่อเขาเหลือบไปเห็นสองผู้เข้าแข่งขันจาก สิงคโปร์ ที่เจอคลื่นซัดจนเรือล่ม เลอเมอซ์ จึงตัดสินใจทิ้งเหรียญทองที่รออยู่เพื่อไปช่วยทั้งสองคนนั้น และนั่นคือความเสียสละที่ทำให้เขาถูกกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้

แม้ผลจากการแข่งขันนั้นจะไม่ได้รางวัลอะไรเลย แต่ เลอเมอซ์ ก็ได้รับการยกย่องจากแฟน ๆ ทั่วโลกเป็นอย่างมาก มากจนกระทั่งที่ว่าคณะกรรมการโอลิมปิกสากลยังต้องทำเหรียญรางวัลพิเศษเพื่อมอบให้กับเขาเพียงคนเดียวในการเเข่งขันครั้งนี้ 

 

ที่สองผู้ไม่มีใครจำ 

เมื่อพูดถึงนักวิ่ง โลกต่างจดจำชื่อของ ยูเซน โบลท์ นักวิ่งฝีเท้าจัดจากจาเมกาเป็นคนแรกเสมอ ... โบลท์ เร็วเป็นอันดับ 1 ของโลกแบบไม่มีใครตามทัน ใคร ๆ ก็เชื่ออย่างนั้น 

ทว่ามีชายคนหนึ่งที่วิ่งตามหลังเขาและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 ด้วยระยะห่างเพียง 0.01 วินาทีเท่านั้น และน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อเขา ไทสัน เกรย์ 

นักวิ่งชาวอเมริกัน รับรู้ถึงแรงกดดันมาตลอดก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เขารู้ว่าจะต้องเจอเบอร์ 1 ของโลกแต่เขาก็พยายามซ้อมจนอยู่ในความฟิตขั้นสูงที่สุดของตัวเองเเล้ว เพียงแต่ว่ามันยังไม่ดีพอเท่านั้น 

ในโอลิมปิกปี 2012 เกรย์ พยายามวิ่งตามโบลต์และหวังจะแซง "เทพเจ้าสายฟ้า" ให้ได้  ทว่าเขาก็ทำได้เพียงแค่เข้าใกล้ และเข้าเส้นชัยห่างกันไปเพียงแค่ 0.01 วินาทีเท่านั้น ... ตัดสินด้วยตาเปล่าไม่ได้ด้วยซ้ำจากระดับเสี้ยววินาทีเช่นนี้ 

หลังจากที่แพ้ เกรย์ เข่าทรุดลงกับคอร์ตวิ่ง และเมื่อเขาถูกนักข่าวสัมภาษณ์ว่าอยากจะพูดอะไรไหม เขาพูดได้เพียง 1 ประโยคเท่านั้น นั่นคือ "ผมพยายามแล้ว ผมพยายามอย่างที่สุดแล้วจริง ๆ ขอโทษทุกคนด้วย" แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมา แทนการยอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง 

 

แหล่งอ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/olympics/57824699
https://www.eonline.com/news/785399/8-emotional-olympic-moments-that-probably-made-you-grab-a-tissue
https://bleacherreport.com/articles/1220638-the-15-biggest-tear-jerking-moments-in-summer-olympic-history

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ดูสดฟรี!! ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ทุกสัปดาห์ พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม ต้อง App TrueID เท่านั้น

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ >> คลิกที่นี่

อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
คลิกเลย!! bit.ly/2PsYXMG หรือ กด *301*32# โทรออก

ยอดนิยมในตอนนี้