ทรูไอดีพรีวิว พรีเมียร์ลีก 20/21 : "ลิเวอร์พูล" กับฤดูกาลที่เปลี่ยนจาก ผู้ไล่ล่า มาเป็น ผู้ถูกล่า!
ทรูไอดีพรีวิว พรีเมียร์ลีก 20/21
ลิเวอร์พูล
บทสรุปผลงานซีซั่นก่อน
ค.ศ.2020 เป็นปีที่ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า “โลก” เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นหลายอย่าง อาทิ ไฟป่าออสเตรเลีย, ฝุ่น PM 2.5 ทั่วเอเชีย, ความขัดแข้งสหรัฐ-อิหร่าน, การเคลื่อนไหว Black Lives Matter และที่สำคัญคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักในทุกมิติต่อมนุษย์จนถึงปัจจุบันและอนาคต
และอีกหนึ่งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจดจำ นั่นคือการผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล!!
แชมป์พรีเมียร์ลีก 2019-2020 คือแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในรอบ 30 ปีของลิเวอร์พูล แถมยังเป็นการครองแชมป์ที่เรียกได้ว่า “ขาดลอย” ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยลูกทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ระเบิดฟอร์มสุดโหด เก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น จนสุดท้ายทะยานเข้าเส้นชัยด้วยการมีคะแนนทิ้งห่างอันดับสอง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 18 แต้ม
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังสร้างสถิติพรีเมียร์ลีกขึ้นมาอีกมากมายหลายอย่าง รวมไปถึงเกียรติยศส่วนตัวอีกหลายรางวัล อาทิ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ซิวรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PFA) จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจากสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลอังกฤษ (FWA) ขณะที่กุนซือ เจอร์เกน คล็อปป์ เบิ้ลรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก และผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมจากสมาคมผู้จัดการทีมฟุตบอลลีกอาชีพของอังกฤษ (LMA)
ขณะเดียวกัน นอกจากแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว ลิเวอร์พูลยังมีโทรฟี่ติดมืออีก 2 ใบคือแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และแชมป์สโมสรโลก หรือฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ เรียกได้ว่าเป็นซีซั่นสุดยิ่งใหญ่ของทีมหงส์แดงอย่างแท้จริง ซึ่งสาวก “เดอะค็อป” จำนวนไม่น้อยต่างบอกว่า ไม่เคยมีความสุขกับการเชียร์ทีมรักขนาดนี้มาก่อนเลย
ขุมกำลังซีซั่นนี้
เดยัน ลอฟเรน และ อดัม ลัลลาน่า คือสองแข้งดังที่เก็บกระเป๋าออกจากถิ่นแอนฟิลด์ไปแล้ว ส่วนนักเตะใหม่ที่เดินสวนเข้ามา มีเพียง คอสตาส ซิมิกาส ฟูลแบ็กทีมชาติกรีซจากโอลิมเปียกอส เพียงรายเดียวเท่านั้น และต้องยอมรับว่าไม่ใช่แข้งระดับ “บิ๊กเนม” ที่เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลได้สักเท่าไร
จริงๆแล้ว ช่วงที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลตกเป็นข่าวกับผู้เล่นหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะ ติอาโก้ อัลคันตาร่า มิดฟิลด์ของบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งมีข่าวต่อเนื่องมาพักใหญ่ๆแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่มีภาพชูเสื้อปรากฏออกมาให้เห็น ซึ่งเหล่าเดอะค็อปก็หวังว่าพวกเขาจะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ทีมเพิ่มอีก ก่อนที่ตลาดนักเตะจะปิดลงในเดือนตุลาคม
ขณะเดียวกัน แฟนหงส์ยังต้องลุ้นให้ทีมรั้งผู้เล่นตัวหลักให้อยู่กับทีมต่อไปด้วย โดยเฉพาะรายของ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มิดฟิลด์เลือดดัตช์ ที่มีแววว่าจะย้ายไปร่วมงานกับ โรนัลด์ คูมัน กุนซือชาติเดียวกัน ที่บาร์เซโลน่า
ไม่ปฏิเสธว่า ขุมกำลังชุดเดิมที่ลิเวอร์พูลมีอยู่นั้นก็ถือว่าแข็งแกร่ง และเข้าขากันดีอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนเข้าใจแท็คติกของคล็อปป์เป็นอย่างดี เรียกว่าแทบไม่ต้องเสียเวลาปรับจูนอะไรให้มากความ
แต่มันคงจะดีกว่า ถ้าหากลิเวอร์พูลสามารถกระชากตัวผู้เล่นชั้นยอดเข้ามายกระดับทีมให้แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก ซึ่งมีเพียง เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค เพียงรายเดียวที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้
คีย์แมนจับตามอง
บรรดากูรู รวมถึงแข้งระดับตำนานทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายคนยกให้ “เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค” คือเซนเตอร์แบ็กหมายเลข 1 ของโลกในเวลานี้
ความสำเร็จของลิเวอร์พูลในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ฟาน ไดจ์ค เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่เข้ามาทำให้เกมรับของทีมหงส์แดงแข็งแกร่งขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะปักหลักยืนเป็นเซนเตอร์คู่กับใคร แนวรับทีมชาติฮอลแลนด์รายนี้ก็จะทำให้เพื่อนร่วมทีมอีกคนโชว์ฟอร์มได้ดีตามไปด้วย
ไม่เพียงแต่เกมรับที่ไว้ใจได้ ฟาน ไดจ์ค ยังมีทีเด็ดจากการวางบอลจากหลังไปหน้า อีกทั้งเติมขึ้นไปทำประตูได้บ่อยครั้ง โดยฤดูกาลที่ผ่านมา “VVD” ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 5 ลูก เป็นรองเพียง 3 ประสานแดนหน้าคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 19 ประตู, ซาดิโอ มาเน่ 18 ประตู และโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ 9 ประตูเท่านั้น
นอกจาก ฟาน ไดจ์ค แล้ว ลิเวอร์พูลยังมีผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นอีกหลายคน ทั้งฟูลแบ็กสองข้าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน รวมถึงหน่วยล่าสังหารในแดนหน้า ซาลาห์ มาเน่ และฟีร์มิโน่
และอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “กัปตันทีม” จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งอาจจะไม่ได้โชว์ฟอร์มหวือหวาเหมือนผู้เล่นคนอื่นๆ แต่ซีซั่นที่ผ่านมา “เฮนโด้” ทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา และเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลาง บวกกับคุณสมบัติความเป็นผู้นำที่คอยปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ จนดาวเตะวัย 30 รายนี้คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจากสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลอังกฤษไปนอนกอดเป็นที่เรียบร้อย
บทวิเคราะห์และทำนายอันดับ
หากพิจารณาจากขุมกำลังที่มีอยู่ ลิเวอร์พูลยังดู "ลงตัว" กว่าคู่แข่งทีมอื่นๆอยู่ แม้จะไม่ได้เสริมตัวผู้เล่นอะไรมากมายนักก็ตาม โดยทีมคู่แข่งก็มีเพียง เชลซี ที่เสริมทัพได้น่ากลัว แต่การได้นักเตะใหม่เข้ามาหลายคน นั่นอาจหมายถึงการที่ทีมสิงห์บลูส์ต้องใช้เวลาปรับจูนนักเตะให้เล่นเข้าขากันด้วย
ผิดกับทัพหงส์แดง ซึ่งนักเตะยังเป็นชุดเดิมๆ และต้องไม่ลืมว่านี่คือทีมที่คล็อปป์คลุกคลีและใช้เวลาสร้างขึ้นมาในช่วง 2-3 ปีหลัง ดังนั้นหายห่วงเรื่องความเข้าใจในเกมและแท็คติกที่คล็อปป์ต้องการ อาจพูดได้ว่าโค้ชและนักเตะต่างรู้ใจซึ่งกันและกันก็คงไม่ผิดนัก
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าลิเวอร์พูลจะนิ่งนอนใจได้ เพราะนี่คือครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่พวกเขาจะมีสถานะเป็น “ผู้ถูกล่า” จากบรรดาคู่แข่งที่่จ้องจะกระชากหงส์แดงตัวนี้ลงจากบัลลังก์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทีมหงส์แดงสวมวิญญาณ “ผู้ไล่ล่า” ทีมอื่นมาตลอด 3 ทศวรรษ เหมือนกับวลีที่ใช้กันมาทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ การเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่การป้องกันแชมป์นั้นยากยิ่งกว่า
สำหรับจุดที่ลิเวอร์พูลต้องกังวลคือ “เซนเตอร์แบ็ก” เพราะอย่างที่บอกไปข้างต้นว่ามีเพียง ฟาน ไดจ์ค คนเดียวที่พอจะอุ่นใจได้ และซีซั่นที่ผ่านมาก็ถือว่า พวกเขาโชคดีที่ ฟาน ไดจ์ค ไม่บาดเจ็บหนักเลย และได้ลงสนามครบทั้ง 38 นัดในลีก
ลองนึกภาพ ฟาน ไดจ์ค เจ็บพักยาว และต้องทนใช้ โจ โกเมซ กับ โจเอล มาติป ยืนคู่กันสัก 1-2 เดือน เดอะค็อปจะระทึกใจกันแค่ไหน!
ดังนั้นช่วงก่อนปิดตลาด ลิเวอร์พูลควรจะมีปราการหลังฝีเท้าดีเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์อีกสักคน ไม่งั้นก็ต้องลุ้นให้ ฟาน ไดจ์ค แคล้วคลาดจากอาการบาดเจ็บเหมือนปีที่ผ่านมา
และอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องของ “ความกระหาย” เพราะหลังจากแข้งหงส์ได้สัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้วในซีซั่นที่ผ่านมา ไม่มีใครการันตีได้ว่าจะมีนักเตะคนใดที่มีความกระหายลดลงไปบ้างหรือไม่ ซึ่งนี่เป็นการบ้านอีกหนึ่งข้อที่ คล็อปป์ ต้องพยายามกระตุ้นให้ลูกทีมเอาจริงเอาจังและทุ่มเทเกินร้อยทุกนัดเหมือนเดิม
หากคล็อปป์ทำได้ บวกกับขุมกำลังที่ไร้ปัญหา ก็มีโอกาสที่เดอะค็อปจะได้สตาร์ทรถแห่ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน!
อันดับที่คาด : อันดับที่ 1
----------------------------------
ทรูไอดีพรีวิว พรีเมียร์ลีก 20/21
• ลิเวอร์พูล .. กับฤดูกาลที่เปลี่ยนจาก ผู้ไล่ล่า มาเป็น ผู้ถูกล่า!
• แมนเชสเตอร์ ซิตี้ .. กับปฏิบัติการทวงคืนแชมป์
• แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด .. กับปีที่ต้องมองไกลกว่าท็อปโฟร์
• เชลซี .. กับการนำ สิงห์บลูส์ ตัวนี้กลับมาผงาด
• เลสเตอร์ ซิตี้ .. กับการทวงคืนอันดับ 4 ที่พลาดไป
• สเปอร์ส .. กับการปีนกลับขึ้นสู่บิ๊ก 4 อีกครั้ง
• วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส .. กับความหวังในการไปยุโรป
• อาร์เซน่อล .. กับภารกิจทวงความยิ่งใหญ่
• เอฟเวอร์ตัน .. กับฤดูกาลพิสูจน์ฝีมือ คาร์โล อันเชลอตติ
• ลีดส์ ยูไนเต็ด .. กับการคัมแบ็กสู่พรีเมียร์ลีกในรอบ 16 ปี
-----------------------------
ดูบอลสดพรีเมียร์ลีก ได้ฟรีทางช่อง ไอดี สเตชั่น ง่ายๆเพียงแค่สมัครสมาชิกทรูไอดีและล็อคอิน สมัครสมาชิกทรูไอดีได้ที่นี่ ก็สามารถดูบอลสดได้เลยทันที !!